“นกน้อยในไร่ส้ม” ยังส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวกันที่ “คอฟฟี่ แอนด์ บุ๊ก” เหมือนเดิม...
“เฮ้อ...จากนี้หยุดมโนสูตร ‘เมียทหารนับขวด-เมียตำรวจนับแบงก์’ ได้แล้ว เพราะเมียสีเขียวกับสีกากีได้นั่งไขว่ห้างนับแบงก์ทั้งคู่เลยนะเธอ...”
หนุ่มนักข่าววิทยุเปิดฉากสนทนา ด้วยเรื่องทรัพย์สิน ครม. คสช. เพราะตัวเลขทรัพย์สินใครบางคน เห็นแล้วต้องอึ้งกิมกี่กันทั้งเมือง..
“ในฐานะสื่อ...พวกเราต้องยึดความจริงเป็นสรณะ การเจาะลึกเข้าโฟกัสกรุสมบัติ ของบุคคลสาธารณะทั้งที่เป็นนายกฯ และครม.ซึ่งอาสาเข้ามาทำงานให้ชาติน่ะ บางคนรวยจากมรดก บางคนมีเมียรวย หรือบางคนอาจรวยมาก่อน อย่ามโนลอยๆ ส่งเดชเด็ดขาด ต้องมีหลักฐานหรือเอกสารจริงๆ ยืนยัน มิฉะนั้นจะเป็นการให้ร้ายคนบริสุทธิ์หรือทำลายคนดีผิดจรรยาบรรณสื่อนะโว้ย...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นลุงเตือนสติดังลั่น เพราะเห็นนักข่าวรุ่นลูกหลานตื่นเต้นกับข่าวนี้...
“แต่ลุง...ข้าราชการไทยบางคน มีทรัพย์สมบัติมากผิดปกติชนิดไม่ใช้เงินเดือนเลยสักบาท ทั้งชาติก็ไม่มีวันจะมีเงินทองได้มากมายขนาดนี้นะ ยิ่งพ่อแม่และเมียก็ไม่ได้ร่ำรวยมาก่อน เงินทองงอกมาแบบไม่ชอบมาพากล สื่อที่ดีต้องขุดความจริงถึงที่มาที่ไป มาให้ประชาชนได้รับรู้มิใช่หรือ?...”
เหยี่ยวข่าวทีวีสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ตาจ้องเขม็งไปยังนักข่าวรุ่นพ่อที่พูดขึ้นว่า...
“ลุงเห็นด้วย...แต่...เอ้อ...ทุกคนเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่วันนี้ต้องให้โอกาสคนได้ทำดีให้กับชาติ...”
ดูเหมือนเหยี่ยวสาวจะไม่สนใจ...เธอกลับพูดแทรกทันทีว่า...
“ มิน่า...บิ๊กกี่-มือขวาบิ๊กป้อมถึงไปยื่นศาลปกครอง ขอมิให้เผยบัญชีทรัพย์สินพวกเขา โอ้...ใครจะไปนึกล่ะว่า ทหารยุคนี้รวยสะดือปลิ้นอื้อซ่ากันขนาดนี้ ชักอยากเป็นคุณนายเมียทหารซะแล้วสิเรา...”
เหยี่ยวข่าวทีวีสาวทำน้ำเสียงแบบทีเล่นทีจริง จนนักข่าวป้าผู้ยึดหลักการต้องพูดว่า
“นี่เธอ...มีอำนาจใหญ่โตแค่ไหน ตายก็เอาไปไม่ได้สักบาท สู้ทำดีให้ชาติให้คนยกย่องดีกว่า คนเรา...ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า นักวิชาการ สื่อแบบพวกเรา ถ้ารวยแบบถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ก็ไม่ต้องกังวลหรือกลัวสื่อใดๆ ทั้งสิ้น เพราะบอกที่ไปที่มาของสมบัติทุกชิ้นได้...”
นักข่าวสื่อสิ่งพิมพ์ร่างสูงราว 180 เซ็นติเมตร ตัวใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นกล่าวเสียงห้าวว่า
“อืม...เห็นด้วยกับป้านะ คนรวยที่ดีมีความเอื้ออาทรต่อผู้คนและรักชาติ รวยจากความสามารถและซื่อสัตย์ เป็นบุคคลที่ควรได้รับการยกย่องยิ่งนัก แต่ใครก็ตามที่รวยจากการโกงชาติ ต่อให้มีอำนาจใหญ่โตขนาดไหน หน้าที่สื่อที่ดีจะต้องเจาะต้องค้นต้องแฉโพยให้ผู้คนได้รับรู้ความจริง...ใช่ไหมล่ะ?”
หนุ่มหน้าเข้มตาคมเยี่ยงชาวใต้ ถือโอกาสยกกระดาษในมือขึ้นมาอ่านว่า
“สมบัติของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ และ ภริยา รศ.นราพร จันทร์โอชา ที่ส่งให้ ป.ป.ช.ถูกเปิดเผยให้สื่อนั้น นายกฯ แจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 25,484,471.92 บาท มีรายจ่าย 6,511,000 บาท เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา (ปลูกบ้าน) 5,400,000 บาท มีรายจ่ายอื่นๆ อีก 466,499,594.92 บาท จ่ายเป็นเงินกองกลางให้พ่อและน้อง 267,999,594.52 บาท โดย นายกฯ ตู่หมายเหตุไว้ว่า แบ่งเงินครั้งแรก 140 ล้านบาท เมื่อ 10 พ.ค. 2556 รวมเงินที่แบ่งให้พี่น้องประมาณ 407.9 ล้านบาท โดย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา สนช.ผู้เป็นน้องชายนายกฯ ระบุว่า ได้รับส่วนแบ่งการขายที่ดินของพ่อ 80 ล้านบาท ในรายจ่ายอื่นๆ นายกฯ ยังมอบเงินให้ลูกจำนวน 198,500,000 บาท ส่วนภริยานายกฯ มีรายได้ทั้งสิ้น 353,535.70 บาท มีรายจ่าย 466,000 บาท นายกฯ ตู่ยังระบุรายการทรัพย์สินอื่นๆ อีกเยอะแยะ แค่นาฬิกาชื่อดังนับ 10 เรือน ราคาเกือบ 4 ล้านบาทแน่ะ”
“อุแม่เจ้า...เสียดาย...เดี๊ยนเกิดช้าไปหลายสิบปี ไม่งั้นหน้าหวานและหุ่นสูงเพรียวเนี่ย นายกฯ ตู่อาจสนใจก็ได้ แต่อย่างว่า...แข่งอะไรยังพอแข่งได้ แต่แข่งวาสนาไม่ได้แน่นอน เฮ้อ...อาจารย์น้องทำบุญด้วยอะไรนะ จึงได้สามีรุ่มรวย-มีอำนาจวาสนามากมายเช่นนี้...”
สาวนักข่าวทีวีพึมพำแบบคนช่างฝัน ก่อนที่เหยี่ยวข่าวป้าจะพูดเสียงเข้มว่า
“...สมบัติอื่นไม่รู้ว่ามีปัญหาไหม? แต่การขายที่ดินของพ่อนายกฯ ตู่ 50 ไร่ 3 งาน 3 ตร.ว. เว็บไซต์ของ ‘สำนักข่าวอิศรา’ ได้เปิดเอกสารว่า บริษัทซื้อที่ดินด้วยเงิน 600 ล้านบาทนี้ ‘หุ้นใหญ่’ เป็นตู้ปณ.ตั้งอยู่บนเกาะบริติชเวอร์จิน มีการเพิ่มทุนโอนให้เครือข่าย ‘เจ้าสัวเบียร์ช้าง’ จดทะเบียนจัดตั้งก่อนทำสัญญาซื้อขายแค่ 7 วัน!
ไปดูรายละเอียดกันเองนะว่า...มีชื่อบริษัทอะไรที่เกี่ยวข้อง การซื้อที่ดินครั้งนี้...ไฉนไยต้องซับซ้อนซ่อนเงื่อนกันอย่างนี้? ทำไมต้องไปเกี่ยวกับบริษัทบนเกาะฟอกเงิน? ‘เจ้าสัวเบียร์ช้าง’ เงินเยอะแยะ ใช้เงินบริษัทตัวซื้อที่ดินนี้ได้สบายๆ เมื่อมีร่องรอยพิลึกพิลั่นเช่นนี้ สำนักข่าวอิศราและสำนักข่าวอื่นๆ คงตามเจาะตามไขความลับกันต่ออย่างแน่นอน...”
เหยี่ยวข่าวเก๋ากึ๊กผู้รู้ทางข่าวสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพูดด้วยความเห็นใจนายกฯ ตู่ว่า...
“...นายกฯ ต้องใช้ความสงบ-สยบความเคลื่อนไหว เพราะหน้าที่สื่อต้องทำแบบตรงไปตรงมา ถ้าอะไรไปเกี่ยวกับตัวนายกฯ-นายกฯ ก็ชี้แจง ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับตัวนายกฯ-นายกฯ ก็นิ่งไว้ งานนี้... ‘หลวงลุง-หลวงปู่’ คงต้องท่องคาถาผ่านโทร.ว่า ‘เงียบไว้-เฉยไว้-เย็นไว้...นะโยม...’ ”
“เฮ้อ...จากนี้หยุดมโนสูตร ‘เมียทหารนับขวด-เมียตำรวจนับแบงก์’ ได้แล้ว เพราะเมียสีเขียวกับสีกากีได้นั่งไขว่ห้างนับแบงก์ทั้งคู่เลยนะเธอ...”
หนุ่มนักข่าววิทยุเปิดฉากสนทนา ด้วยเรื่องทรัพย์สิน ครม. คสช. เพราะตัวเลขทรัพย์สินใครบางคน เห็นแล้วต้องอึ้งกิมกี่กันทั้งเมือง..
“ในฐานะสื่อ...พวกเราต้องยึดความจริงเป็นสรณะ การเจาะลึกเข้าโฟกัสกรุสมบัติ ของบุคคลสาธารณะทั้งที่เป็นนายกฯ และครม.ซึ่งอาสาเข้ามาทำงานให้ชาติน่ะ บางคนรวยจากมรดก บางคนมีเมียรวย หรือบางคนอาจรวยมาก่อน อย่ามโนลอยๆ ส่งเดชเด็ดขาด ต้องมีหลักฐานหรือเอกสารจริงๆ ยืนยัน มิฉะนั้นจะเป็นการให้ร้ายคนบริสุทธิ์หรือทำลายคนดีผิดจรรยาบรรณสื่อนะโว้ย...”
เหยี่ยวข่าวรุ่นลุงเตือนสติดังลั่น เพราะเห็นนักข่าวรุ่นลูกหลานตื่นเต้นกับข่าวนี้...
“แต่ลุง...ข้าราชการไทยบางคน มีทรัพย์สมบัติมากผิดปกติชนิดไม่ใช้เงินเดือนเลยสักบาท ทั้งชาติก็ไม่มีวันจะมีเงินทองได้มากมายขนาดนี้นะ ยิ่งพ่อแม่และเมียก็ไม่ได้ร่ำรวยมาก่อน เงินทองงอกมาแบบไม่ชอบมาพากล สื่อที่ดีต้องขุดความจริงถึงที่มาที่ไป มาให้ประชาชนได้รับรู้มิใช่หรือ?...”
เหยี่ยวข่าวทีวีสาวคนหนึ่งเอ่ยขึ้น ตาจ้องเขม็งไปยังนักข่าวรุ่นพ่อที่พูดขึ้นว่า...
“ลุงเห็นด้วย...แต่...เอ้อ...ทุกคนเปลี่ยนอดีตไม่ได้ แต่วันนี้ต้องให้โอกาสคนได้ทำดีให้กับชาติ...”
ดูเหมือนเหยี่ยวสาวจะไม่สนใจ...เธอกลับพูดแทรกทันทีว่า...
“ มิน่า...บิ๊กกี่-มือขวาบิ๊กป้อมถึงไปยื่นศาลปกครอง ขอมิให้เผยบัญชีทรัพย์สินพวกเขา โอ้...ใครจะไปนึกล่ะว่า ทหารยุคนี้รวยสะดือปลิ้นอื้อซ่ากันขนาดนี้ ชักอยากเป็นคุณนายเมียทหารซะแล้วสิเรา...”
เหยี่ยวข่าวทีวีสาวทำน้ำเสียงแบบทีเล่นทีจริง จนนักข่าวป้าผู้ยึดหลักการต้องพูดว่า
“นี่เธอ...มีอำนาจใหญ่โตแค่ไหน ตายก็เอาไปไม่ได้สักบาท สู้ทำดีให้ชาติให้คนยกย่องดีกว่า คนเรา...ไม่ว่าจะเป็นนักการเมือง ข้าราชการ พ่อค้า นักวิชาการ สื่อแบบพวกเรา ถ้ารวยแบบถูกต้องตามทำนองคลองธรรม ก็ไม่ต้องกังวลหรือกลัวสื่อใดๆ ทั้งสิ้น เพราะบอกที่ไปที่มาของสมบัติทุกชิ้นได้...”
นักข่าวสื่อสิ่งพิมพ์ร่างสูงราว 180 เซ็นติเมตร ตัวใหญ่ราวยักษ์ปักหลั่นกล่าวเสียงห้าวว่า
“อืม...เห็นด้วยกับป้านะ คนรวยที่ดีมีความเอื้ออาทรต่อผู้คนและรักชาติ รวยจากความสามารถและซื่อสัตย์ เป็นบุคคลที่ควรได้รับการยกย่องยิ่งนัก แต่ใครก็ตามที่รวยจากการโกงชาติ ต่อให้มีอำนาจใหญ่โตขนาดไหน หน้าที่สื่อที่ดีจะต้องเจาะต้องค้นต้องแฉโพยให้ผู้คนได้รับรู้ความจริง...ใช่ไหมล่ะ?”
หนุ่มหน้าเข้มตาคมเยี่ยงชาวใต้ ถือโอกาสยกกระดาษในมือขึ้นมาอ่านว่า
“สมบัติของนายกฯ พล.อ.ประยุทธ์ และ ภริยา รศ.นราพร จันทร์โอชา ที่ส่งให้ ป.ป.ช.ถูกเปิดเผยให้สื่อนั้น นายกฯ แจ้งว่า มีรายได้ต่อปี 25,484,471.92 บาท มีรายจ่าย 6,511,000 บาท เป็นค่าอุปการะเลี้ยงดูบิดา (ปลูกบ้าน) 5,400,000 บาท มีรายจ่ายอื่นๆ อีก 466,499,594.92 บาท จ่ายเป็นเงินกองกลางให้พ่อและน้อง 267,999,594.52 บาท โดย นายกฯ ตู่หมายเหตุไว้ว่า แบ่งเงินครั้งแรก 140 ล้านบาท เมื่อ 10 พ.ค. 2556 รวมเงินที่แบ่งให้พี่น้องประมาณ 407.9 ล้านบาท โดย พล.อ.ปรีชา จันทร์โอชา สนช.ผู้เป็นน้องชายนายกฯ ระบุว่า ได้รับส่วนแบ่งการขายที่ดินของพ่อ 80 ล้านบาท ในรายจ่ายอื่นๆ นายกฯ ยังมอบเงินให้ลูกจำนวน 198,500,000 บาท ส่วนภริยานายกฯ มีรายได้ทั้งสิ้น 353,535.70 บาท มีรายจ่าย 466,000 บาท นายกฯ ตู่ยังระบุรายการทรัพย์สินอื่นๆ อีกเยอะแยะ แค่นาฬิกาชื่อดังนับ 10 เรือน ราคาเกือบ 4 ล้านบาทแน่ะ”
“อุแม่เจ้า...เสียดาย...เดี๊ยนเกิดช้าไปหลายสิบปี ไม่งั้นหน้าหวานและหุ่นสูงเพรียวเนี่ย นายกฯ ตู่อาจสนใจก็ได้ แต่อย่างว่า...แข่งอะไรยังพอแข่งได้ แต่แข่งวาสนาไม่ได้แน่นอน เฮ้อ...อาจารย์น้องทำบุญด้วยอะไรนะ จึงได้สามีรุ่มรวย-มีอำนาจวาสนามากมายเช่นนี้...”
สาวนักข่าวทีวีพึมพำแบบคนช่างฝัน ก่อนที่เหยี่ยวข่าวป้าจะพูดเสียงเข้มว่า
“...สมบัติอื่นไม่รู้ว่ามีปัญหาไหม? แต่การขายที่ดินของพ่อนายกฯ ตู่ 50 ไร่ 3 งาน 3 ตร.ว. เว็บไซต์ของ ‘สำนักข่าวอิศรา’ ได้เปิดเอกสารว่า บริษัทซื้อที่ดินด้วยเงิน 600 ล้านบาทนี้ ‘หุ้นใหญ่’ เป็นตู้ปณ.ตั้งอยู่บนเกาะบริติชเวอร์จิน มีการเพิ่มทุนโอนให้เครือข่าย ‘เจ้าสัวเบียร์ช้าง’ จดทะเบียนจัดตั้งก่อนทำสัญญาซื้อขายแค่ 7 วัน!
ไปดูรายละเอียดกันเองนะว่า...มีชื่อบริษัทอะไรที่เกี่ยวข้อง การซื้อที่ดินครั้งนี้...ไฉนไยต้องซับซ้อนซ่อนเงื่อนกันอย่างนี้? ทำไมต้องไปเกี่ยวกับบริษัทบนเกาะฟอกเงิน? ‘เจ้าสัวเบียร์ช้าง’ เงินเยอะแยะ ใช้เงินบริษัทตัวซื้อที่ดินนี้ได้สบายๆ เมื่อมีร่องรอยพิลึกพิลั่นเช่นนี้ สำนักข่าวอิศราและสำนักข่าวอื่นๆ คงตามเจาะตามไขความลับกันต่ออย่างแน่นอน...”
เหยี่ยวข่าวเก๋ากึ๊กผู้รู้ทางข่าวสูดลมหายใจเข้าปอด ก่อนจะพูดด้วยความเห็นใจนายกฯ ตู่ว่า...
“...นายกฯ ต้องใช้ความสงบ-สยบความเคลื่อนไหว เพราะหน้าที่สื่อต้องทำแบบตรงไปตรงมา ถ้าอะไรไปเกี่ยวกับตัวนายกฯ-นายกฯ ก็ชี้แจง ส่วนที่ไม่เกี่ยวกับตัวนายกฯ-นายกฯ ก็นิ่งไว้ งานนี้... ‘หลวงลุง-หลวงปู่’ คงต้องท่องคาถาผ่านโทร.ว่า ‘เงียบไว้-เฉยไว้-เย็นไว้...นะโยม...’ ”