xs
xsm
sm
md
lg

ล้อมคอกปาร์ตี้ชายหาด งัดอัยการศึกคุมแรงงานต่างด้าว

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ผู้สื่อข่าวรายงานความคืบหน้าคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี ล่าสุด เมื่อวานนี้ (27 ต.ค.) นายฉัตรป้อง ฉัตรภูติ ผวจ.สุราษฎร์ธานี ได้เรียกประชุมเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง จัดวางมาตรการดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยว ในพื้นที่ 3 ทั้งเกาะ ที่เป็นแหล่งท่องเที่ยวที่สำคัญ พร้อมกล่าวว่าได้สั่งการให้มีการสนธิกำลังตำรวจ ทหาร ฝ่ายปกครอง และอาสาสมัคร เจ้าหน้าที่สาธารณสุข เข้าดูแลความปลอดภัยนักท่องเที่ยวให้เข้มข้นขึ้น
โดยเฉพาะการขึ้นทะเบียนแรงงานต่างด้าว ที่ไม่ถูกต้องที่อาศัยอยู่ในพื้นที่ เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า หลายพันคน แต่ปรากฏว่า นายจ้างนำแรงงานที่ไม่ถูกต้องขึ้นทะเบียนค่อนข้างน้อย เพราะมีผู้ประกอบการไม่ให้ความร่วมมือต่อทางราชการ และมีส่วนหนึ่งต่างด้าวหลบหนีนายจ้าง ซึ่งทางจังหวัดจะอาศัยกฎอัยการศึก ออกมาตรการควบคุมแรงงานต่างด้าว ไม่ให้ออกมามั่วสุม และดื่มกินปะปนกับนักท่องเที่ยว หลัง 22.00 น.ไปแล้ว เนื่องจากแรงงานต่างด้าวที่มาทำงานทั้ง 3 เกาะ พูดภาษาอังกฤษได้ดีกว่าคนไทย และชอบแอบอ้างว่าเป็นคนไทย สร้างความเชื่อถือให้แก่นักท่องเที่ยว เมื่อไปก่อเหตุแล้วสร้างความเสื่อมเสียให้แก่พื้นที่ และประเทศไทย ถึงเวลาแล้วที่จะควบคุมแรงงานต่างด้าว ให้อยู่ในระเบียบวินัย และกฎหมายไทย
ในส่วนการสั่งการงดจัดปาร์ตี้บนเกะพะงัน และเกาะเต่า เช่น ปาร์ตี้แบล็กมูน ฮาฟมูน และปาร์ตี้ชายหาดอื่นๆ ยกเว้นการจัดกิจกรรมฟูลมูนปาร์ตี้ ถึงแม้จะสร้างความไม่พอใจให้แก่ผู้ประกอบการ ผวจ.สุราษฎร์ธานี ระบุว่า ต้องขอให้ผู้ประกอบการเหล่านั้น นึกถึงประเทศชาติ การจัดงานเหล่านั้น เป็นสิ่งผิดกฎหมาย เท่าที่ผ่านมาทางราชการได้ผ่อนผันตลอดมา ถึงเวลาแล้วผู้ประกอบการจะต้องเข้าช่วยประเทศชาติในด้านการท่องเที่ยว ซึ่งนักท่องเที่ยวส่วนใหญ่ที่เข้ามาต้องการพักผ่อน เที่ยวชมธรรมชาติ ไม่ใช่เข้ามาเที่ยวงานปาร์ตี้
แต่ก็ยอมรับว่า ยังมีนักท่องเที่ยวส่วนน้อยที่เป็นวัยรุ่น ต้องการที่เที่ยวงานปาร์ตี้ และในส่วนของงานฟูลมูนปาร์ตี้ ก็จะต้องจัดระบบใหม่ ที่ผ่านมา เคยจัดระเบียบไปหลายครั้ง พอเจ้าหน้าที่เผลอทางผู้ประกอบการก็จะลักลอบฝ่าฝืนกลับมาเหมือนเดิม โดยนำสุราปลอมมาจำหน่ายแก่นักท่องเที่ยว ดังนั้นผู้ประกอบการจะต้องมีจิตสำนึกรักและหวงแหนพื้นที่ ให้นักท่องเที่ยวจดจำในสิ่งที่ดีๆ และกลับมาอีกด้วยความประทับใจ พร้อมเตรียมดำเนินการเอาจริงต่อเจ้าหน้าที่ที่รับผิดชอบที่ปล่อยปละละเลย หรือเรียกเก็บผลประโยชน์
อย่างไรก็ตาม การควบคุมดูแลเป็นไปค่อนข้างยาก เนื่องจากพื้นที่เกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า การเดินทางค่อนข้างลำบาก ใช้เวลาเดินทางหลายชั่วโมง จึงเป็นเหตุให้เจ้าหน้าที่ระดับล่าง ฉกฉวยโอกาสทุจริต ถึงแม้จะมีการวางมาตรการป้องกันไว้แล้ว แต่ก็มีช่องว่าง ดังนั้น จะต้องเพิ่มความเข้มเพิ่มขึ้น โดยใช้กำลังทหาร ตำรวจ ฝ่ายปกครอง และอาสาสมัครลงพื้นที่ พร้อมจัดสายลับคอยจับผิดเจ้าหน้าที่ด้วยกันอีกชุดเข้าติดตามพฤติกรรมของเจ้าหน้าที่ด้วย
พร้อมกันนี้ ผวจ.สุราษฎร์ธานี ได้เชิญชวนนักท่องเที่ยวให้มาท่องเที่ยวยัง จ.สุราษฎร์ธานี ซึ่งทางจังหวัดไม่ได้มีแหล่งท่องเที่ยวเพียงแค่ 3 เกาะเท่านั้น ยังมีแหล่งท่องเที่ยวบนบกที่เป็นธรรมชาติอีกมากมาย เช่น แหล่งท่องเที่ยวใน อ.คีรีรัฐนิคม มีพระบรมธาตุไชยา มีคลองร้อยสายในเขตพื้นที่อ.เมืองฯ เดินป่าชมธรรมชาติ หินพัดที่มีความสวยงาม และแปลกประหลาด ซึ่งสภาพอากาศเหมือนกับทางภาคเหนือของไทยอีกด้วย
ส่วนทางด้านด้านคดี นายธวัชชัย เสียงแจ้ว อัยการภาค 8 กล่าวว่า ขณะนี้ยังไม่สามารถสรุปสำนวนสั่งฟ้องได้ พนักงานสอบสวนยังส่งประเด็นไม่ครบตามที่สั่งไป แต่สำนวนขณะนี้ มีความสมบูรณ์มากว่า 90 เปอร์เซ็นต์
อย่างไรก็ตาม เมื่อช่วงบ่ายวานนี้ นายแอนดี้ ฮอล์ ที่ปรึกษาฝ่ายต่างประเทศ เครือข่ายเพื่อสิทธิแรงงานข้ามชาติ พร้อมล่ามชาวพม่า ได้เข้าพบกับ 2 ผู้ต้องหาชาวพม่า ภายหลังจากที่อัยการจังหวัดเกาะสมุย ได้ส่งตัวทั้ง 2 ฝากขัง ผลัดที่ 3 พร้อมกล่าวว่า นายวิน ซอ ตุน และนายซอลิน ในวันนี้ทั้ง 2 คน มีสีหน้าที่สดใส และยิ้มอย่างอารมณ์ดีตลอดเวลา โดยทั้ง 2 คน ฝากให้ซื้อบะหมี่กึ่งสำเร็จรูป ปลากระป๋อง แล้วก็โอวัลติน ทางเครือข่ายได้ฝากเงินให้ทั้งสองใช้จ่ายส่วนตัว คนละ 1,500 บาท พร้อมฝากบอกพ่อและแม่ว่า ไม่ต้องเป็นห่วง พวกเขาเป็นผู้บริสุทธิ์ ขอให้พ่อและแม่ดูแลสุขภาพด้วย ไม่ต้องเครียดแล้วทุกอย่างจะดีขึ้นเอง

**กสม.ยันเรียกตร.แจงซ้อมผู้ต้องหา

เมื่อเวลา 13.30 น. วานนี้ (27ต.ค.) นพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ กรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ (กสม.) ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ให้สัมภาษณ์ว่าจากการที่อนุกรรมการด้านสิทธิพลเมืองฯได้เชิญสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เข้ามาชี้แจงกรณีที่มีการซ้อมทรมานผู้ต้องหา ในคดีฆาตกรรม 2 นักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ ที่เกาะเต่า จ.สุราษฎร์ธานี แต่ทางสำนักงานตำรวจแห่งชาติได้ประสานมาว่า ยังไม่พร้อมที่จะชี้แจงข้อเท็จจริง โดยให้เหตุผลว่าการสืบสวนสอบสวนได้ดำเนินการแล้ว ซึ่งอยู่ในชั้นอัยการ การที่จะมาชี้แจงต่อหน่วยงานอื่น จำเป็นต้องได้รับการเห็นชอบจากอัยการก่อน เพื่อเป็นการป้องกันไม่ให้กระทบสิทธิต่อผู้ต้องหา
อย่างไรก็ตาม การที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติให้เหตุผลในลักษณะนี้ ถือว่าเป็นการเข้าใจที่คลาดเคลื่อน เพราะกสม.ทำหน้าที่ตรวจสอบข้อเท็จจริงในประเด็นที่มีการร้องเรียนเกี่ยวกับการซ้อมทรมานของเจ้าหน้าที่รัฐ ถือว่าเป็นการละเมิดสิทธิมนุษยชน ซึ่งเป็นหน้าที่ของ กสม. ที่ต้องตรวจสอบ และถือว่าไม่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาในคดีแต่อย่างใด อีกทั้งตามกฎหมายของกสม. ได้ให้อำนาจกรรมการ หรืออนุกรรมการ เป็นพนักงานและเจ้าหน้าที่ตามประมวลกฎหมายอาญา เกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ โดยไม่เกี่ยวกับคดีในชั้นอัยการ เพราะตามกฎหมายหากเรื่องดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการไต่สวนในชั้นศาล เมื่อนั้น กสม.จึงจะไม่สามารถเรียกผู้เกี่ยวข้องเข้ามาชี้แจงได้ เพราะจะกลายเป็นการแทรกแซงศาล
"เราไม่ได้สอบว่า ใครเป็นผู้ร้าย เราแค่ตรวจสอบว่าในกรณีนี้มีการซ้อมทรมานผู้ต้องหา และเป็นการละเมิดสิทธิหรือไม่ เพื่อให้กระบวนการตรวจสอบเป็นธรรมต่อทุกฝ่าย อีกทั้งเพื่อเป็นการยืนยันว่า การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจไทยเป็นที่เปิดเผย โปร่งใส และตรวจสอบได้ เพราะสังคมไทยมักไม่เข้าใจเกี่ยวกับกระบวนการตรวจสอบ ชอบคิดว่าจะไปจับผิด หรือไปเปิดเผยข้อมูล แต่เรื่องเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ ไม่ได้เกี่ยวข้องกับศักดิ์ศรีขององค์กรแต่อย่างใด หากเรื่องนี้มีผู้กระทำผิดจริง ถือว่าองค์กรไม่ปกป้องคนผิด จะทำให้มีศักดิ์ศรีแก่องค์กรมากกว่า" นพ. นิรันดร์ กล่าว
อย่างไรก็ตาม หลังจากนี้ทางอนุกรรมการฯ จะทำหนังสือชี้แจงไปยังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ โดยระบุว่า กสม.มีอำนาจในการตรวจสอบเกี่ยวกับการละเมิดสิทธิ โดยไม่เกี่ยวกับเนื้อหาคดีของชั้นอัยการ เนื่องจากเรื่องนี้ยังไม่เข้าข่าย พ.ร.บ.กสม. มาตรา 22 ที่ระบุว่า กสม. จะไม่มีอำนาจในการตรวจสอบคดี เมื่อเข้าสู่ในชั้นศาล นอกจากนี้ เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องมาให้ข้อเท็จจริง ไม่อยากให้เป็นการฟังความข้างเดียว โดยเราจะเชิญตำรวจมาอีกครั้งในวันที่ 3 พ.ย. เวลา 13.30 น. เพื่อให้การตรวจสอบของอนุกรรมการฯ เสร็จโดยเร็วที่สุด
ทั้งนี้ พ.ร.บ. กสม. มาตรา 34 หากบุคคลใดไม่ยอมมาชี้แจงต่อ กสม. ทางกสม.ในฐานะที่เป็นเจ้าหน้าที่ผู้ปฏิบัติงานตามกฎหมายอาญา ก็สามารถแจ้งความดำเนินคดีได้ แต่เราไม่อยากใช้อำนาจในส่วนนี้ อีกทั้งอาจถูกมองว่าเป็นการข่มขู่ได้ เพราะอยากให้ภาพออกมาเป็นการทำงานร่วมกันมากกว่า เพื่อให้เกิดการยอมรับ
กำลังโหลดความคิดเห็น