พ.อ.วินธัย สุวารี โฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่ทางประเทศกัมพูชา ส่งหนังสือประท้วงประเทศไทยในเหตุการณ์การเสียชีวิตของชาวกัมพูชาที่ต้องสงสัยว่าขโมยจักรยานยนต์ที่ จ.สุรินทร์ รวมทั้งการปะทะกันระหว่างทหารไทยกับกลุ่มลักลอบตัดไม้ชายแดนในเดือนตุลาคม ที่ผ่านมาว่า เรื่องดังกล่าวเป็นการประสานตามวิธีทางระหว่างประเทศ ในส่วนกองทัพบกนั้น พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร ผู้บัญชาการทหารบก ได้กำชับและเน้นย้ำการปฏิบัติของหน่วยทหารในพื้นที่ชายแดนมาโดยตลอด ให้ยึดตามหลักการสากล บนพื้นฐานของความเป็นมิตรประเทศและตามกฏการใช้กำลังอย่างเคร่งครัด โดยเฉพาะระเบียบการใช้อาวุธในทุกเหตุการณ์ โดยขอยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ทหาร ปฎิบัติงานเริ่มจากวิธีการที่ละมุนละม่อมทุกครั้ง โดยเรื่องกฎการใช้กำลังนั้น ทุกหน่วยปฏิบัติตามขั้นตอน จะไม่เริ่มด้วยการใช้ความรุนแรงก่อนอย่างแน่นอน เพราะจุดประสงค์หลักคือต้องการควบคุมตัวผู้กระทำผิดมาขยายผลดำเนินคดี ขอให้เข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ จำเป็นต้องรักษากฏหมาย โดยเฉพาะการทำผิดที่เป็นการละเมิดสิทธิในชีวิตและทรัพย์สินของผู้อื่น
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตุว่า พฤติกรรมคนร้ายปัจจุบันมีความก้าวร้าวมากขึ้น มีการขัดขืนต่อสู้มาตลอด ในฐานความผิดบางประเภท ถึงขั้นจัดกองกำลังคุ้มกันมาต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ตัวอย่างเช่น การลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ชายแดนมีความเข้มข้นมากขึ้น แม้เจ้าหน้าที่จะได้พยายามสกัดกั้น ด้วยลาดตระเวนตรวจสอบพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะผลประโยชน์และมูลค่าไม้ที่สูงขึ้น กลุ่มลักลอบตัดไม้ได้ใช้วิธีจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ เพื่อคุ้มกันการลักลอบตัดไม้ ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้เกิดการปะทะระหว่างทหารไทยกับกองกำลังดังกล่าวตามแนวชายแดนอยู่เป็นระยะ ซึ่งกองทัพบก ใช้การประสานแจ้งข้อมูลและมีความร่วมมือกันกับหน่วยทหารของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น ขอให้ตระหนักในความจริงที่ว่า การลักลอบตัดไม้ หรือการกระทำผิดกฏหมายใดๆ ในพื้นที่ชายแดน เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เป็นภัยต่อความมั่นคงและกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน เจ้าหน้าที่ต้องปฎิบัติตามกฎ ระเบียบ กฏหมายที่มีอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน การกระทำผิดกฏหมายกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ มิเช่นนั้นก็จะถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ อีกทั้งอาจมีการให้ข่าวบิดเบีอนจากผู้เสียประโยชน์ หรือผู้ที่มีอคติ พยามจุดกระแส ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่
สำหรับเหตุการณ์เมื่อ 23ตุลาคม2557 นั้น กรมทหารพรานที่ 26 ได้ออกสกัดกั้นการกระทำผิดเงื่อนไขชายแดนที่ ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พบชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา จึงได้แสดงตัวเพื่อตรวจค้น แต่ถูกชุดคุ้มกันของกลุ่มคนร้ายยิ่งเข้าใส่ เกิดการประทะกัน 5 นาที คนร้ายเสียชีวิต 1 คน
**แจงทหารติดอาวุธในเขตศาลไม่เจตนา
พ.อ.วินธัย สุวารี ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปทหาร นำอาวุธติดตัวเข้าไปในพื้นที่เขตที่ทำการศาลภูเก็ต ว่า เหตุการณ์นี้ ไม่ได้เป็นการกระทำที่เกิดจากเจตนา มองว่าทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ และสามารถปรับ ชี้แจงกันได้ เพราะเป็นส่วนราชการเหมือนกัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการไปให้การต่อศาลของผู้บังคับหน่วยทหารเรือ ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ ในคดีเรื่องการจัดระเบียบชายหาด การรุกป่าอุทยานสิรินารถ โดย ผบ. หน่วยอยู่ในห้องพิจารณา และไม่มีอาวุธ ในขณะที่กำลังพลของหน่วยที่เพิ่งเสร็จจากการปฎิบัติภารกิจ จากพื้นที่อื่นและติดอาวุธประจำกายมาด้วย ขณะมารอพบผู้บังคับบัญชาด้านนอกอาคาร
ซึ่งตามระเบียบปฏิบัติประจำของหน่วย คงไม่สามารถฝากไว้ที่ไหนได้ มีเหตุจำเป็นที่จะต้องรักษาอาวุธปืนไว้กับตัว ในขณะพักผ่อนอริยาบท เมื่อไปคอยรับผู้บังคับบัญชา มองได้ว่าคงไม่ได้มีเจตนาจะแสดงความก้าวร้าว หรือไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติของเขตที่ทำการศาล อาจเป็นเรื่องของการขาดประสบการณ์ ในการปฏิบัติตามข้อห้ามของสถานที่มากกว่า
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อเกิดความไม่เข้าใจขึ้น ผู้บังคับหน่วยที่เข้ามาเจรจา และดำเนินการตามข้อแนะนำ โดยไม่มีท่าทีก้าวร้าว หรือเสียมารยาท แม้ว่าในคลิปจะถูกต่อว่าในลักษณะรุนแรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม ผู้บังคับบัญชา จะกำชับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารให้มีความเข้มงวดรัดกุมกว่านี้
อย่างไรก็ตามเป็นที่น่าสังเกตุว่า พฤติกรรมคนร้ายปัจจุบันมีความก้าวร้าวมากขึ้น มีการขัดขืนต่อสู้มาตลอด ในฐานความผิดบางประเภท ถึงขั้นจัดกองกำลังคุ้มกันมาต่อสู้กับเจ้าหน้าที่ ตัวอย่างเช่น การลักลอบตัดไม้ในพื้นที่ชายแดนมีความเข้มข้นมากขึ้น แม้เจ้าหน้าที่จะได้พยายามสกัดกั้น ด้วยลาดตระเวนตรวจสอบพื้นที่อย่างต่อเนื่อง อาจเป็นเพราะผลประโยชน์และมูลค่าไม้ที่สูงขึ้น กลุ่มลักลอบตัดไม้ได้ใช้วิธีจัดตั้งกองกำลังติดอาวุธ เพื่อคุ้มกันการลักลอบตัดไม้ ทำให้ในช่วงหลายปีที่ผ่านมาได้เกิดการปะทะระหว่างทหารไทยกับกองกำลังดังกล่าวตามแนวชายแดนอยู่เป็นระยะ ซึ่งกองทัพบก ใช้การประสานแจ้งข้อมูลและมีความร่วมมือกันกับหน่วยทหารของกัมพูชาที่ดูแลพื้นที่อย่างใกล้ชิด เพื่อแก้ปัญหาดังกล่าว
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ส่วนที่มีการกล่าวหาว่าเจ้าหน้าที่ละเมิดสิทธิมนุษยชนนั้น ขอให้ตระหนักในความจริงที่ว่า การลักลอบตัดไม้ หรือการกระทำผิดกฏหมายใดๆ ในพื้นที่ชายแดน เป็นการกระทำที่ไม่ถูกต้อง เป็นภัยต่อความมั่นคงและกระทบต่อความปลอดภัยของประชาชน เจ้าหน้าที่ต้องปฎิบัติตามกฎ ระเบียบ กฏหมายที่มีอยู่ภายใต้ความสัมพันธ์อันดีกับเพื่อนบ้าน การกระทำผิดกฏหมายกับการละเมิดสิทธิมนุษยชนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ดุลยพินิจอย่างรอบคอบ มิเช่นนั้นก็จะถูกมองว่าเป็นการเลือกปฏิบัติ อีกทั้งอาจมีการให้ข่าวบิดเบีอนจากผู้เสียประโยชน์ หรือผู้ที่มีอคติ พยามจุดกระแส ทำลายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศหรือเพื่อทำลายความน่าเชื่อถือของเจ้าหน้าที่
สำหรับเหตุการณ์เมื่อ 23ตุลาคม2557 นั้น กรมทหารพรานที่ 26 ได้ออกสกัดกั้นการกระทำผิดเงื่อนไขชายแดนที่ ต.ด่าน อ.กาบเชิง จ.สุรินทร์ พบชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์เข้ามา จึงได้แสดงตัวเพื่อตรวจค้น แต่ถูกชุดคุ้มกันของกลุ่มคนร้ายยิ่งเข้าใส่ เกิดการประทะกัน 5 นาที คนร้ายเสียชีวิต 1 คน
**แจงทหารติดอาวุธในเขตศาลไม่เจตนา
พ.อ.วินธัย สุวารี ทีมโฆษกคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.)กล่าวถึงกรณีที่มีคลิปทหาร นำอาวุธติดตัวเข้าไปในพื้นที่เขตที่ทำการศาลภูเก็ต ว่า เหตุการณ์นี้ ไม่ได้เป็นการกระทำที่เกิดจากเจตนา มองว่าทุกคนตั้งใจทำหน้าที่ และสามารถปรับ ชี้แจงกันได้ เพราะเป็นส่วนราชการเหมือนกัน โดยเหตุการณ์ดังกล่าวเป็นการไปให้การต่อศาลของผู้บังคับหน่วยทหารเรือ ในฐานะพนักงานเจ้าหน้าที่ ในคดีเรื่องการจัดระเบียบชายหาด การรุกป่าอุทยานสิรินารถ โดย ผบ. หน่วยอยู่ในห้องพิจารณา และไม่มีอาวุธ ในขณะที่กำลังพลของหน่วยที่เพิ่งเสร็จจากการปฎิบัติภารกิจ จากพื้นที่อื่นและติดอาวุธประจำกายมาด้วย ขณะมารอพบผู้บังคับบัญชาด้านนอกอาคาร
ซึ่งตามระเบียบปฏิบัติประจำของหน่วย คงไม่สามารถฝากไว้ที่ไหนได้ มีเหตุจำเป็นที่จะต้องรักษาอาวุธปืนไว้กับตัว ในขณะพักผ่อนอริยาบท เมื่อไปคอยรับผู้บังคับบัญชา มองได้ว่าคงไม่ได้มีเจตนาจะแสดงความก้าวร้าว หรือไม่เคารพธรรมเนียมปฏิบัติของเขตที่ทำการศาล อาจเป็นเรื่องของการขาดประสบการณ์ ในการปฏิบัติตามข้อห้ามของสถานที่มากกว่า
พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ทั้งนี้เมื่อเกิดความไม่เข้าใจขึ้น ผู้บังคับหน่วยที่เข้ามาเจรจา และดำเนินการตามข้อแนะนำ โดยไม่มีท่าทีก้าวร้าว หรือเสียมารยาท แม้ว่าในคลิปจะถูกต่อว่าในลักษณะรุนแรงก็ตาม อย่างไรก็ตาม ผู้บังคับบัญชา จะกำชับการปฏิบัติงานของเจ้าหน้าที่ทหารให้มีความเข้มงวดรัดกุมกว่านี้