ASTV ผู้จัดการสุดสัปดาห์ - คงเห็นกันแล้วว่า “คดีเกาะเต่า” ทำให้พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เสียรังวัดไปไม่น้อย
เพราะหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เคยคัดค้านข้อเสนอของอังกฤษที่พร้อมส่งนักสืบแดนผู้ดีเข้าช่วยเหลือการสืบสวน แต่ท้ายที่สุดพล.อ. ประยุทธ์ ก็ทนกระแสสังคมกดดันไม่ไหว ยอมกลับลำอนุญาตให้อังกฤษส่งตำรวจเข้ามาร่วมทำคดีได้ แต่ดูว่าคดีจะจบไม่ง่ายอย่างที่คิด เพราะผู้ต้องหาชาวพม่าสองรายกลับคำรับสารภาพ โดยอ้างว่าถูกตำรวจไทยซ้อมให้รับสารภาพ ตอกย้ำภาพลักษณ์ฉาวโฉ่ตำรวจไทย กลายเป็นข่าวขายหน้าไปทั่วโลก
เมื่อข่าวฆาตกรรมกลายเป็นเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ เชื่อว่าบทสรุปคงจะไม่ง่ายๆ และพล.อ.ประยุทธ์จะต้องทำงานพิสูจน์ความสามารถของคสช. ไปอีกยาวๆ ทีเดียว
บิ๊กตู่ไฟเขียวให้อังกฤษร่วมทำคดีเกาะเต่า
จากเหตุการณ์ฆาตกรรมสองนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษ นายเดวิด มิลเลอร์ วัย 24 ปี และ น.ส.ฮันนาห์ วิทเธอริดจ์ วัย 23 ปี ที่เกาะเต่า จังหวัดสุราษฎร์ธานี วันที่ 15 ก.ย.2557 ท่ามกลางประแสข่าวว่า “จับแพะ” ทำให้พล.อ.ประยุทธ์ต้องหันมาดูแลคดีนี้อย่างจริงจังมากขึ้น
โดยพล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ให้สัมภาษณ์นักข่าวในวันที่ 18 ต.ค. หลังเดินทางกลับจากการประชุมสุดยอดผู้นำเอเชีย ยุโรป ที่นครมิลาน ประเทศอิตาลีว่า ได้มีโอกาสพูดคุยกับนายเดวิด คาเมรอน นายกรัฐมนตรีอังกฤษถึงเรื่องคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษบนเกาะเต่า โดยนายเดวิด คามารอน บอกว่า ไม่มีปัญหาอะไรกับกระบวนการยุติธรรมของไทย เพียงแต่ว่าชาวอังกฤษเมื่ออ่านข่าวจากสื่อ จึงเกิดความสงสัย ตนจึงได้บอกกับนายกรัฐมนตรีอังกฤษไปว่าเรื่องนี้ไม่มีปัญหา เราทำด้วยกฎหมายทั้งสิ้น โดยได้ตกลงร่วมกันว่าอังกฤษจะส่งผู้สังเกตการณ์เข้ามา
"เดวิด คาเมรอน เขาก็ดี ไม่เห็นเขาหน้างอใส่ผมเลย เขาบอกว่าคุยกันนะ เขาขอเวลาให้ประชาชนเขาทำความเข้าใจหน่อย วันนี้รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง และรองนายกฯ ฝ่ายต่างประเทศได้กำกับดูแลเรื่องนี้ ซึ่งต่างประเทศทำความเข้าใจ เราบูรณาการทำงานบูรณาการด้วยกัน บางครั้งการสืบสวนสอบสวนมันบอกใครไม่ได้ แต่อย่างว่านักสืบสกอตแลนด์ยาร์ดมันเยอะ เพราะข่าวออกไปจากทางนี้ ซึ่งการสืบจับผู้ร้ายนั้นไม่จำเป็นต้องบอกทุกขั้นตอน แต่เมื่อจับกุมได้แล้วเราก็ดีใจว่ามันรวดเร็ว" พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว
นอกจากนั้น พล.อ.ประยุทธ์ ยังแสดงความเชื่อมั่นต่อตำรวจไทยต่อว่า เจ้าหน้าที่ไทยยืนยันว่ามีหลักฐานเพียงพอประเด็นคือต้องสร้างความเข้าใจว่าจะทำอย่างไร เพราะไม่ว่าตำรวจทำผิด ไม่ถูกต้อง ก็มีมาตรการลงโทษอยู่แล้ว แต่อย่าทำให้เสื่อมเสียประเทศชาติ คิดว่าตำรวจไม่กล้าหรอก ใครจะกล้า หรือจะมีใครคิดว่าต้องทำแบบนี้หาคนเป็นแพะเป็นแกะไม่มีหรอกขณะที่นายมาร์ค เคนท์ เอกอัครราชทูตอังกฤษประจำประเทศไทย ได้ออกมาแสดงความคิดเห็นหลังที่พล.อ. ประยุทธ์ยินยอมให้ตำรวจอังกฤษร่วมทำคดีเกาะเต่าว่า การสืบสวนสอบสวนยังเป็นเรื่องภายในของฝ่ายไทย การที่อังกฤษส่งทีมเข้ามาเพียงเพื่อหารือและรับฟังข้อมูลจากฝ่ายไทยเกี่ยวกับกระบวนการและวิธีการสืบสวน โดยฝ่ายอังกฤษพร้อมให้การสนับสนุนหากฝ่ายไทยร้องขอ ส่วนรายละเอียดการทำงานร่วมกัน จะต้องหารือกับสำนักงานตำรวจแห่งชาติต่อไป
ท่าทีที่พล.อ. ประยุทธ์ ที่ยอมกลับลำ อนุญาตให้ตำรวจร่วมทำคดีเกาะเต่านั้น แสดงให้เห็นแล้วว่ายอม “เสียหน้า” ก่อนที่ภาพลักษณ์ตำรวจไทย และรัฐบาลไทยจะเน่าเฟะไปกว่านี้
เชื่อว่าหากเลือกได้ พล.อ.ประยุทธ์ คงไม่อยากให้ชาติอื่นมาร่วมทำคดีฆาตกรรมบนเกาะเต่า เพราะสะท้อนให้เห็นว่ารัฐบาลชุดไร้น้ำยาและไร้ความน่าเชื่อถือ จนต้องอาศัยประเทศอื่นมาการันตีความโปร่งใสของคดี หากแต่พล.อ.ประยุทธ์ ทนกระแสกดดันทั้งจากในประเทศและนอกประเทศไม่ไหว ท้ายที่สุดจึงต้องยอมให้ตำรวจอังกฤษเข้ามามีส่วนร่วมในคดีนี้
แม้จะเป็นวิธีที่ขายหน้าไปบ้างสำหรับพล.อ.ประยุทธ์ แต่ก็ถือเป็นวิธีเดียวที่จะพิสูจน์ความยุติธรรมของตำรวจไทย ซึ่งตอนนี้ถูกมองว่า “จับแพะ” และ “ซ้อมผู้ต้องหาให้สารภาพ” จนกลายเป็นข่าวฉาวโฉ่ดังไปทั้งโลก
การตัดสินใจของ พล.อ.ประยุทธ์ครั้งนี้ จึงเป็นการพยายามกู้ภาพลักษณ์ของตำรวจไทยหรือ คสช. เพราะ พล.อ.ประยุทธ์ดูท่าจะรู้แล้วว่าการดื้อแพ่งต่อไปไม่มีประโยชน์ เพราะ “ศักดิ์ศรี” มันกินไม่ได้ แต่ “ความมั่นคง” ของรัฐบาลต่างหากที่สำคัญกว่า เพราะเมื่อไหร่ที่นานาชาติไม่เชื่อถือตำรวจไทย เมื่อนั้นอำนาจของคสช.ก็จะสะเทือนตามไปด้วย
แต่นาทีนี้พล.อ.ประยุทธคงรู้แล้วว่า ตัดสินใจทำอะไรช้าเกินไป เพราะมาถึงวันนี้ ตำรวจไทยและประเทศไทย“ขายขี้หน้า” ชาวโลกไปเรียบร้อยแล้ว
บิ๊กอ๊อดปัดไม่ขอพูดถึงคดีเกาะเต่า
จะว่าไปแล้ว อาการยอมถอยและยอมเสียหน้าครั้งนี้ ไม่ใช่จะมีแค่เพียง พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา เท่านั้น แต่ยังรวมถึง ”พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง” ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติด้วย
เพราะการที่ตำรวจอังกฤษขอมีส่วนร่วมทำคดี แม้จะเป็นเพียงการขอความร่วมมือ โดยที่ตำรวจอังกฤษไม่มีอำนาจการสอบสวนเองในประเทศไทย แต่ก็ทำให้ พล.ต.อ.สมยศ ในนามของตำรวจไทย “เสียหน้า” ไม่น้อย เพราะเรื่องนี้สะท้อนให้เห็นว่าตำรวจไทย “ไม่มีน้ำยา” ในการทำให้คนเชื่อถือ จนต้องให้ตำรวจต่างชาติเข้ามาพิสูจน์ความโปร่งใส ถือเป็นการตบหน้าตำรวจไทยทางอ้อม
นอกจากนั้น สังเกตได้ว่าหลังจากที่พล.อ.ประยุทธ์ ไฟเขียวให้ตำรวจประเทศอังกฤษเข้าร่วมทำคดีฆาตกรรมนักท่องเที่ยวชาวอังกฤษด้วย พล.ต.อ.สมยศ ได้ปฏิเสธไม่ขอแสดงความคิดเห็นในเรื่องคดีเกาะเต่าอีก โดยระบุว่าหากสื่อมวลชนมีข้อสงสัยเกี่ยวกับคดีนี้ให้ไปสอบถามกับทางพนักงานอัยการจังหวัดจังหวัดสุราษฎร์ธานี เนื่องจากพนักงานสอบสวนในคดีนี้ได้สรุปสำนวนมอบให้พนักงานอัยการพิจารณาแล้วซึ่งพ้นขั้นตอนการสอบสวนของตำรวจไปแล้ว
การที่ พล.ต.อ.สมยศ ปฏิเสธไม่ยอมแสดงความคิดเห็นคดีนี้ โดยอ้างว่าพ้นขั้นตอนการสอบสวนของตำรวจไปแล้วนั้น นับว่าเป็นเหตุผลที่ฟังไม่ขึ้น จริงอยู่ว่าพ้นขั้นตอนของตำรวจไปแล้ว แต่ปัญหาที่คนสงสัยและกำลังเป็นปัญหากันอยู่ตอนนี้ ก็คือ “การสืบสวนของตำรวจไทย” นั่นแหละว่ามีความยุติธรรมแค่ไหน? จับแพะหรือเปล่า? ซ้อมผู้ต้องหาจริงไหม?
ดังนั้น พล.ต.อ.สมยศ ควรทบทวนท่าทีของตนเองใหม่ แทนที่จะมาแสดงท่าทีประหนึ่งว่าไม่ใช่เรื่องของตนนั้น ก็ควรจะหันมาปฏิรูปหน่วยงานของตนเองอย่างจริงจัง โดยเฉพาะอย่างยิ่งขั้นตอนการพิจารณาสอบสวนของตำรวจ เพื่อให้ยุติธรรม โปร่งใส และตรวจสอบได้ ไม่ใช่ “ปัดสวะให้พ้นตัว” อย่างนี้
ผู้ต้องหาพม่ากลับคำให้การ
ท้ายที่สุดดูเหมือนว่าตำรวจไทยก็ตกเป็นขายขี้หน้าชาวโลกจนได้ เมื่อผู้ต้องหาชาวพม่ากลับคำรับสารภาพ โดยนาย เวพิว หรือ วินและ นายซอลิน หรือโซเรน ผู้ต้องหาพม่าทั้งสองได้ใช้สิทธิร้องขอความเป็นธรรมผ่านสภาทนายฯ ปฏิเสธทุกข้อกล่าวหา โดยพวกเขาระบุว่าถูกตำรวจไทยซ้อม เพื่อให้สารภาพในเรื่องที่เขาไม่ได้กระทำผิด
ด้านนพ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ ในฐานะประธานอนุกรรมการสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ได้ออกมาให้ข่าวว่าจากการลงพื้นที่ร่วมกับพญ.คุณหญิงพรทิพย์ โรจนสุนันท์ ผอ.นิติวิทยาศาสตร์ และพูดคุยกับ 2 ผู้ต้องหาชาวพม่า พบว่าผู้ต้องหาบอกว่าถูกซ้อม และจากการตรวจร่างกาย เบื้องต้นพบจุดกดเจ็บที่หน้าอกของผู้ต้องหา 1 ราย ดังนั้นจะทำจดหมายถึงผู้บัญชาการเรือนจำ ขอให้มีการเอ็กซเรย์ผู้ต้องหาเพื่อให้ทราบว่ามีบาดแผลตรงไหนอีกหรือไม่
ส่วน พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ได้กล่าวถึงกรณี 2 ผู้ต้องหากลับคำรับสารภาพว่า เมื่อคืนวันที่ 21 ต.ค. ได้พูดคุยกับสถานทูตของทั้งสองประเทศแล้ว ซึ่งเขาพอใจ แล้วเดี๋ยวเขาขอเข้ามาช่วยหน่อย
เรื่องนี้จึงถือว่า “ตบหน้าคสช.” ซ้ำอีกรอบ หนำซ้ำเมื่อวันที่ 22 ต.ค. พ่อแม่-ญาติ 2 ผู้ต้องหาพม่าได้เดินทางถึงไทย โดยมีนายอู ทัน ทัน ไต เดินถือพระบรมฉายาลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ออกมาที่สนามบินดอนเมือง และนางอู ซอง เอ หม่อง ถือป้ายข้อความว่า "เรารักในหลวง" เพื่อขอความเป็นธรรมให้ลูกชาย เพราะเชื่อว่าลูกชายไม่ได้ผิดตามที่ถูกกล่าวหา
คดีเกาะเต่าจึงเริ่มส่อเค้าวุ่นเรื่อยๆ ล่าสุดวันที่ 23 ต.ค. ที่ผ่านมา ตำรวจอังกฤษยังตกเป็นข่าวครึกโครมว่ากุมความลับของคดีเกาะเต่าอยู่ ซึ่งว่ากันว่ามีหลักฐานฉีกหน้าโปลิศไทย โดยตำรวจอังกฤษเชื่อว่าสองผู้ต้องหาพม่าถูกยัดข้อหาให้เป็นแพะ แถมเพื่อนซี้คนตาย“คริสโตเฟอร์ อลันแวร์”ยังเปลี่ยนสถานะจากผู้ต้องสงสัยมาเป็นพยานให้นักสืบผู้ดี ทั้งผลสืบสวนยังชี้ว่าเป็นไปได้ที่มาเฟียเกาะเต่าเป็นคนสังหาร “ฮันนาห์-เดวิด” หลังรุมมอมยาและรุมโทรมข่มขืนฮันนาห์ ทำให้คดีนี้ซับซ้อนมากขึ้น จนยากสรุปว่าจะไปจบลงที่ตรงไหน?
จึงจะเห็นได้ว่าคดีเกาะเต่าไม่ใช่แค่คดีฆาตกรรมธรรมดา แต่มันกลายเป็นคดีของชาติ เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศและพัวพันความมั่นคงของ คสช. ไปโดยปริยาย
ดังนั้น หากคสช.ต้องการสร้างความเชื่อมั่นให้แก่ชาวไทยและนานาชาติ คสช. จะต้องปฏิรูปและล้างบางวงการสีกาสีอย่างจริงจัง เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและไม่ทำให้ประเทศไทยขายหน้าไปกว่าที่เป็นอยู่อย่างทุกวันนี้!