xs
xsm
sm
md
lg

ธปท.ห่วงเศรษฐกิจแผ่ว จี้รัฐเร่ง”ลงทุน-เบิกจ่าย”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

แบงก์ชาติเผยเครื่องชี้เศรษฐกิจไทยล่าสุดเดือน ส.ค.อ่อนแรงลง เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 เดือนก่อน ระบุการเบิกจ่ายภาครัฐเป็นปัจจัยเสี่ยงทำจีดีพีปีนี้อาจโตไม่ถึง 1.5% จี้รัฐเร่งเบิกงบ-ลงทุน หวังเศรษฐกิจไทยจะเข้มแข็งขึ้น ตัวเลขจะออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ ด้านรัฐมนตรีคลังทำใจจีดีพีปีนี้โตไม่ถึง 2% ขอลุ้นปีหน้าโตเกิน 4.5% ฟากเอกชนมองหนี้ครัวเรือนพุ่งกำลังซื้อตก ภาคอสังหาฯงัดกลยุทธ์ราคาแย่งลูกค้า

นางรุ่ง มัลลิกะมาส ผู้อำนวยการอาวุโส ฝ่ายนโยบายเศรษฐกิจการเงิน ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยว่า เศรษฐกิจไทยล่าสุดในเดือนส.ค.ของปี 57 แรงส่งค่อนข้างอ่อนแรงลง โดยเฉพาะแรงส่งเกิดขึ้นในประเทศอย่างภาคเอกชนและภาครัฐ เมื่อเทียบกับช่วง 2-3 เดือนก่อนหน้านี้ที่ได้รับอนิสงค์จากความเชื่อมั่นที่ดีของผู้บริโภคและผู้ประกอบการ อีกทั้งปัจจัยชั่วคราวอย่างเทศกาลฟุตบอลโลก อย่างไรก็ตาม มองว่าเศรษฐกิจไทยโดยรวมยังอยู่ในทิศทางการฟื้นตัวอย่างต่อเนื่องและมองว่าขณะนี้ภาครัฐควรผลักดันการลงทุนให้มากขึ้น เพราะเครื่องชี้ล่าสุดแผ่วลง

“ในปีนี้ ตัวเลขเศรษฐกิจไทยโดยรวมระดับ 1.5% ยังคงไปได้และอย่าเพิ่งตกใจตัวเลขเศรษฐกิจเดือนส.ค.ออกมาไม่ดีนัก โดยธรรมชาติ ช่วงเริ่มต้นเศรษฐกิจฟื้นตัว ตัวเลขต่างๆ อาจพลิกกลับไปกลับมาบ้าง อย่าเพิ่งกังวล เมื่อใดก็ตามเศรษฐกิจไทยเข้มแข็งขึ้น ตัวเลขต่างๆก็จะออกมาดีขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งเหมือนกับช่วงแรกเหมือนเด็กเพิ่งหัดเดิน อาจจะมีล้มบ้าง ดังนั้นตอนนี้เศรษฐกิจไทยยังคงฟื้นตัวในลักษณะวีเชฟอยู่ แต่ป่านออกบ้าง เพราะการฟื้นตัวคงไม่แรงขนาดนั้น”นางรุ่งกล่าว

แม้การบริโภคภาคเอกชนหดตัว 0.8% ในเดือนล่าสุด จากเคยเร่งตัวขึ้นจากเทศกาลฟุตบอลโลกมาค่อยเสริม อย่างไรก็ตามมองว่าทิศทางยังดีอยู่ โดยมีปัจจัยบวกคอยสนับสนุนที่ดีทั้งรายได้นอกภาคเกษตร การจ้างงานที่ดี และความเชื่อมั่นผู้บริโภคกับผู้ประกอบการ ทั้งนี้ ในเดือนนี้ ดัชนีความเชื่อมั่นทางธุรกิจอยู่ที่ระดับ 49.1 ซึ่งสูงกว่าในหลายเดือนที่ผ่านมา แต่ยังคงต่ำกว่า
50 สะท้อยความเชื่อมั่นที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่ โดยเฉพาะความเชื่อมั่นด้านการผลิต การจ้างงานและคำสั่งซื้อ นอกจากนี้เมื่อประเมิน 3 เดือนข้างหน้า ดัชนีฯ อยู่ที่ระดับ 55.9

การลงทุนฟื้นตัวช้า ทำให้หดตัว 5.6% หดตัวต่อเนื่องจากอุปสงค์โดยรวมต่ำกว่าระดับปกติ และหลายอุตสาหกรรมยังมีกำลังการผลิตส่วนเกิน อีกทั้งการนำเข้าสินค้าทุนค่อนข้างน้อย สะท้อนการลงทุนของประเทศช้า อย่างไรก็ตาม คาดว่าการลงทุนจะไม่ขยายตัวสูงอย่างช่วงวัฎจักรขาขึ้นในอดีต ส่วนหนึ่งเพราะคุณภาพการศึกษาและแรงงานเป็นข้อจำกัดต่อการผลิตและการลงทุนในสินค้าที่ใช้เทคโนโลยีสูง ซึ่งมีผลต่อการส่งออกในระยะต่อไป ขณะที่การผลิตมีสัญญาณที่ดีขึ้นในหมวดอิเล็กทรอนิกส์และบางธุรกิจเริ่มสะสมสินค้าคงคลังเพิ่มขึ้น เพื่อเตรียมการส่งออกต่อไป

สินเชื่อขยายตัว 5.9% ชะลอลงจากเดือนก่อน 6.4% ผลจากธนาคารพาณิชย์ชะลอปล่อยกู้ภาคธุรกิจเป็นสำคัญ ส่วนหนึ่งการลงทุนอยู่ในช่วงเริ่มแรกฟื้นตัวเศรษฐกิจ และภาคธุรกิจหันมาระดมทุนผ่านหุ้นกู้มากขึ้น ขณะเดียวกันสถาบันการเงินเข้มงวด เพื่อรอดูความชัดเจนในการฟื้นตัวเศรษฐกิจ ส่วนสถาบันการเงินเฉพาะกิจยังปล่อยสินเชื่อทรงตัวจากเดือนก่อน ด้านเงินฝากขยายตัว 3.2% ชะลอจากเดือนก่อน 3.5% ตามเงินฝากของภาคครัวเรือนและภาคธุรกิจที่ธนาคารพาณิชย์เป็นสำคัญ อย่างไรก็ตาม ปริมาณเงินฝากใหม่ของธนาคารพาณิชย์มีแนวโน้มสูงขึ้น จึงดึงเงินฝากเข้าสู่ระบบ

การส่งออกหดตัวตามอุปสงค์ต่างประเทศที่อ่อนแอลงในหลายตลาด ทำให้การส่งออกมีมูลค่า 18,655 ล้านเหรียญสหรัฐ หรือหดตัว 6.6% แต่เมื่อหักทองคำออกหดตัว 1.9% อย่างไรก็ตาม แม้ตลาดอิเล็กทรอนิกส์โลกอยู่วัฎจักรขาขึ้น แต่การส่งออกอิเล็กทรอนิกส์ไทยยังขยายตัวน้อยกว่าคู่แข่ง ทำให้การส่งออกไทยฟื้นตัวช้ากว่าประเทศอื่น ด้านการนำเข้าอยู่ในระดับต่ำต่อเนื่อง
สอดคล้องกับอุปสงค์ในและต่างประเทศที่ยังไม่ฟื้นเต็มที่ โดยเดือนนี้นำเข้ามีมูลค่า 16,455 ล้านเหรียญฯ หรือหดตัว 8.3%

ทำให้ดุลการค้าเกินดุล 2,199 ล้านเหรียญฯ ผลจากนำเข้าหดตัวสูง ขณะที่ดุลบริการ รายได้และเงินโอนขาดดุล 1,960 ล้านเหรียญฯ ตามการส่งกลับกำไรและเงินปันผลของบริษัทต่างชาติ โดยเฉพาะสัญชาติญี่ปุ่น รวมทั้งการท่องเที่ยวยังไม่เข้าสู่ภาวะปกติ แม้ปรับตัวดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไปและกลุ่มนักท่องเที่ยวจีนเป็นสำคัญ ส่งผลให้ดุลบัญชีเดินสะพัดเกินดุลเล็กน้อย 239 ล้านเหรียญฯ จากเดือนก่อนขาดดุล 864 ล้านเหรียญ สำหรับในเดือนนี้มีเงินทุนไหลออกสุทธิ 1,033 ล้านเหรียญฯ จากเดือนก่อนไหลเข้าสุทธิ 4,692 ล้านเหรียญ โดยเงินไหลออกจากต่างชาติขายพันธบัตรระยะสั้นของธปท. เพื่อทำกำไร ขณะที่สาขาธนาคารพาณิชย์ชำระคืนเงินกู้ระยะสั้น

***คลังยอมรับสภาพจีดีพีต่ำ 2%
ด้านนายสมหมาย ภาษี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ยอมรับว่าเศรษฐกิจในปี 2557 มีอัตราการเติบโตไม่ถึง 2% ของจีดีพี เพราะในช่วงต้นปีประเทศไทยมีปัญหาการเมืองภายในประเทศ ขณะที่เศรษฐกิจโลกก็ชะลอตัวในหลายประเทศ แต่ในปีหน้า คาดว่า เศรษฐกิจไทยน่าจะขยายตัวได้ถึง 4.5% เนื่องจากรัฐบาลจะมีมาตร การกระตุ้นเศรษฐกิจในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปีนี้ ต่อเนื่องถึงไตรมาสแรกปีหน้า
ขณะเดียวกัน รัฐบาลก็พยายามเร่งการใช้จ่ายเงินงบประมาณโดยเฉพาะงบล้างท่อและตั้งแต่ต้นเดือนตุลาคมจะเริ่มเบิกจ่ายงบประมาณปี2558เข้าสู่ระบบมากขึ้น รวมถึงงบลงทุนรัฐวิสาหกิจและการอนุมัติโครงการต่างๆ จากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุนหรือบีโอไอ ซึ่งจะช่วยให้เศรษฐกิจขับเคลื่อนในปีหน้าปีดีกว่าปีนี้อย่างแน่นอน

ข่าวเสนา ต่อพี่ยุทธ์

**อสังหาฯ ชี้หนี้ครัวเรือนพุ่งกำลังซื้อตก
ดร.เกษรา ธัญลักษณ์ภาคย์ กรรมการ บริษัท เสนา ดีเวลลอปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ภาพรวมเศรษฐกิจที่ยังฟื้นตัวไม่ชัดเจน ปัญหาหนี้ครัวเรือน ส่งผลต่อความเชื่อมั่นและกำลังซื้อของผู้บริโภคในปัจจุบัน ทำให้ผู้บริโภคระมัดระวังการใช้จ่ายหรือควบคุมการใช้จ่ายมาขึ้น โดยเฉพาะการตัดสินใจซื้อที่อยู่อาศัย ซึ่งจะมีความระมัดระวังอย่างมากทำให้การตัดสินใจซื้อของลูกค้าช้าลง ขณะที่ผู้ประกอบการเองต้องเผชิญกับปัญหาต้นทุนที่ดิน ค่าก่อสร้าง แรงงาน ที่ปรับตัวสูงสวนทางกับกำลังซื้อของผู้บริโภค บีบให้ต้องพัฒนาที่อยู่อาศัยออกมา ให้มีราคาที่สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในพื้นที่ได้ ขณะเดียวกันก็ต้องรักษาระดับอัตรากำไรให้อยู่ในระดับที่ดีด้วย
จากปัจจัยดังกล่าว ทำให้การแข่งขันในตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน ไม่ได้ให้น้ำหนักกับทำเลในการพัฒนาโครงการเพียงด้านเดียว อย่างเช่นอดีตที่ผ่านมา แต่จะเน้นเรื่อการทำราคาที่ดึงดูใจลูกค้า ทำให้การแข่งขันด้านราคากลับเข้ามาเป้นปัจจัยหลักในการตัดสินใจซื้อของลูกค้าในปัจจุบัน ซึ่งส่งผลให้ผู้ประกอบดารต้องปรับตัวลดต้นทุนเพื่อทำราคาสินค้าให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในพื้นที่ได้ โดยแยชนวทางหนึ่งของการลดต้นทุนเพื่อทำราคาให้ข่งขันได้คือการลดขนาดยูนิตให้เล็กลง เพื่อให้สามารถทำราคาแข่งขันได้
“ปัญหาคือ กำลังซื้อ ที่ได้รับผลกระทบจากหนี้ครับเรือน ผลกระทบด้านความเชื่อมั่นของผู้บริโภค และการระมัดระวังการใช้จ่าย ขณะที่ผู้ประกอบการต้องแข่งขันทำราคาที่สอดรับกับกำลังซื้อของผู้บริโภคในภาวะที่ต้นทุนต่างๆปรับตัวสูงขึ้น ”
ทั้งนี้ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งในทำเลเดียวกันได้ เสนาฯ จึงเน้นเรื่องการบริหารจัดการต้นทุนที่เข้มงวดมากขึ้น เพื่อไม่ให้กระทบกับคุณภาพของโปรดักส์ โดยแนวทางของเสนาในการแก้ปัญหาในทำเลที่มีการแข่งขันด้วยราคาสูงนั้น จะเน้นการพัฒนาโครงการด้วยทีมงานของบริษัทเอง ไม่ใช้ผู้รับเหมา นอกจากนี้เพื่อให้สามารถลดต้นทุนการก่อสร้างลง ยังต้องนำเทคนิคการออกแบบเข้ามาช่วย ทั้งในส่วนของสถาปนิค และวิศวกรรมการออกแบบเพื่อช่วยลดต่นทุนให้ได้มากที่สุด

****ตั้งเป้ารายได้รวม2.5พันล้าน
ดร.เกษรา กล่าวว่า สำหรับปีนี้บริษัทตั้งเป้าว่าจะมีรายได้รวม 2,500ล้านบาท ซึ่งขณะนี้สามารถทำได้แล้ว 70% ของเป้า ส่วนยอดขายปีนี้ตั้งเป้าที่ 3,000 ล้านบาท โดย ณ 9เดือนแรกของปี 57 มียอดขายแล้ว 2,100 ล้านบาท คาดว่าสิ้นปีจะสามารถทำได้ตามเป้าที่วางไว้ อย่างไรก็ตามในปีนี้บริษัทยังคงเดินหน้าซื้อที่ดินสะสมรองรับการพัฒนาโครงการใหม่ในปี2558 อย่างต่อเนื่องโดยล่าสุดๆได้ซื้อที่ดินเข้ามาเพิ่ม2แปลง คือ ที่ดินในย่านพระราม2จำนวน7 ไร่ ซึ่งจะใช้พัฒนาดโครงการแนวสูง และที่ดินในย่านเลียบถนนรามอินทรา 100ไร่ ซึ่งจะใช้พัฒนาโครงการแนวราบ ทำให้จนถึงขณะนี้บริษัทใช้เงินในการซื้อที่ดินไปแล้ว700ล้านบาท เมื่อนับรวมกับการซื้อที่ดินสะสมเข้ามาในช่วงก่อนหน้านี้
ทั้งนี้ ในปี2558 บริษัทคาดว่าจะเปิดตัวโครงการแนวราบรวม 6-7 โครงการ โดยในจำนวนนี้จะมี 3 โครงการที่ใช้ระบบพรีแฟ็บในการก่อสร้าง 100% โดยจะเป็นกลุ่มบ้านระดับราคา 2-4 ล้านบาท ส่วนบ้านราคา 4 ล้านบาทขึ้นไปจะยังคงใช้ระบบก่ออิฐฉาบปูน เช่นเดิม
ดร.เกษรา กล่าวถึงโครงการบ้านร่วมทางฝันว่า ในช่วงที่ผ่านมาได้นำโครงการที่อยู่อาศัยเข้าร่วมโครงการบ้านร่วมทางฝันมาแล้ว 3 โครงการ ซึ่งสามารถนำกำไรจากการขายทั้ง 3 โครงการบริจาคแก่โรงพยาบาลรัฐบาลได้แล้ว120ล้านบาท สำหรับโครงการบ้านร่วมทางฝันเป็นโครงการที่พัฒนาเพื่อขายให้ผู้บริโภคทั่วไป แต่จะนำกำไรจากการขายทั้งหมดมอบให้โรงพยาบาลรัฐบาลนำไปใช้ในโครงการต่างๆ เพื่อช่วยในการรักาผู้ป่วย โดยโครงการล่าสุดที่นำเข้าโครงการบ้านร่วมทางฝัน4 คือ โครงการ คอนโดมิเนียมสูง8ชั้น 1 อาคารจำนวน196ยูนิต ราคาเฉลี่ย1.6ล้านบาท มูลค่ารวม 315 ล้านบาท ตั้งอยู่ในย่านถนนเทอดไท เขตบางแค.
กำลังโหลดความคิดเห็น