“ปนัดดา”พ้อเจ้าของโกดังไม่ให้ความร่วมมือ เหตุผลตรวจสอบข้าวล่าช้า เชื่อยื้อเวลามีพิรุธ “ยิ่งลักษณ์” วอนอย่าชี้นำผลตัดสินคดีจำนำข้าว ขอเป็นไปตามพยาน-หลักฐาน ทำเสียงแข็งไม่ได้โกง ด้าน “หมอวรงค์” ถอนหงอก “ลิ่วล้อปู” ไล่ไปอ่านหนังสือ "มหากาพย์โกงข้าว" ก่อนค่อยออกมาพูด สับไม่รู้เรื่องข้าว ดีแต่ใช้วาทกรรมโจมตี ปชป.
วานนี้ (8 ก.ย.) ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้าวคงเหลือของรัฐ กล่าวถึงกรณีที่จะมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบข้าวจากห้องทดลอง (ห้องแลป) ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ว่า ขณะนี้ผลการตรวจสอบจากห้องแล็บยังไม่เรียบร้อย และที่สำคัญเจอกับปัญหาหลายโกงดังไม่ให้ความร่วมมือ และเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความล่าช้า บางแห่งไม่ยอมนำกระสอบข้าวมาตั้งให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ซึ่งเชื่อว่ามีความผิดปกติอยู่
“โกดังเหล่านี้ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ กองกระสอบข้าวไม่ยอมตั้งให้เจ้าหน้าที่ และยังจะย้อนมาที่ผู้ตรวจด้วยว่า อยากตรวจเร็วนัก ก็ให้มาตั้งกระสอบข้าวกันเอง ซึ่งผู้ตรวจแต่ละท่าน อายุมากๆกันทั้งนั้น แต่ว่าผมขอไม่ระบุชื่อโกดังที่เป็นปัญหา เพราะเคยเป็นบทเรียนสำคัญที่ผมเคยโดนมาแล้ว แต่อยากจะบอกให้น้องๆได้เห็นกันว่า เรื่องแบบนี้คงจะมีอะไรที่เป็นนัยอยู่" ม.ล.ปนัดดา กล่าว
เมื่อถามว่า เรื่องข้าวเป็นเรื่องใหญ่ แต่มีความพยายามหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมือง ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่เคยมองเป็นเรื่องการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
“ยิ่งลักษณ์” เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม
อีกด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่า ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ และอยู่ในชั้นอัยการสูงสุด ที่มีการตั้งคณะกรรมการร่วม ระหว่าง อัยการกับ ป.ป.ช.ว่า ได้มอบหมายให้ทีมทนายความทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว และได้ติดตามความคืบหน้าจากการรายงานของทนาย ขั้นตอนทุกอย่างขอให้เป็นไปตามพยานหลักฐาน ซึ่งมั่นใจว่า ไม่ได้กระทำการทุจริต ไม่อยากให้สังคมใช้กระแสในการชี้นำ เพราะจะถือว่าเป็นการชี้นำกระบวนการยุติธรรม ซึ่งขณะนี้คดียังอยู่ในขั้นตอนที่ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ขอให้ทุกอย่างเป็นที่สิ้นสุดก่อนดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นห่วงเรื่องการใช้อำนาจพิเศษบางส่วน แทรกแซงกระบวนการพิจารณาในชั้นอัยการสูงสุดหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม จะยึดบนหลักของกฎหมาย ยึดบนหลักพยานหลักฐาน ไม่ให้ใครมาชี้นำ ตรงนี้จะทำให้ความยุติธรรมที่เราควรจะมีไว้กับสังคมไทยที่ให้ทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมจะได้คงอยู่ ช่วยในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดต่อไปด้วย
“หมอวรงค์” สอนมวย “พนัส”
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะนี้คนของพรรคเพื่อไทยหลายคนออกมาวิจารณ์การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.หลายต่อหลายคน โดยหนึ่งในนั้นมี นายพนัส ทัศนียานนท์ ด้วย ซึ่งนายพนัสถือเป็นผู้ใหญ่ แทนที่จะเอาข้อเท็จจริงและใช้เหตุผล แต่กลับใช้ลีลาโวหารเช่นเดียวกับคนอื่นๆ มีความพยามโยงไปถึงคดีโครงการประกันรายได้ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ป.ป.ช.ถ่วงไว้จนคนเห็นความเป็นสองมาตรฐาน
“สะท้อนให้เห็นว่า นายพนัสรู้ไม่จริงเรื่องข้าว แต่ใช้วาทกรรมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ถ้าแน่จริงต้องแจงออกมาให้ได้ว่า ปัญหาของประกันรายได้คืออะไร ฝ่ายการเมืองทุจริตตอนไหน อย่างไร” นพ.วรงค์ กล่าว
นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า ตนทราบว่า พรรคเพื่อไทย ส่งคนไปร้อง ป.ป.ช.แบบไม่มีข้อมูล แต่ก็ร้องไว้ก่อน เพราะช่วงก่อนทึ่ คณะรักกษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเข้ามาควบคุมอำนาจการปกครอง ได้มีประชาชนจากภาคอีสานแจ้งให้ตนทราบว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ขณะนั้นมี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดี ลงไปนัดแนะชาวบ้านเพื่อจะไปเก็บข้อมูลประกันรายได้ย้อนหลัง สุดท้ายก็ล้มเหลว ที่น่าสังเกตคือในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ก็ไม่เคยเห็นพรรคเพื่อไทยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโครงการประกันรายได้ว่า นักการเมืองคนไหนทุจริต แต่กลับมาจุดประเด็นนี้ในช่วงที่โครงการรับจำนำข้าวล่มสลาย เพื่อเบี่ยงเบนว่า โครงการรับจำนำทุจริต แต่โครงการประกันรายได้ก็ทุจริตเหมือนกัน
“ขอให้นายพนัสไปศึกษาเรื่องประกันรายได้ในหนังสือ "มหากาพย์โกงข้าว" บทที่ 11 จะได้รู้ว่า ฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ไปแตะเงินสักบาทเดียว รัฐไม่ได้ซื้อข้าวเก็บไว้เหมือนโครงการจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย จึงไม่มีข้าวอยู่ในมือรัฐมีหน้าที่ช่วยชาวนาโดยตรงการซื้อขายข้าวให้เป็นไปตามกลไกตลาด นายพนัสจะได้ไม่เสียชื่อเหมือนคนอื่นๆ ที่กล่าวหาโครงการประกันรายได้แบบเลื่อนลอย ที่สำคัญจะเสียผู้ใหญ่” นพ.วรงค์ กล่าว
วานนี้ (8 ก.ย.) ม.ล.ปนัดดา ดิศกุล รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ในฐานะประธานคณะอนุกรรมการตรวจสอบข้าวคงเหลือของรัฐ กล่าวถึงกรณีที่จะมีการเปิดเผยผลการตรวจสอบข้าวจากห้องทดลอง (ห้องแลป) ในวันที่ 15 ก.ย.นี้ว่า ขณะนี้ผลการตรวจสอบจากห้องแล็บยังไม่เรียบร้อย และที่สำคัญเจอกับปัญหาหลายโกงดังไม่ให้ความร่วมมือ และเป็นเหตุผลหลัก ที่ทำให้เกิดความล่าช้า บางแห่งไม่ยอมนำกระสอบข้าวมาตั้งให้เจ้าหน้าที่ตรวจ ซึ่งเชื่อว่ามีความผิดปกติอยู่
“โกดังเหล่านี้ไม่ให้ความร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ กองกระสอบข้าวไม่ยอมตั้งให้เจ้าหน้าที่ และยังจะย้อนมาที่ผู้ตรวจด้วยว่า อยากตรวจเร็วนัก ก็ให้มาตั้งกระสอบข้าวกันเอง ซึ่งผู้ตรวจแต่ละท่าน อายุมากๆกันทั้งนั้น แต่ว่าผมขอไม่ระบุชื่อโกดังที่เป็นปัญหา เพราะเคยเป็นบทเรียนสำคัญที่ผมเคยโดนมาแล้ว แต่อยากจะบอกให้น้องๆได้เห็นกันว่า เรื่องแบบนี้คงจะมีอะไรที่เป็นนัยอยู่" ม.ล.ปนัดดา กล่าว
เมื่อถามว่า เรื่องข้าวเป็นเรื่องใหญ่ แต่มีความพยายามหยิบยกขึ้นมาเป็นประเด็นทางการเมือง ม.ล.ปนัดดา กล่าวว่า เรื่องนี้ตนไม่เคยมองเป็นเรื่องการเมืองใดๆ ทั้งสิ้น
“ยิ่งลักษณ์” เชื่อมั่นกระบวนการยุติธรรม
อีกด้าน น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงความคืบหน้าคดีโครงการรับจำนำข้าว ที่ถูกคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ชี้มูลความผิดว่า ละเลยต่อการปฏิบัติหน้าที่ และอยู่ในชั้นอัยการสูงสุด ที่มีการตั้งคณะกรรมการร่วม ระหว่าง อัยการกับ ป.ป.ช.ว่า ได้มอบหมายให้ทีมทนายความทำหน้าที่นี้อยู่แล้ว และได้ติดตามความคืบหน้าจากการรายงานของทนาย ขั้นตอนทุกอย่างขอให้เป็นไปตามพยานหลักฐาน ซึ่งมั่นใจว่า ไม่ได้กระทำการทุจริต ไม่อยากให้สังคมใช้กระแสในการชี้นำ เพราะจะถือว่าเป็นการชี้นำกระบวนการยุติธรรม ซึ่งขณะนี้คดียังอยู่ในขั้นตอนที่ยังไม่เป็นที่สิ้นสุด ขอให้ทุกอย่างเป็นที่สิ้นสุดก่อนดีกว่า
ผู้สื่อข่าวถามว่า มีความเป็นห่วงเรื่องการใช้อำนาจพิเศษบางส่วน แทรกแซงกระบวนการพิจารณาในชั้นอัยการสูงสุดหรือไม่ น.ส.ยิ่งลักษณ์ กล่าวว่า เชื่อมั่นว่าผู้ที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรม จะยึดบนหลักของกฎหมาย ยึดบนหลักพยานหลักฐาน ไม่ให้ใครมาชี้นำ ตรงนี้จะทำให้ความยุติธรรมที่เราควรจะมีไว้กับสังคมไทยที่ให้ทุกคนอย่างเสมอภาคและเท่าเทียมจะได้คงอยู่ ช่วยในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทั้งหมดต่อไปด้วย
“หมอวรงค์” สอนมวย “พนัส”
ขณะที่ นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า เป็นที่น่าสังเกตว่า ระยะนี้คนของพรรคเพื่อไทยหลายคนออกมาวิจารณ์การทำหน้าที่ของ ป.ป.ช.หลายต่อหลายคน โดยหนึ่งในนั้นมี นายพนัส ทัศนียานนท์ ด้วย ซึ่งนายพนัสถือเป็นผู้ใหญ่ แทนที่จะเอาข้อเท็จจริงและใช้เหตุผล แต่กลับใช้ลีลาโวหารเช่นเดียวกับคนอื่นๆ มีความพยามโยงไปถึงคดีโครงการประกันรายได้ของพรรคประชาธิปัตย์ว่า ป.ป.ช.ถ่วงไว้จนคนเห็นความเป็นสองมาตรฐาน
“สะท้อนให้เห็นว่า นายพนัสรู้ไม่จริงเรื่องข้าว แต่ใช้วาทกรรมเช่นเดียวกับคนอื่นๆ ถ้าแน่จริงต้องแจงออกมาให้ได้ว่า ปัญหาของประกันรายได้คืออะไร ฝ่ายการเมืองทุจริตตอนไหน อย่างไร” นพ.วรงค์ กล่าว
นพ.วรงค์ กล่าวต่อว่า ตนทราบว่า พรรคเพื่อไทย ส่งคนไปร้อง ป.ป.ช.แบบไม่มีข้อมูล แต่ก็ร้องไว้ก่อน เพราะช่วงก่อนทึ่ คณะรักกษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จะเข้ามาควบคุมอำนาจการปกครอง ได้มีประชาชนจากภาคอีสานแจ้งให้ตนทราบว่า เจ้าหน้าที่กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ที่ขณะนั้นมี นายธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นอธิบดี ลงไปนัดแนะชาวบ้านเพื่อจะไปเก็บข้อมูลประกันรายได้ย้อนหลัง สุดท้ายก็ล้มเหลว ที่น่าสังเกตคือในช่วงรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกฯ ก็ไม่เคยเห็นพรรคเพื่อไทยเปิดอภิปรายไม่ไว้วางใจโครงการประกันรายได้ว่า นักการเมืองคนไหนทุจริต แต่กลับมาจุดประเด็นนี้ในช่วงที่โครงการรับจำนำข้าวล่มสลาย เพื่อเบี่ยงเบนว่า โครงการรับจำนำทุจริต แต่โครงการประกันรายได้ก็ทุจริตเหมือนกัน
“ขอให้นายพนัสไปศึกษาเรื่องประกันรายได้ในหนังสือ "มหากาพย์โกงข้าว" บทที่ 11 จะได้รู้ว่า ฝ่ายการเมืองและเจ้าหน้าที่ไม่มีสิทธิ์ไปแตะเงินสักบาทเดียว รัฐไม่ได้ซื้อข้าวเก็บไว้เหมือนโครงการจำนำข้าวของพรรคเพื่อไทย จึงไม่มีข้าวอยู่ในมือรัฐมีหน้าที่ช่วยชาวนาโดยตรงการซื้อขายข้าวให้เป็นไปตามกลไกตลาด นายพนัสจะได้ไม่เสียชื่อเหมือนคนอื่นๆ ที่กล่าวหาโครงการประกันรายได้แบบเลื่อนลอย ที่สำคัญจะเสียผู้ใหญ่” นพ.วรงค์ กล่าว
