“ แม็ทชิ่ง” ทุ่ม 900 ล้านบาท ลุยธุรกิจอินฟราสตรัคเจอร์ด้านการถ่ายทำภาพยนตร์ เร่งสร้างมูฟวี่ทาวน์สตูดิโอ 5 โรง บนพื้นที่ 200 ไร่ ผุดโพสต์โปรดักชั่น รับตลาดต่างประเทศและโปรดักส์ชั่นเฮาส์ละครไทย เมินตำแหน่งคอนเท้นท์โพไวเดอร์ มองไม่คุ้มในเกมดิจิตอลทีวี ขอโฟกัส 5 รายการในปัจจุบัน คาดสิ้นปี59 รายได้แตะ1,000 ล้านบาท ส่วนปีนี้มั่นใจโต20-30% หรือไม่ต่ำกว่า 700 ล้านบาท
นายภูมิชาย วัชรพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี2557-2558นี้ บริษัทพร้อมใช้งบลงทุนร่วม 900 ล้านบาท สำหรับการลงทุนทางด้านอินฟราสตรัคเจอร์เกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์และละคร เนื่องจากพบว่าประเทศไทยกำลังเป็นเดสติเนชั่นในการถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีน และอินเดียซึ่งเฉพาะที่ติดต่อผ่านบริษัทเพื่อเช่าอุปกรณ์ในการถ่ายทำมีไม่ต่ำกว่า 700 เรื่องในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ในกลุ่มให้เช่้าอุปกรณ์เติบโตขึ้น 20-30% ต่อปี
อย่างไรก็ตามพบว่าประเทศไทยยังไม่มีสตูดิโอขนาดใหญ่รองรับตลาดการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติที่เข้ามาในไทย ที่มีอยู่ก็เป็นขนาดเล็กและไม่ครอบคลุม ดังนั้นทางบริษัทจึงใช้งบกว่า 700 ล้านบาท สำหรับลงทุนสร้างมูฟวี่ทาวน์ สตูดิโอขึ้นมา บนพื้นที่ 200ไร่ ที่ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งได้ทำการเซ็นสัญญาซื้อที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้วและในปลายปีนี้พร้อมที่เริิ่่มก่อสร้างสตูดิโอรวม 5 สตูดิโอ ปีหน้าจะแล้วเสร็จ 2 สตูดิโอ และภายในปี2559 จะแล้วเสร็จทั้งหมด เพื่อรองรับตลาดต่างประเทศและในไทยในส่วนของโปรดักส์ชั่นเฮาส์ผลิตภาพยนตร์และละคร จากการเกิดดิจิตอลทีวี ที่เชื่อว่าจะทำให้โปรดักส์ชั่นเฮาส์ที่เกิดขึ้นอีกมาก โดยต่อปีน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 50 ล้านบาทจากมูฟวี่ทาวน์สตูดิโอแห่งนี้
นอกจากนี้ทางบริษัทยังเตรียมเพิ่มหน่วยธุรกิจใหม่ในส่วนของ โพสต์โปรดักส์ชั่น หรือ ฝ่ายตัดต่อภาพยนตร์และละคร ซึ่งน่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากในหลัก 10ล้านบาทขึ้นไป และลงทุนอีกร่วม 100 ล้านบาท สำหรับการเพิ่มเครื่องมืออุปกรณ์การถ่ายทำภาพยนตร์อีกส่วนหนึ่ง โดยหลังจากนี้ยังมีการเจรจาร่วมทุนกับทางพาร์ทเนอร์ที่พม่าในธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้แม็ทชิ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ธุรกิจด้านอินฟาสตรัคเจอร์ในการผลิตภาพยนตร์แบบครบวงจร
“แม็ทชิ่งพร้อมวางตัวเองเป็นผู้นำด้านธุรกิจอินฟราสตรัคเจอร์ในการถ่ายทำภาพยนตร์และละคร มากกว่าที่จะเป็นคอนเท้นท์โพรไวเดอร์ เนื่องจากมองเห็นการแข่งขันสูง และโอกาสในการดำเนินธุรกิจมีความเสี่ยง เห็นจากดิจิตอลทีวีที่ยังไม่นิ่ง ถึงแม้จะมีหลายช่องดิจิตอลทีวีที่สนใจให้ทางแม็ทชิ่งผลิตรายการให้ก็ตาม ซึ่งในส่วนนี้กำลังศึกษาอยู่เช่นกัน แต่ขอโฟกัสในส่วนอินฟาฯดีกว่า เพราะเป็นธุรกิจที่มีโอกาสที่ดีกว่า รองรับกลุ่มโปรดักส์ชั่นเฮาส์ได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ”
นายภูมิชาย กล่าวต่อว่า ในส่วนของรายการโทรทัศน์นั้น ปัจจุบันมีอยู่ 5 รายการ คือ 4 รายการทางช่อง7 เช่น ปลดหนี้, คบเด็กสร้างบ้าน และอีก 1 รายการทางช่องทรูแชนแนล โดยในส่วนนี้จะมีการอัปเกรดรายการให้มีความน่าสนใจขึ้น รวมถึงมุ่งในส่วนส่วนของการรับจ้างผลิตรายการให้กับดิจิตอลทีวีมากกว่าผลิตขึ้นเอง โดยในส่วนของรายการปลดหนี้นั้นถือเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูงถึง 3.2 และเป็นรายการที่สร้างรายได้หลักให้แม็ทชิ่ง โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่ สู่ช่วงไพร์มไทม์เย็นในวันอาทิตย์ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการสรุปผลอยู่
จากแผนการดำเนินธุรกิจที่วางไว้ มองว่าหลังปี2559 แม็ทชิ่งจะมีธุรกิจที่สร้างรายได้หลักอยู่ 4 กลุ่ม คือ เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำภาพยนตร์ 60% รายการทีวี 20% ให้เช่าสตูดิโอ 5% และอื่นๆ 15% หรือน่าจะมีรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาทได้ จากปีนี้ที่มีธุรกิจหลักอยู่ 2 ส่วน คือ 1. เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำ 60% และ2. รายการทีวี หนังสือ และอีเว้นท์ 40% โดยสิ้นปีนี้น่าจะมีรายได้โตขึ้น 20-30% หรือกว่า 700 ล้านบาทได้ นายภูมิชาย กล่าว
นายภูมิชาย วัชรพงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท แม็ทชิ่ง แม็กซิไมซ์ โซลูชั่น จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในปี2557-2558นี้ บริษัทพร้อมใช้งบลงทุนร่วม 900 ล้านบาท สำหรับการลงทุนทางด้านอินฟราสตรัคเจอร์เกี่ยวกับการถ่ายทำภาพยนตร์และละคร เนื่องจากพบว่าประเทศไทยกำลังเป็นเดสติเนชั่นในการถ่ายทำภาพยนตร์จากต่างประเทศสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจีน และอินเดียซึ่งเฉพาะที่ติดต่อผ่านบริษัทเพื่อเช่าอุปกรณ์ในการถ่ายทำมีไม่ต่ำกว่า 700 เรื่องในปีที่ผ่านมา ส่งผลให้รายได้ในกลุ่มให้เช่้าอุปกรณ์เติบโตขึ้น 20-30% ต่อปี
อย่างไรก็ตามพบว่าประเทศไทยยังไม่มีสตูดิโอขนาดใหญ่รองรับตลาดการถ่ายทำภาพยนตร์ต่างชาติที่เข้ามาในไทย ที่มีอยู่ก็เป็นขนาดเล็กและไม่ครอบคลุม ดังนั้นทางบริษัทจึงใช้งบกว่า 700 ล้านบาท สำหรับลงทุนสร้างมูฟวี่ทาวน์ สตูดิโอขึ้นมา บนพื้นที่ 200ไร่ ที่ อำเภอบางบ่อ จังหวัดสมุทรปราการ ซึ่งได้ทำการเซ็นสัญญาซื้อที่ดินเป็นที่เรียบร้อยแล้วและในปลายปีนี้พร้อมที่เริิ่่มก่อสร้างสตูดิโอรวม 5 สตูดิโอ ปีหน้าจะแล้วเสร็จ 2 สตูดิโอ และภายในปี2559 จะแล้วเสร็จทั้งหมด เพื่อรองรับตลาดต่างประเทศและในไทยในส่วนของโปรดักส์ชั่นเฮาส์ผลิตภาพยนตร์และละคร จากการเกิดดิจิตอลทีวี ที่เชื่อว่าจะทำให้โปรดักส์ชั่นเฮาส์ที่เกิดขึ้นอีกมาก โดยต่อปีน่าจะมีรายได้เพิ่มขึ้นอีก 50 ล้านบาทจากมูฟวี่ทาวน์สตูดิโอแห่งนี้
นอกจากนี้ทางบริษัทยังเตรียมเพิ่มหน่วยธุรกิจใหม่ในส่วนของ โพสต์โปรดักส์ชั่น หรือ ฝ่ายตัดต่อภาพยนตร์และละคร ซึ่งน่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากในหลัก 10ล้านบาทขึ้นไป และลงทุนอีกร่วม 100 ล้านบาท สำหรับการเพิ่มเครื่องมืออุปกรณ์การถ่ายทำภาพยนตร์อีกส่วนหนึ่ง โดยหลังจากนี้ยังมีการเจรจาร่วมทุนกับทางพาร์ทเนอร์ที่พม่าในธุรกิจให้เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำภาพยนตร์ด้วยเช่นกัน ส่งผลให้แม็ทชิ่งจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้ธุรกิจด้านอินฟาสตรัคเจอร์ในการผลิตภาพยนตร์แบบครบวงจร
“แม็ทชิ่งพร้อมวางตัวเองเป็นผู้นำด้านธุรกิจอินฟราสตรัคเจอร์ในการถ่ายทำภาพยนตร์และละคร มากกว่าที่จะเป็นคอนเท้นท์โพรไวเดอร์ เนื่องจากมองเห็นการแข่งขันสูง และโอกาสในการดำเนินธุรกิจมีความเสี่ยง เห็นจากดิจิตอลทีวีที่ยังไม่นิ่ง ถึงแม้จะมีหลายช่องดิจิตอลทีวีที่สนใจให้ทางแม็ทชิ่งผลิตรายการให้ก็ตาม ซึ่งในส่วนนี้กำลังศึกษาอยู่เช่นกัน แต่ขอโฟกัสในส่วนอินฟาฯดีกว่า เพราะเป็นธุรกิจที่มีโอกาสที่ดีกว่า รองรับกลุ่มโปรดักส์ชั่นเฮาส์ได้ทั้งในไทยและต่างประเทศ”
นายภูมิชาย กล่าวต่อว่า ในส่วนของรายการโทรทัศน์นั้น ปัจจุบันมีอยู่ 5 รายการ คือ 4 รายการทางช่อง7 เช่น ปลดหนี้, คบเด็กสร้างบ้าน และอีก 1 รายการทางช่องทรูแชนแนล โดยในส่วนนี้จะมีการอัปเกรดรายการให้มีความน่าสนใจขึ้น รวมถึงมุ่งในส่วนส่วนของการรับจ้างผลิตรายการให้กับดิจิตอลทีวีมากกว่าผลิตขึ้นเอง โดยในส่วนของรายการปลดหนี้นั้นถือเป็นรายการที่มีเรตติ้งสูงถึง 3.2 และเป็นรายการที่สร้างรายได้หลักให้แม็ทชิ่ง โดยจะมีการเปลี่ยนแปลงเวลาใหม่ สู่ช่วงไพร์มไทม์เย็นในวันอาทิตย์ ซึ่งกำลังอยู่ในช่วงของการสรุปผลอยู่
จากแผนการดำเนินธุรกิจที่วางไว้ มองว่าหลังปี2559 แม็ทชิ่งจะมีธุรกิจที่สร้างรายได้หลักอยู่ 4 กลุ่ม คือ เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำภาพยนตร์ 60% รายการทีวี 20% ให้เช่าสตูดิโอ 5% และอื่นๆ 15% หรือน่าจะมีรายได้ทะลุ 1,000 ล้านบาทได้ จากปีนี้ที่มีธุรกิจหลักอยู่ 2 ส่วน คือ 1. เช่าอุปกรณ์ถ่ายทำ 60% และ2. รายการทีวี หนังสือ และอีเว้นท์ 40% โดยสิ้นปีนี้น่าจะมีรายได้โตขึ้น 20-30% หรือกว่า 700 ล้านบาทได้ นายภูมิชาย กล่าว
