00 จะเรียกว่าตั้งใจโผล่หน้าออกมาให้เห็นทำนองว่า "ข้ายังเฝ้าดูเอ็งอยู่นะเฟ้ย" อะไรทำนองนั้น สำหรับ ทักษิณ ชินวัตร ที่รายงานล่าสุดบอกว่ามาด้อมๆ มองๆ แถวฮ่องกง เพื่อนัดแนะกับบรรดาสมุนแบบเฉพาะเจาะจง เน้นกันเฉพาะบางคนที่มีประโยชน์เท่านั้น เนื้อหาที่ตั้งใจปล่อยออกมาให้ถึงเมืองไทย เมื่อจับความหมายแล้วก็คือ ต้องการให้รู้เวลานี้ "กำลังอยู่นิ่งๆ ตามสัญญา" ไม่ขัดแข้งขัดขา ปล่อยให้โชว์ฝีมือกันเต็มที่ ยังไม่ได้ทำผิดเงื่อนไขอะไรเลยนะ !!
00 การโผล่ออกมาเที่ยวนี้น่าสนใจก็คือ เป็นช่วงที่ คสช.ของ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังทำงานครบ 3 เดือน ในวันที่ 22 ส.ค. พอดี เป็นช่วงองค์ประกอบแห่ง "อำนาจใหม่" กำลังเริ่มเดินหน้าเต็มตัว มีสภา กำลังจะมีนายกฯ มีรัฐบาล และกำลังจะมีสภาปฏิรูปฯตามมา ทั้งสามส่วนนี้ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับการเสนอ และอนุมัติกม.สำคัญทั้งสิ้น และสำหรับคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร มีความต้องการไม่กี่อย่าง นั่นคือ เงิน-อำนาจ-อยู่เหนือกม. ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เขาส่งสัญญาณผ่านมาทางสื่อก็คือ "หากให้อภัย หรือยอมความกันได้ก็เป็นเรื่องดี" ความหมายก็คือ ต้องการให้มี "นิรโทษ-ปรองดอง" เพื่อให้เขา และวงศ์วารว่านเครือทั้งหลาย ปลดล็อกออก "ล้างไพ่" ออกมาให้หมดไงล่ะ !!
00 หากมองในมุมของ ทักษิณ ชินวัตร นาทีนี้ก็ถือว่ามีความหวังขั้นสูงสุดเหมือนกัน อาจจะมีความหวังมากกว่าในยุครัฐบาลเลือกตั้งเสียอีก เพราะต้องไม่ลืมว่า ในความเป็นจริง "รัฏฐาธิปัตย์" อยู่ในมือของ คสช. ใช้อำนาจได้ทั้งทาง นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ถือว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวบรัดไม่เยิ่นเย้อ เพียงแต่ว่าจะใช้หรือไม่เท่านั้น ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งถ้าจะบอกว่าเสี่ยง มันก็มีไม่น้อยเหมือนกัน เพราะพิสูจน์กันมาหลายครั้งแล้วว่ามัน "อ่อนไหวสูง" ทุกที เปิดหน้าออกมาคราวใดเป็นต่องป่วน ต้องพังทุกทีเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องอื่นอาจปรองดองกันได้ แต่สำหรับ "ล้างผิดให้แม้ว" นี่รับรองว่ายาก หรือว่าจะลองเสี่ยงอีกครั้ง ก็ไม่ว่ากัน !!
00 หากถอดรหัสจากคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ฝากลอยลมข้ามมาว่า "อยู่นิ่งๆ ให้โอกาสคสช.ทำงานเต็มที่ อย่าไปขัดแข้งขัดขา เวลาแค่หนึ่งปีไม่นาน" หมากเกมนี้ถือว่าร้ายกาจ เพราะรู้แล้วว่า ระยะเวลานับจากนี้ไป คสช. ต้องเจอกับแรงกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะความคาดหวัง ภายใต้เวลาจำกัดไล่หลังเข้ามาเรื่อยๆ และคงอ่านเกมขาดแล้วว่า ด้วยวิธีบริหารแบบ "ข้าราชการนำ" แบบนี้ในระยะกลางก็คงหมดมุก ขณะเดียวกัน มันก็เหมือนกับการ "ต่อรองด้วยการนิ่งเฉย" ความหมายคือ จะอยู่นิ่งๆ แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องไม่รุกคืบ และที่สำคัญคำพูดที่ว่า "หากให้อภัย(โทษ) และยอมความกันได้ ก็เป็นเรื่องดี" แล้วถ้าไม่เป็นไปตามนี้ล่ะ จะ "ไม่นิ่ง" หรืออย่างไร
00 เบิกฤกษ์ประชุมสนช.กันไปแล้ว หลังมีการโปรดเกล้าฯ ประธานและรองประธาน สนช. วาระแรกก็เป็นการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 58 จำนวนกว่า 2.5 ล้านล้านบาท แต่ที่แปลกตาไปจากทุกปีก็คือ คราวนี้เป็นการเสนอร่างงบประมาณโดย หัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในแบบทหาร ไม่ใช่เสนอในฐานะนายกรัฐมนตรี เหมือนอย่างที่ผ่านมา ภาพที่เห็นบรรดาคณะคสช. เรียงแถวอยู่ด้านบนในที่นั่ง ครม. อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่อีกไม่นานก็คงชินตาไปเอง และในภาวะชั่วคราว เพราะอีกไม่นานก็จะมีนายกฯ มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามา เพียงแต่ว่าจะมี "หน้าเดิม" เข้ามา เช่น พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เป็นต้น
00 พูดถึงรัฐบาลใหม่ก็น่าเป็นห่วงว่าจะรับมือกันไหวหรือไม่ กับเรื่องปัญหาปากท้อง ปัญหาเรื่องราคาผลผลิตทางการเกษตร เพราะหากสังเกตให้ดีจะพบว่า แทบทุกตัวราคายังไม่กระเตื้องขึ้นเลย โดยเฉพาะสินค้าตัวหลัก อย่าง ยางพารา ข้าว เป็นต้น ตรงกันข้ามเวลานี้กลับทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ แม้แต่ล่าสุดอย่างเรื่องปัญหาลำไยทางภาคเหนือ ก็เริ่มมีการประท้วงกันให้เห็นแล้ว เรื่องแบบนี้มันอาจเป็นเงื่อนไข เป็นคำถามทำนอง "ไหนล่ะ ที่คืนความสุข" เพราะเวลานี้หากลองไปถามบรรดาพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้าน กลับยังได้รับคำตอบว่า "ยังไม่ดีขึ้น" ความรู้สึกแบบนี้แหละมันน่าหวาดเสียว !!
00 บรรยากาศการรับสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. ทั่วประเทศผ่านมา สามสี่วันยังเงียบเหงา ยอดรวมยังไม่ถึงห้าร้อยคน แบบนี้มันก็ต้องตั้งคำถามว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ เป็นเพราะชาวบ้านไม่มีอารมณ์ร่วม หรือมองว่าสมัครไปก็เท่านั้น เพราะล็อกสเปกกันแล้วหรือเปล่า และที่ผ่านมา มันก็ถูกมองให้เป็นแบบนั้นจริงๆ สังเกตจากกรรมการสรรหา ล้วนเป็นสายตรงของ คสช. ที่คุมเกมโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทั้งสิ้น จนทำให้หลายคนมองไม่ออกว่า จะปฏิรูปจริงได้อย่างไร ดังนั้นต้องลบบรรยากาศ และความรู้สึกแบบนี้ทิ้งไปให้เร็วที่สุด ไม่งั้นเสียหายแน่ !!
00 การโผล่ออกมาเที่ยวนี้น่าสนใจก็คือ เป็นช่วงที่ คสช.ของ "ลุงตู่" พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา กำลังทำงานครบ 3 เดือน ในวันที่ 22 ส.ค. พอดี เป็นช่วงองค์ประกอบแห่ง "อำนาจใหม่" กำลังเริ่มเดินหน้าเต็มตัว มีสภา กำลังจะมีนายกฯ มีรัฐบาล และกำลังจะมีสภาปฏิรูปฯตามมา ทั้งสามส่วนนี้ ก็ต้องเกี่ยวข้องกับการเสนอ และอนุมัติกม.สำคัญทั้งสิ้น และสำหรับคนอย่าง ทักษิณ ชินวัตร มีความต้องการไม่กี่อย่าง นั่นคือ เงิน-อำนาจ-อยู่เหนือกม. ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่เขาส่งสัญญาณผ่านมาทางสื่อก็คือ "หากให้อภัย หรือยอมความกันได้ก็เป็นเรื่องดี" ความหมายก็คือ ต้องการให้มี "นิรโทษ-ปรองดอง" เพื่อให้เขา และวงศ์วารว่านเครือทั้งหลาย ปลดล็อกออก "ล้างไพ่" ออกมาให้หมดไงล่ะ !!
00 หากมองในมุมของ ทักษิณ ชินวัตร นาทีนี้ก็ถือว่ามีความหวังขั้นสูงสุดเหมือนกัน อาจจะมีความหวังมากกว่าในยุครัฐบาลเลือกตั้งเสียอีก เพราะต้องไม่ลืมว่า ในความเป็นจริง "รัฏฐาธิปัตย์" อยู่ในมือของ คสช. ใช้อำนาจได้ทั้งทาง นิติบัญญัติ บริหาร และตุลาการ ถือว่าเบ็ดเสร็จเด็ดขาด รวบรัดไม่เยิ่นเย้อ เพียงแต่ว่าจะใช้หรือไม่เท่านั้น ขณะเดียวกันอีกมุมหนึ่งถ้าจะบอกว่าเสี่ยง มันก็มีไม่น้อยเหมือนกัน เพราะพิสูจน์กันมาหลายครั้งแล้วว่ามัน "อ่อนไหวสูง" ทุกที เปิดหน้าออกมาคราวใดเป็นต่องป่วน ต้องพังทุกทีเช่นเดียวกัน เพราะเรื่องอื่นอาจปรองดองกันได้ แต่สำหรับ "ล้างผิดให้แม้ว" นี่รับรองว่ายาก หรือว่าจะลองเสี่ยงอีกครั้ง ก็ไม่ว่ากัน !!
00 หากถอดรหัสจากคำพูดของ ทักษิณ ชินวัตร ที่ฝากลอยลมข้ามมาว่า "อยู่นิ่งๆ ให้โอกาสคสช.ทำงานเต็มที่ อย่าไปขัดแข้งขัดขา เวลาแค่หนึ่งปีไม่นาน" หมากเกมนี้ถือว่าร้ายกาจ เพราะรู้แล้วว่า ระยะเวลานับจากนี้ไป คสช. ต้องเจอกับแรงกดดันรอบด้าน โดยเฉพาะความคาดหวัง ภายใต้เวลาจำกัดไล่หลังเข้ามาเรื่อยๆ และคงอ่านเกมขาดแล้วว่า ด้วยวิธีบริหารแบบ "ข้าราชการนำ" แบบนี้ในระยะกลางก็คงหมดมุก ขณะเดียวกัน มันก็เหมือนกับการ "ต่อรองด้วยการนิ่งเฉย" ความหมายคือ จะอยู่นิ่งๆ แต่มีเงื่อนไขว่า ต้องไม่รุกคืบ และที่สำคัญคำพูดที่ว่า "หากให้อภัย(โทษ) และยอมความกันได้ ก็เป็นเรื่องดี" แล้วถ้าไม่เป็นไปตามนี้ล่ะ จะ "ไม่นิ่ง" หรืออย่างไร
00 เบิกฤกษ์ประชุมสนช.กันไปแล้ว หลังมีการโปรดเกล้าฯ ประธานและรองประธาน สนช. วาระแรกก็เป็นการพิจารณางบประมาณรายจ่ายประจำปี 58 จำนวนกว่า 2.5 ล้านล้านบาท แต่ที่แปลกตาไปจากทุกปีก็คือ คราวนี้เป็นการเสนอร่างงบประมาณโดย หัวหน้า คสช. พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในแบบทหาร ไม่ใช่เสนอในฐานะนายกรัฐมนตรี เหมือนอย่างที่ผ่านมา ภาพที่เห็นบรรดาคณะคสช. เรียงแถวอยู่ด้านบนในที่นั่ง ครม. อาจจะดูแปลกตาไปบ้าง แต่อีกไม่นานก็คงชินตาไปเอง และในภาวะชั่วคราว เพราะอีกไม่นานก็จะมีนายกฯ มีคณะรัฐมนตรีชุดใหม่เข้ามา เพียงแต่ว่าจะมี "หน้าเดิม" เข้ามา เช่น พล.อ.ประยุทธ์ พล.อ.ธนะศักดิ์ ปฏิมาประกร พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา พล.อ.อ.ประจิน จั่นตอง เป็นต้น
00 พูดถึงรัฐบาลใหม่ก็น่าเป็นห่วงว่าจะรับมือกันไหวหรือไม่ กับเรื่องปัญหาปากท้อง ปัญหาเรื่องราคาผลผลิตทางการเกษตร เพราะหากสังเกตให้ดีจะพบว่า แทบทุกตัวราคายังไม่กระเตื้องขึ้นเลย โดยเฉพาะสินค้าตัวหลัก อย่าง ยางพารา ข้าว เป็นต้น ตรงกันข้ามเวลานี้กลับทรุดหนักลงไปเรื่อยๆ แม้แต่ล่าสุดอย่างเรื่องปัญหาลำไยทางภาคเหนือ ก็เริ่มมีการประท้วงกันให้เห็นแล้ว เรื่องแบบนี้มันอาจเป็นเงื่อนไข เป็นคำถามทำนอง "ไหนล่ะ ที่คืนความสุข" เพราะเวลานี้หากลองไปถามบรรดาพ่อค้าแม่ค้าและชาวบ้าน กลับยังได้รับคำตอบว่า "ยังไม่ดีขึ้น" ความรู้สึกแบบนี้แหละมันน่าหวาดเสียว !!
00 บรรยากาศการรับสมัครเข้ารับการสรรหาเป็น สปช. ทั่วประเทศผ่านมา สามสี่วันยังเงียบเหงา ยอดรวมยังไม่ถึงห้าร้อยคน แบบนี้มันก็ต้องตั้งคำถามว่า ทำไมถึงเป็นแบบนี้ไปได้ เป็นเพราะชาวบ้านไม่มีอารมณ์ร่วม หรือมองว่าสมัครไปก็เท่านั้น เพราะล็อกสเปกกันแล้วหรือเปล่า และที่ผ่านมา มันก็ถูกมองให้เป็นแบบนั้นจริงๆ สังเกตจากกรรมการสรรหา ล้วนเป็นสายตรงของ คสช. ที่คุมเกมโดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ ทั้งสิ้น จนทำให้หลายคนมองไม่ออกว่า จะปฏิรูปจริงได้อย่างไร ดังนั้นต้องลบบรรยากาศ และความรู้สึกแบบนี้ทิ้งไปให้เร็วที่สุด ไม่งั้นเสียหายแน่ !!
