ผ่านไปแล้วสำหรับกระบวนการด้านสภานิติบัญญัติ เลือกประธาน 2 รองประธาน และประเดิมงานแรกโดยถกร่าง พ.ร.บ.งบประมาณนำเสนอโดยคณะรักษาความสงบแห่งชาติแบบไร้ปัญหา มีเพียงพิธีกรรมขั้นตอนต่างๆ เท่านั้น
ทุกอย่างย่อมฉลุย เรียบร้อยโรงเรียน คสช.อย่างไร้กังวล จากนี้ไปสภาฯ จะเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งน่าจะเป็น “คุณบิ๊กตู่” ถ้าไม่พลิกกรณีตัวเองตัดสินใจไม่ยอมรับตำแหน่ง ซึ่งประเด็นพลิกผันนี้น่าจะมีเพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์
ถ้าจะแปรผัน คงเป็นความกังวลเกี่ยวกับปัญหาต่อเนื่องตามข้อคัดค้านท้วงติง 3 ข้อของเอ็นจีโอระดับแนวหน้า คุณศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งเตือนว่าถ้าหัวหน้า คสช.และนายกฯ เป็นคนเดียวกันจะเกิดความไม่สง่างามอย่างยิ่ง
เป็นการ “เกี้ยเซี้ย” หรือ “ผลัดกันเกาหลัง” เพราะหัวหน้า คสช.เป็นคนเสนอชื่อสมาชิก สนช.ให้โปรดเกล้าฯ จากนั้น สนช.มาเลือกนายกฯ เท่ากับเป็นพฤติกรรมถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ผลัดกันเอื้อ อวย ตำแหน่งแลกเปลี่ยนกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้ สนช.เป็นเพียงสภาตรายาง ฝักถั่วสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะโครงสร้างมีนายทหารมากกว่า 100 คน อยู่แล้ว อีกประเด็นเป็นเรื่อง หัวหน้า คสช.เสนอการสิ้นสุดของนายกฯ ซึ่งเป็นสภาวะกระอักกระอ่วน
ถ้านายกฯ ทำงานไม่เข้าตาประชาชน หัวหน้า คสช. จะเปลี่ยนตัวตามคำเรียกร้องของชาวบ้านมั้ย เมื่อเป็นคนเดียวกัน...และหัวหน้า คสช.กับนายกฯ จะแบ่งงานแยกบทบาทหน้าที่กันอย่างไร เมื่อทำผิดมีโทษ 2 เด้งมั้ย
ปัญหานี้จะไม่เกิด ถ้า “คุณบิ๊กตู่” เลือกนั่งเพียงตำแหน่งเดียว...ชาวบ้านจะไม่รู้สึกพิกล ถ้าต้องร้องเรียนหัวหน้า คสช.กรณีที่ นายกฯ ทำอะไรไม่ถูกใจประชาชน จะไม่มีขั้นตอน 2 ระดับอย่างที่คุณศรีสุวรรณได้ยกประเด็นเหล่านี้
แถมยังแย้มเล็กน้อยว่า ถ้าเป็นไปตามที่ว่า จะนำเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน ขัดแย้ง หรือ “เกี้ยเซี้ย” สร้างปัญหากวนใจ ทำให้งานบริหารราชการไม่โปร่งใส เหมือนมีอำนาจซ้อนรัฐ
นี่จึงเป็นจุดเปราะสำหรับ คสช. และรัฐบาล เว้นแต่ว่าจะมีคำอธิบายง่ายๆ ว่า ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเถอะ ข้าพเจ้ามีอำนาจซะอย่าง...ไม่ฟัง ถึงกระนั้น คสช. และรัฐบาลต้องระวังในประเด็นศรัทธาความน่าเชื่อถือให้มาก
ถ้าไร้เสียซึ่ง 2 ปัจจัยนี้ และมีพฤติกรรมสร้างความไม่พอใจให้ประชาชน จะทำให้เกิดจุดอ่อน จุดเสื่อมศรัทธา และโอกาสที่จะนำไปสู่ “จุดดับ” ยิ่งง่าย คสช.คงได้ฟังแล้วว่าบักเหลี่ยมได้บอกขี้ข้าม้าใช้บริวารว่า คสช.คงอยู่ได้ 1 ปี
เป็นการพูดแบบมั่นใจ เหมือนผีดิบได้กลิ่นคาวเลือดเหยื่อไร้พิษสง!
นี่เพิ่งจะครบ 3 เดือนของการยึดอำนาจรัฐ เริ่มมีบรรยากาศของน้ำผึ้งขมเกิดขึ้นเพราะจุดเปราะต่างๆ เริ่มเป็นจุดอ่อน เช่นนโยบายด้านพลังงาน ทุกวันนี้ยังตอบคำถามประชาชนไม่ได้ว่าทำไมราคาน้ำมันเมืองไทยจึงแพงกว่าสหรัฐฯ
ทำไมราคาสลากกินแบ่งฯ สินค้าของรัฐแท้ๆ จึงขายเกินราคาอยู่ได้ แล้วรัฐบาลจะให้เอกชนควบคุมราคาสินค้า หรือลดราคาให้อวยคนรายได้น้อย และที่สำคัญ ทำไมไม่ถอดยศ เพิกถอนหนังสือเดินทาง ออกหมายจับบักเหลี่ยมร้าย
บักเหลี่ยมออกมาพูดแนวกร่างอีกแล้ว พวกขี้ข้าเสื้อแดงล้มเจ้าเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศเป็นขบวนการบ่อนทำลายสถาบันอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเดาก็ได้ว่าพฤติกรรมชั่วร้ายเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนรู้เห็นเป็นใจโดยบักเหลี่ยมหรือไม่
ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ คสช.ต้องรู้ว่ากระแสขาลงเริ่มเด่นชัดขึ้นทุกวันเพราะจุดเปราะกลายเป็นจุดอ่อน โทษใครก็ไม่ได้ เป็นเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุของการเพิกเฉยต่อคำถามซ้ำ และเสียงเรียกร้องให้ทำตามคำขอของประชาชน
จากเสียงเรียกร้องให้สะสางเรื่องคาใจ แต่มีปฏิกิริยาเฉยเมย คสช.เพียงบอกให้อดทน ใจเย็น ย่อมนำไปสู่ความสงสัย ยิ่งนานวันความรู้สึกแปรเป็นความไม่สบอารมณ์ ถึงขั้นรู้สึกว่าถูกทรยศ จึงเปลี่ยนเป็นสภาวะปฏิปักษ์
เอาเป็นว่าจากความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย สะสมเป็นหลายเรื่อง ประเดประดังกันเข้ามากลายเป็นเรื่องใหญ่ เหมือนลำธารเล็กๆ ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำนั่นแหละ คนมีความหวัง ตั้งความหวังไว้มากตามคำคุย ย่อมรู้สึกแค้น
ใครจะบอกว่าความรู้สึกทำนองนี้เป็นเพียงคนส่วนน้อย ต้องขอเตือนว่าถ้าสรุปง่ายๆ เพื่อหลอกตัวเอง หรือเจตนาไม่รับรู้ เหมือนนกกระจอกเทศเอาหัวซุกทรายจะทำให้สถานการณ์ร้ายเพิ่มระดับเป็นวิกฤต เว้นแต่จะแก้ไขให้ถูกทาง
ประเด็นเสียงเรียกร้องให้ คสช.แจ้งรายการบัญชีทรัพย์สิน ก็ต้องรีบทำแม้จะไม่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็ตาม เป็นเรื่องของความสง่างาม สร้างความเชื่อมั่นน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส เจตนาสุจริตในการทำงานเพื่อชาติ
ประเด็นการเล่นพรรคเล่นพวก แต่งตั้งพวกพ้องให้กินตำแหน่งสำคัญโดยไม่แยแสความรู้สึกของชาวบ้านจะเป็นตัวเร่งให้นำไปสู่จุดเสื่อม เพราะพฤติกรรมแนวนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากทำเพื่อผลประโยชน์ของพวก
ความรู้สึกห้ามกันไม่ได้ การทุจริตซึ่งมีเสียงร่ำลือหนาหู เป็นจริงหรือไม่จริง ไม่สำคัญ ถ้าชาวบ้านปักใจเชื่อเสียแล้ว เปลี่ยนยากและจะนำไปสู่จุดจบ
ทุกอย่างย่อมฉลุย เรียบร้อยโรงเรียน คสช.อย่างไร้กังวล จากนี้ไปสภาฯ จะเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งน่าจะเป็น “คุณบิ๊กตู่” ถ้าไม่พลิกกรณีตัวเองตัดสินใจไม่ยอมรับตำแหน่ง ซึ่งประเด็นพลิกผันนี้น่าจะมีเพียง 0.01 เปอร์เซ็นต์
ถ้าจะแปรผัน คงเป็นความกังวลเกี่ยวกับปัญหาต่อเนื่องตามข้อคัดค้านท้วงติง 3 ข้อของเอ็นจีโอระดับแนวหน้า คุณศรีสุวรรณ จรรยา ซึ่งเตือนว่าถ้าหัวหน้า คสช.และนายกฯ เป็นคนเดียวกันจะเกิดความไม่สง่างามอย่างยิ่ง
เป็นการ “เกี้ยเซี้ย” หรือ “ผลัดกันเกาหลัง” เพราะหัวหน้า คสช.เป็นคนเสนอชื่อสมาชิก สนช.ให้โปรดเกล้าฯ จากนั้น สนช.มาเลือกนายกฯ เท่ากับเป็นพฤติกรรมถ้อยทีถ้อยอาศัยกัน ผลัดกันเอื้อ อวย ตำแหน่งแลกเปลี่ยนกัน
เมื่อเป็นเช่นนี้จะทำให้ สนช.เป็นเพียงสภาตรายาง ฝักถั่วสมบูรณ์ยิ่งขึ้น เพราะโครงสร้างมีนายทหารมากกว่า 100 คน อยู่แล้ว อีกประเด็นเป็นเรื่อง หัวหน้า คสช.เสนอการสิ้นสุดของนายกฯ ซึ่งเป็นสภาวะกระอักกระอ่วน
ถ้านายกฯ ทำงานไม่เข้าตาประชาชน หัวหน้า คสช. จะเปลี่ยนตัวตามคำเรียกร้องของชาวบ้านมั้ย เมื่อเป็นคนเดียวกัน...และหัวหน้า คสช.กับนายกฯ จะแบ่งงานแยกบทบาทหน้าที่กันอย่างไร เมื่อทำผิดมีโทษ 2 เด้งมั้ย
ปัญหานี้จะไม่เกิด ถ้า “คุณบิ๊กตู่” เลือกนั่งเพียงตำแหน่งเดียว...ชาวบ้านจะไม่รู้สึกพิกล ถ้าต้องร้องเรียนหัวหน้า คสช.กรณีที่ นายกฯ ทำอะไรไม่ถูกใจประชาชน จะไม่มีขั้นตอน 2 ระดับอย่างที่คุณศรีสุวรรณได้ยกประเด็นเหล่านี้
แถมยังแย้มเล็กน้อยว่า ถ้าเป็นไปตามที่ว่า จะนำเรื่องไปให้ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยว่าเป็นกรณีผลประโยชน์ทับซ้อน ขัดแย้ง หรือ “เกี้ยเซี้ย” สร้างปัญหากวนใจ ทำให้งานบริหารราชการไม่โปร่งใส เหมือนมีอำนาจซ้อนรัฐ
นี่จึงเป็นจุดเปราะสำหรับ คสช. และรัฐบาล เว้นแต่ว่าจะมีคำอธิบายง่ายๆ ว่า ใครจะว่าอย่างไรก็ช่างเถอะ ข้าพเจ้ามีอำนาจซะอย่าง...ไม่ฟัง ถึงกระนั้น คสช. และรัฐบาลต้องระวังในประเด็นศรัทธาความน่าเชื่อถือให้มาก
ถ้าไร้เสียซึ่ง 2 ปัจจัยนี้ และมีพฤติกรรมสร้างความไม่พอใจให้ประชาชน จะทำให้เกิดจุดอ่อน จุดเสื่อมศรัทธา และโอกาสที่จะนำไปสู่ “จุดดับ” ยิ่งง่าย คสช.คงได้ฟังแล้วว่าบักเหลี่ยมได้บอกขี้ข้าม้าใช้บริวารว่า คสช.คงอยู่ได้ 1 ปี
เป็นการพูดแบบมั่นใจ เหมือนผีดิบได้กลิ่นคาวเลือดเหยื่อไร้พิษสง!
นี่เพิ่งจะครบ 3 เดือนของการยึดอำนาจรัฐ เริ่มมีบรรยากาศของน้ำผึ้งขมเกิดขึ้นเพราะจุดเปราะต่างๆ เริ่มเป็นจุดอ่อน เช่นนโยบายด้านพลังงาน ทุกวันนี้ยังตอบคำถามประชาชนไม่ได้ว่าทำไมราคาน้ำมันเมืองไทยจึงแพงกว่าสหรัฐฯ
ทำไมราคาสลากกินแบ่งฯ สินค้าของรัฐแท้ๆ จึงขายเกินราคาอยู่ได้ แล้วรัฐบาลจะให้เอกชนควบคุมราคาสินค้า หรือลดราคาให้อวยคนรายได้น้อย และที่สำคัญ ทำไมไม่ถอดยศ เพิกถอนหนังสือเดินทาง ออกหมายจับบักเหลี่ยมร้าย
บักเหลี่ยมออกมาพูดแนวกร่างอีกแล้ว พวกขี้ข้าเสื้อแดงล้มเจ้าเร่ร่อนอยู่ต่างประเทศเป็นขบวนการบ่อนทำลายสถาบันอย่างต่อเนื่อง โดยไม่ต้องเดาก็ได้ว่าพฤติกรรมชั่วร้ายเหล่านี้ได้รับการสนับสนุนรู้เห็นเป็นใจโดยบักเหลี่ยมหรือไม่
ไม่ว่าจะพอใจหรือไม่ คสช.ต้องรู้ว่ากระแสขาลงเริ่มเด่นชัดขึ้นทุกวันเพราะจุดเปราะกลายเป็นจุดอ่อน โทษใครก็ไม่ได้ เป็นเพราะตัวเองเป็นต้นเหตุของการเพิกเฉยต่อคำถามซ้ำ และเสียงเรียกร้องให้ทำตามคำขอของประชาชน
จากเสียงเรียกร้องให้สะสางเรื่องคาใจ แต่มีปฏิกิริยาเฉยเมย คสช.เพียงบอกให้อดทน ใจเย็น ย่อมนำไปสู่ความสงสัย ยิ่งนานวันความรู้สึกแปรเป็นความไม่สบอารมณ์ ถึงขั้นรู้สึกว่าถูกทรยศ จึงเปลี่ยนเป็นสภาวะปฏิปักษ์
เอาเป็นว่าจากความไม่สบอารมณ์เล็กน้อย สะสมเป็นหลายเรื่อง ประเดประดังกันเข้ามากลายเป็นเรื่องใหญ่ เหมือนลำธารเล็กๆ ไหลมาบรรจบกันเป็นแม่น้ำนั่นแหละ คนมีความหวัง ตั้งความหวังไว้มากตามคำคุย ย่อมรู้สึกแค้น
ใครจะบอกว่าความรู้สึกทำนองนี้เป็นเพียงคนส่วนน้อย ต้องขอเตือนว่าถ้าสรุปง่ายๆ เพื่อหลอกตัวเอง หรือเจตนาไม่รับรู้ เหมือนนกกระจอกเทศเอาหัวซุกทรายจะทำให้สถานการณ์ร้ายเพิ่มระดับเป็นวิกฤต เว้นแต่จะแก้ไขให้ถูกทาง
ประเด็นเสียงเรียกร้องให้ คสช.แจ้งรายการบัญชีทรัพย์สิน ก็ต้องรีบทำแม้จะไม่มีบทบัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญก็ตาม เป็นเรื่องของความสง่างาม สร้างความเชื่อมั่นน่าเชื่อถือ ความโปร่งใส เจตนาสุจริตในการทำงานเพื่อชาติ
ประเด็นการเล่นพรรคเล่นพวก แต่งตั้งพวกพ้องให้กินตำแหน่งสำคัญโดยไม่แยแสความรู้สึกของชาวบ้านจะเป็นตัวเร่งให้นำไปสู่จุดเสื่อม เพราะพฤติกรรมแนวนี้เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ นอกจากทำเพื่อผลประโยชน์ของพวก
ความรู้สึกห้ามกันไม่ได้ การทุจริตซึ่งมีเสียงร่ำลือหนาหู เป็นจริงหรือไม่จริง ไม่สำคัญ ถ้าชาวบ้านปักใจเชื่อเสียแล้ว เปลี่ยนยากและจะนำไปสู่จุดจบ
