ปิดหน้าต่างไม่มียุงมากวนใจ แต่หายใจไม่ออก
เปิดหน้าต่าง หายใจสบายแต่รำคาญยุง
ผู้เขียนดีใจที่ คสช.เข้ามาแก้ไขประกาศฉบับที่ 97 ได้ทันท่วงที แต่ก็ยังกังวลใจว่าหน้าต่างประวัติศาสตร์ที่ คสช. เปิดเอาไว้นั้นจะนำมาพาประเทศไทยไปสู่ที่จุดใด
ครึ่งแรกของการเข้ามาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ควบคุมอำนาจปกครองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีแต่ไม่สามารถใช้ได้นั้น คสช.ทำได้อย่างดี ใครไม่เชื่อก็คงไม่ว่ากัน แต่ผู้เขียนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ต่างให้การสนับสนุนซึ่งน่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธได้ยาก หาไม่แล้วคงหากไม่เกิดสงครามกลางเมืองกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องมีการปราบปรามอย่างรุนแรงนองเลือดเหมือนเช่นการยึดอำนาจทั่วไป
แต่ครึ่งหลังที่จะเข้ามาจัดระเบียบอันเป็นเป้าหมายที่ได้ตั้งใจเอาไว้ก่อนที่จะกลับออกไปนี้แหละที่จะยากกว่าตอนเข้ามาหลายเท่านัก
สิ่งที่เป็นความขัดแย้งและเป็นสาเหตุให้ คสช.ต้องเข้ามาจัดระเบียบก็คือ ระบอบทักษิณที่อาศัยเสื้อคลุมประชาธิปไตยเข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้ง แต่พยายามจะทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมไทยเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องสามารถทำชั่วได้เพราะมาจากการเลือกตั้งโดยอ้างว่าเป็นความดี กับคนในสังคมกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ยินยอมให้กระทำ
หาใช่ความขัดแย้งระหว่างคนเสื้อแดงกับคนกลุ่มอื่นๆ แต่อย่างใดไม่ หาก คสช.ยังคิดว่าตนเข้ามาแก้ไขเพื่อยุติความขัดแย้งบาดหมางระหว่างแดงกับเหลืองหรือ กปปส. เป้าหมายหรือโจทย์ก็คงจะผิดตั้งแต่ต้นและการเข้ามาของ คสช.ก็คงจะเป็นการเสียของอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ทักษิณและแกนนำอาจมีคนไม่เท่าไร แต่คนอื่นๆ ที่ระบอบทักษิณได้ทำให้คิดเหมือนเขาในสังคม “โกงไม่ว่า ถ้าเอามาแบ่งกัน” มากว่า 10 ปีด้วยประชานิยมหรือฉ้อโกงด้วยนโยบายทางการเมืองนี่สิที่เป็นประเด็นปัญหาเป็นโจทย์ที่ คสช.ต้องแก้ไขเพื่อมิให้เสียของ
สรยุทธ-ไร่ส้มที่ยักยอกรายได้ของ อสมท เป็นตัวอย่างอันดีของคนที่คิดเหมือนทักษิณที่เชื่อว่ายังมีอยู่อีกมาก ในฐานะของสื่อที่มีหน้าที่ “หมาเฝ้าบ้าน” แต่กลับร่วมกับพนักงาน อสมท ยักยอกรายได้ เมื่อถูกจับได้ก็คืนเงินแต่ไม่ยอมรับผิด ขณะที่สื่อเช่นช่อง 3 ที่มีส่วนได้เสียก็ยังยอมให้มีที่ยืนให้เวลาทำรายการเพราะเขาเป็นตัวทำเงิน อ้างแต่ว่ายังเป็นผู้ถูกกล่าวหา แต่เนื้อแท้แล้วเป็นวาทกรรมรองรับการกระทำชั่วของตนเอง ทำไมกรณีเจ้าของเรือเซวอลหรือครูที่เป็นเจ้าของโครงการพานักเรียนไปขึ้นเรือดังกล่าวจึงต้องฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่ยังเป็นแค่ผู้ถูกกล่าว เหตุก็เพราะสังคมเกาหลีไม่ให้ที่ยืนเสียแล้ว
ยิ่งลักษณ์ก็เช่นกันกับพี่ชาย เริ่มไม่มีที่ยืนในสังคมไทยจากโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดที่สร้างความวิบัติอย่างเหลือเชื่อว่าจะทำกับบ้านเกิดตนเองได้เยี่ยงนี้
ดังนั้น การจัดงานปรองดองที่ทำอยู่จึงเป็นแค่เปลือกที่มิใช่แก่นของการแก้ไขจัดระเบียบที่แท้จริงแต่อย่างใด เหมือนดังเช่นที่ กกต.จะพยายามออกกฎหมายให้พรรคการเมืองแข็งแกร่ง จะทำให้คนปรองดองกันได้ก็ต้องเอาความจริงมาแฉมาพูดกันจึงจะจับมือเลิกแล้วต่อกันได้อย่างสนิทใจ รักแท้ของจริงจึงอยู่เหนือการโปรโมต
ภาพแกนนำเสื้อแดงบางคนที่มางานปรองดองที่สนามหลวง พวกเขานอกจากกลายเป็นเบี้ยหมากที่หมดราคาแล้วเพราะถูกถอดเขี้ยวเล็บและทำให้เชื่องราวกับ “ถูกตอน” ก็ไม่ปาน อาจมองได้ว่านี่เป็นการซูเอี๋ยหรือออมชอมกันระหว่าง คสช.กับระบอบทักษณเหมือนอย่างที่บางคนมอง/สรุปอย่างนั้น แต่ในอีกมุมหนึ่งนี่เป็นการประกาศศักดาอีกรูปแบบหนึ่งของ คสช.เหนือขุมพลังต่างๆ ในบ้านเมืองตอนนี้ต่างหาก
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอำนาจเท่าใด การจะเปิดหน้าต่างประวัติศาสตร์ของ คสช.นั้นแน่นอนว่าต้องมียุง หากจะปิดหน้าต่างเพื่อกันยุงก็สำเร็จได้ยาก
ข้อเสียของสังคมไทยคือไม่รู้จักแยกแยะ มักง่ายใช้วิธีฟังเขาเชื่อเอาเช่นจาก “เล่าข่าว” เขาว่ามาโดยไม่สนใจหาข้อเท็จจริงด้วยตนเองเพื่อการตัดสินใจ หาก คสช.ไม่แยกแยะว่าสื่อใดพูดจริงหวังดีกับสื่อใดโกหกหวังร้ายเหมารวมไปหมด ยุงหรือ “หมาเฝ้าบ้าน” ก็จะไม่มีอัตตาจากอำนาจที่มีอยู่ก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณเพราะไม่มีใครคอยห้ามคอยแย้งให้รำคาญใจ
หากยิ่งลักษณ์และญาติกาหนีไปไม่กลับมาก็คงไม่ต้องบอกว่าใครจะต้องรับผิดชอบ เชื่อว่าคนไทยขณะนี้ไม่ต้องการยึดทรัพย์แต่ต้องการหาคนรับผิดชอบ
ศรัทธาและความไว้ใจก็เป็นเหมือนเช่นน้ำ ลอยเรือก็ได้ ล่มเรือก็ได้เช่นกัน ทั้งทักษิณและยิ่งลักษณ์เข้าใจดียิ่งกว่าใคร แล้วคุณสมชายจะเข้าใจบ้างหรือไม่?
เปิดหน้าต่าง หายใจสบายแต่รำคาญยุง
ผู้เขียนดีใจที่ คสช.เข้ามาแก้ไขประกาศฉบับที่ 97 ได้ทันท่วงที แต่ก็ยังกังวลใจว่าหน้าต่างประวัติศาสตร์ที่ คสช. เปิดเอาไว้นั้นจะนำมาพาประเทศไทยไปสู่ที่จุดใด
ครึ่งแรกของการเข้ามาเป็นรัฏฐาธิปัตย์ควบคุมอำนาจปกครองของรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่มีแต่ไม่สามารถใช้ได้นั้น คสช.ทำได้อย่างดี ใครไม่เชื่อก็คงไม่ว่ากัน แต่ผู้เขียนเชื่อว่าประชาชนส่วนใหญ่ต่างให้การสนับสนุนซึ่งน่าจะเป็นข้อเท็จจริงที่ปฏิเสธได้ยาก หาไม่แล้วคงหากไม่เกิดสงครามกลางเมืองกับผู้ที่ไม่เห็นด้วยก็ต้องมีการปราบปรามอย่างรุนแรงนองเลือดเหมือนเช่นการยึดอำนาจทั่วไป
แต่ครึ่งหลังที่จะเข้ามาจัดระเบียบอันเป็นเป้าหมายที่ได้ตั้งใจเอาไว้ก่อนที่จะกลับออกไปนี้แหละที่จะยากกว่าตอนเข้ามาหลายเท่านัก
สิ่งที่เป็นความขัดแย้งและเป็นสาเหตุให้ คสช.ต้องเข้ามาจัดระเบียบก็คือ ระบอบทักษิณที่อาศัยเสื้อคลุมประชาธิปไตยเข้าสู่อำนาจด้วยการเลือกตั้ง แต่พยายามจะทำลายระบบคุณธรรมและจริยธรรมของสังคมไทยเพื่อให้ตนเองและพวกพ้องสามารถทำชั่วได้เพราะมาจากการเลือกตั้งโดยอ้างว่าเป็นความดี กับคนในสังคมกลุ่มอื่นๆ ที่ไม่ยินยอมให้กระทำ
หาใช่ความขัดแย้งระหว่างคนเสื้อแดงกับคนกลุ่มอื่นๆ แต่อย่างใดไม่ หาก คสช.ยังคิดว่าตนเข้ามาแก้ไขเพื่อยุติความขัดแย้งบาดหมางระหว่างแดงกับเหลืองหรือ กปปส. เป้าหมายหรือโจทย์ก็คงจะผิดตั้งแต่ต้นและการเข้ามาของ คสช.ก็คงจะเป็นการเสียของอีกครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์การเมืองไทย
ทักษิณและแกนนำอาจมีคนไม่เท่าไร แต่คนอื่นๆ ที่ระบอบทักษิณได้ทำให้คิดเหมือนเขาในสังคม “โกงไม่ว่า ถ้าเอามาแบ่งกัน” มากว่า 10 ปีด้วยประชานิยมหรือฉ้อโกงด้วยนโยบายทางการเมืองนี่สิที่เป็นประเด็นปัญหาเป็นโจทย์ที่ คสช.ต้องแก้ไขเพื่อมิให้เสียของ
สรยุทธ-ไร่ส้มที่ยักยอกรายได้ของ อสมท เป็นตัวอย่างอันดีของคนที่คิดเหมือนทักษิณที่เชื่อว่ายังมีอยู่อีกมาก ในฐานะของสื่อที่มีหน้าที่ “หมาเฝ้าบ้าน” แต่กลับร่วมกับพนักงาน อสมท ยักยอกรายได้ เมื่อถูกจับได้ก็คืนเงินแต่ไม่ยอมรับผิด ขณะที่สื่อเช่นช่อง 3 ที่มีส่วนได้เสียก็ยังยอมให้มีที่ยืนให้เวลาทำรายการเพราะเขาเป็นตัวทำเงิน อ้างแต่ว่ายังเป็นผู้ถูกกล่าวหา แต่เนื้อแท้แล้วเป็นวาทกรรมรองรับการกระทำชั่วของตนเอง ทำไมกรณีเจ้าของเรือเซวอลหรือครูที่เป็นเจ้าของโครงการพานักเรียนไปขึ้นเรือดังกล่าวจึงต้องฆ่าตัวตาย ทั้งๆ ที่ยังเป็นแค่ผู้ถูกกล่าว เหตุก็เพราะสังคมเกาหลีไม่ให้ที่ยืนเสียแล้ว
ยิ่งลักษณ์ก็เช่นกันกับพี่ชาย เริ่มไม่มีที่ยืนในสังคมไทยจากโครงการจำนำข้าวทุกเมล็ดที่สร้างความวิบัติอย่างเหลือเชื่อว่าจะทำกับบ้านเกิดตนเองได้เยี่ยงนี้
ดังนั้น การจัดงานปรองดองที่ทำอยู่จึงเป็นแค่เปลือกที่มิใช่แก่นของการแก้ไขจัดระเบียบที่แท้จริงแต่อย่างใด เหมือนดังเช่นที่ กกต.จะพยายามออกกฎหมายให้พรรคการเมืองแข็งแกร่ง จะทำให้คนปรองดองกันได้ก็ต้องเอาความจริงมาแฉมาพูดกันจึงจะจับมือเลิกแล้วต่อกันได้อย่างสนิทใจ รักแท้ของจริงจึงอยู่เหนือการโปรโมต
ภาพแกนนำเสื้อแดงบางคนที่มางานปรองดองที่สนามหลวง พวกเขานอกจากกลายเป็นเบี้ยหมากที่หมดราคาแล้วเพราะถูกถอดเขี้ยวเล็บและทำให้เชื่องราวกับ “ถูกตอน” ก็ไม่ปาน อาจมองได้ว่านี่เป็นการซูเอี๋ยหรือออมชอมกันระหว่าง คสช.กับระบอบทักษณเหมือนอย่างที่บางคนมอง/สรุปอย่างนั้น แต่ในอีกมุมหนึ่งนี่เป็นการประกาศศักดาอีกรูปแบบหนึ่งของ คสช.เหนือขุมพลังต่างๆ ในบ้านเมืองตอนนี้ต่างหาก
อย่างไรก็ตาม แม้จะมีอำนาจเท่าใด การจะเปิดหน้าต่างประวัติศาสตร์ของ คสช.นั้นแน่นอนว่าต้องมียุง หากจะปิดหน้าต่างเพื่อกันยุงก็สำเร็จได้ยาก
ข้อเสียของสังคมไทยคือไม่รู้จักแยกแยะ มักง่ายใช้วิธีฟังเขาเชื่อเอาเช่นจาก “เล่าข่าว” เขาว่ามาโดยไม่สนใจหาข้อเท็จจริงด้วยตนเองเพื่อการตัดสินใจ หาก คสช.ไม่แยกแยะว่าสื่อใดพูดจริงหวังดีกับสื่อใดโกหกหวังร้ายเหมารวมไปหมด ยุงหรือ “หมาเฝ้าบ้าน” ก็จะไม่มีอัตตาจากอำนาจที่มีอยู่ก็จะเพิ่มมากขึ้นเป็นทวีคูณเพราะไม่มีใครคอยห้ามคอยแย้งให้รำคาญใจ
หากยิ่งลักษณ์และญาติกาหนีไปไม่กลับมาก็คงไม่ต้องบอกว่าใครจะต้องรับผิดชอบ เชื่อว่าคนไทยขณะนี้ไม่ต้องการยึดทรัพย์แต่ต้องการหาคนรับผิดชอบ
ศรัทธาและความไว้ใจก็เป็นเหมือนเช่นน้ำ ลอยเรือก็ได้ ล่มเรือก็ได้เช่นกัน ทั้งทักษิณและยิ่งลักษณ์เข้าใจดียิ่งกว่าใคร แล้วคุณสมชายจะเข้าใจบ้างหรือไม่?