**กลายเป็นเหมือนวงจรอุบาทว์ของการเมืองไทยไปเสียแล้ว ที่เวลาใครขึ้นมามีอำนาจก็มักจะผลักดันเพื่อนพ้องน้องพี่ ที่สนิทชิดเชื้อกันผงาดขึ้นมาได้ดิบได้ดี มีตำแหน่งแห่งหนในวงราชการอยู่ร่ำไป
เห็นได้ชัดที่สุดในสมัย “ระบอบทักษิณ”เรืองอำนาจ ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน ตำแหน่งใหญ่ๆ ระดับบิ๊กเบิ้ม ก็ถูกปูนบำเหน็จให้คนเหล่านี้อยู่เสมอ โดยเฉพาะยุคนั้นเป็นยุคนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เฟื่องฟูอย่างมาก อาทิ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการมหารอากาศ “บิ๊กโอ๋เล็ก”พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต ในตอนนั้นได้รับตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) “บิ๊กเมธ”พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน (อ.ย.) พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งผู้ช่วย ผู้บัญชาการทหารบก
“บิ๊กเผื่อน”พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) หรือแม้แต่ “เสธ.หยอย”พล.ท.มนัส เปาริก ที่ถูกเจ้าหน้าที่เชื่อมโยงว่า เกี่ยวข้องกับอาวุธสงคราม ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จับกุมได้ ซึ่งในตอนนั้นยังได้รับตำแหน่ง รองแม่ทัพภาคที่ 3
นอกจากนี้ ยังมีอีกนับไม่ถ้วน ที่ได้รับการตบรางวัล ในฐานะคนกันเอง กระจัดกระจายกันอยู่ทั้งในกรม กอง ทหาร ในตำแหน่งใหญ่โต ทั้งที่ฝีมือ หรือชื่อชั้นบางคนอาจไม่ถึงด้วยซ้ำไป
กระทั่งมายุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรดาเพื่อน ตท.10 ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็ยังตามมาได้ดิบได้ดีกันพรึ่บพรั่บ ในตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กโอ๋”ได้ขึ้นเป็นถึงรัฐมนตรีสองกระทรวง ทั้งคมนาคม และกลาโหม “บิ๊กโอ๋เล็ก”ว่าที่พ่อตา “โอ๊คอ๊าค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ก็ได้ขยับเข้ามาเป็นเสนาบดี ในเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง กินตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แบบลากยาว “บิ๊กเมธ”เคยนั่งแท่นประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจเกรดดับเบิ้ลเอ อย่าง ทอท. เป็นต้น
และก็เหมือนจะเป็นวงจรอุบาทว์ต่อเนื่องกันมาถึงยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พอดิบพอดี กับยุคที่นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 14 (ตท.14) ซึ่งมีหลายคนที่สนิทสนมกับ “นายใหญ่”กำลังอยู่ในช่วงจังหวะที่ดันขึ้นหม้อได้เพียบ
เอาตัวหลักๆ ที่เป็นประเภทประเจิดประเจ้อ อาทิ “เสธ.แมว”พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร หลานชายนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นอาจารย์ทางการเมืองของ“นายใหญ่”ซึ่งก็ได้รับตอบแทนบุญคุณให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมช. “บิ๊กแป๊ะ”พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ถูกตบรางวัลใหญ่ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ถูกดันให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล “บิ๊กแจ๊ด” มีวันนี้เพราะพี่ให้ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ “เสธ.โหน่ง” พล.ท.พงศกร รอดชมภู ถูกหนีบให้มาดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.
นอกจากนี้ ยังมีเติบใหญ่ในตำแหน่งแห่งหนต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งมีการขนานนามว่า ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นยุคของ ตท.14 เป็นใหญ่อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ดี ด้วยสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับฝั่งการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย ทำให้มาในยุคที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้า คสช. กำลังเร่งปัดกวาดเช็ดถูบ้านเมืองกันใหม่ บรรดาคนเหล่านี้เลยต้องกระเด็นกระดอนออกไปเพื่อให้การทำงานง่ายขึ้น และไม่มีข้อกังขา
ไม่ว่าจะเป็น “เสธ.แมว–บิ๊กแจ๊ด–บิ๊กแป๊ะ” โดนเตะเข้ากรุราบคาบ โอกาสจะได้กลับมาเป็นใหญ่เป็นโตอีกสักครา คงน้อยนิดเหลือเกิน
**แต่ก็ใช่ว่า บรรดา ตท.14 จะสูญพันธุ์ไปในช่วงนี้ เพราะยังเหลืออีกหนึ่งบุคคล ที่มีชื่อเสียงนั่นคือ “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช. ซึ่งเป็นน้องรักในสายบูรพาพยัคฆ์ของ “บิ๊กตู่”ผู้ซึ่งเคยถูกวางตัวให้เป็นทายาทในตำแหน่ง ผบ.ทบ. คนต่อไป
ทว่าอะไรก็ไม่แน่เสียแล้ว เพราะตั้งแต่ คสช. เข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม อีกหนึ่งคนที่ดูจะมีออร่า ขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งได้ คงหนีไม่พ้น “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและยุติธรรม ซึ่งในช่วงนี้ ดูจะโดดเด่นขึ้นมาได้รับผิดชอบงานสำคัญๆ เต็มมือ
เก้าอี้ ผบ.ทบ. คนต่อไป ดูจะไม่แน่นอน สำหรับ “บิ๊กโด่ง”เอาเสียแล้ว เพราะคู่ท้าชิงอย่าง “บิ๊กต๊อก”มีดีกรีและฝีมือที่สูสีกันหลาย อย่าง ทั้ง “บู๊-บุ๋น”ขณะเดียวกัน ยังเป็นลูกรักของ “ป๋าเปรม”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งเคยถึงกับเอ่ยปากชมว่า “แม่ทัพคนนี้เก่ง”หรือแม้แต่ “บิ๊กตู่”เองก็ยังเคยขนานนามว่า“คนตัวเล็กหัวใจใหญ่”
นอกจากนี้ “บิ๊กต๊อก”ยังเป็นน้องรักของ “บิ๊กหนุ่ย”พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีต รองผบ.ทบ. ในฐานะที่ปรึกษา คสช. ซึ่งเป็น “สายวงเทวัญ”เหมือนกัน
ขณะเดียวกัน ยังมีข่าวออกมาว่า หลายฝ่ายไม่แฮปปี้กับ ตท.14 สักเท่าไหร่ เพราะไม่ไว้วางใจคอนเนกชั่น ของกลุ่มก๊กนี้ ที่หลายคนหลังพิงเสื้อแดง ทำให้ “บิ๊กโด่ง”อาจต้องลุ้นกันตัวโกง จนวินาทีสุดท้าย
**นอกจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. แล้ว ยังมีอีกเก้าอี้สำคัญที่มีความเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านว่า มีบางกลุ่มพยายามผลักดัน พล.ท.สุรวัช บุตรวงศ์ หัวหน้าศูนย์ประสานงานประเทศเพื่อนบ้านกองทัพบก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเจราพูดคุยกับผู้นำกัมพูชา จนนำไปสู่การปล่อยตัวนายวีระ สมความคิด ขึ้นเป็นเลขาธิการ สมช. ต่อจาก นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้
ซึ่งพล.ท.สุรวัช นั้น ถือเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ทำงานปิดทองหลังพระมาตลอด โดยเฉพาะการเจรจาสันติภาพในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดี การทะยานขึ้นสู่เก้าอี้ดังกล่าวอาจไม่ง่าย เพราะมีข้าราชการใน สมช. ที่เป็นลูกหม้อขนานแท้จ่อขึ้นแท่นอยู่ โดยเฉพาะในราย นายอนุสิษฐ์ คุณากร รองเลขาธิการ สมช. ซึ่งอาวุโสลำดับหนึ่ง
แน่นอนว่า หากสุดท้าย“บิ๊กตู่”ทุบโต๊ะเซย์เยส อาจไม่มีใครกล้าขัด แต่โอกาสที่จะเกิดแรงกระเพื่อมใต้น้ำภายใน สมช. ก็มีสูงเหมือน ต้องอย่าลืมว่า ที่ผ่านมาข้าราชการใน สมช. พยายามตะโกนออกมาภายนอกตลอดเวลาว่า อย่านำทหารข้ามห้วยเข้ามา เพราะบรรดาลูกหม้อ สมช.ในปัจจุบันหลายรายมีประสบการณ์มาไม่รู้กี่สิบปี เชี่ยวชาญพอในสายงาน แม้แต่ “ถวิล”เอง ก็เคยพูดเรื่องนี้เอาไว้สมัยต่อสู้คดีที่ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม
**ตามสภาพข่าวที่ปล่อยออกมา จึงอาจมีใครบางคนใน ตท.14 พยายามผลักดันอยู่ก็เป็นได้
เห็นได้ชัดที่สุดในสมัย “ระบอบทักษิณ”เรืองอำนาจ ตั้งแต่รัฐบาลพรรคไทยรักไทย หรือพรรคพลังประชาชน ตำแหน่งใหญ่ๆ ระดับบิ๊กเบิ้ม ก็ถูกปูนบำเหน็จให้คนเหล่านี้อยู่เสมอ โดยเฉพาะยุคนั้นเป็นยุคนักเรียนเตรียมทหารรุ่น 10 (ตท.10) รุ่นเดียวกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เฟื่องฟูอย่างมาก อาทิ “บิ๊กโอ๋” พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งผู้ช่วยผู้บัญชาการมหารอากาศ “บิ๊กโอ๋เล็ก”พล.อ.พฤณท์ สุวรรณทัต ในตอนนั้นได้รับตำแหน่ง ผู้บัญชาการกองพลที่ 1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) “บิ๊กเมธ”พล.อ.อ.สุเมธ โพธิ์มณี ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการอากาศโยธิน (อ.ย.) พล.อ.พรชัย กรานเลิศ ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งผู้ช่วย ผู้บัญชาการทหารบก
“บิ๊กเผื่อน”พล.ท.สุรพล เผื่อนอัยกา ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งเลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ (สมช.) พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง ในตอนนั้นได้รับตำแหน่งรองผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 8 (ผบช.ภ.8) หรือแม้แต่ “เสธ.หยอย”พล.ท.มนัส เปาริก ที่ถูกเจ้าหน้าที่เชื่อมโยงว่า เกี่ยวข้องกับอาวุธสงคราม ที่คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) จับกุมได้ ซึ่งในตอนนั้นยังได้รับตำแหน่ง รองแม่ทัพภาคที่ 3
นอกจากนี้ ยังมีอีกนับไม่ถ้วน ที่ได้รับการตบรางวัล ในฐานะคนกันเอง กระจัดกระจายกันอยู่ทั้งในกรม กอง ทหาร ในตำแหน่งใหญ่โต ทั้งที่ฝีมือ หรือชื่อชั้นบางคนอาจไม่ถึงด้วยซ้ำไป
กระทั่งมายุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร บรรดาเพื่อน ตท.10 ที่เกษียณอายุราชการไปแล้ว ก็ยังตามมาได้ดิบได้ดีกันพรึ่บพรั่บ ในตำแหน่งทางการเมือง ไม่ว่าจะเป็น “บิ๊กโอ๋”ได้ขึ้นเป็นถึงรัฐมนตรีสองกระทรวง ทั้งคมนาคม และกลาโหม “บิ๊กโอ๋เล็ก”ว่าที่พ่อตา “โอ๊คอ๊าค” นายพานทองแท้ ชินวัตร ก็ได้ขยับเข้ามาเป็นเสนาบดี ในเก้าอี้รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงคมนาคม พล.ต.ต.ธวัช บุญเฟื่อง กินตำแหน่งรองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี แบบลากยาว “บิ๊กเมธ”เคยนั่งแท่นประธานบอร์ดรัฐวิสาหกิจเกรดดับเบิ้ลเอ อย่าง ทอท. เป็นต้น
และก็เหมือนจะเป็นวงจรอุบาทว์ต่อเนื่องกันมาถึงยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ที่พอดิบพอดี กับยุคที่นักเรียนเตรียมทหารรุ่น 14 (ตท.14) ซึ่งมีหลายคนที่สนิทสนมกับ “นายใหญ่”กำลังอยู่ในช่วงจังหวะที่ดันขึ้นหม้อได้เพียบ
เอาตัวหลักๆ ที่เป็นประเภทประเจิดประเจ้อ อาทิ “เสธ.แมว”พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร หลานชายนายปรีดา พัฒนถาบุตร อดีตรัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และ อดีต ส.ส.เชียงใหม่ ซึ่งเป็นอาจารย์ทางการเมืองของ“นายใหญ่”ซึ่งก็ได้รับตอบแทนบุญคุณให้ดำรงตำแหน่งเลขาธิการสมช. “บิ๊กแป๊ะ”พล.อ.นิพัทธ์ ทองเล็ก ถูกตบรางวัลใหญ่ ให้ดำรงตำแหน่งปลัดกระทรวงกลาโหม พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ถูกดันให้เป็นผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล “บิ๊กแจ๊ด” มีวันนี้เพราะพี่ให้ ดำรงตำแหน่งผู้บัญชาการตำรวจนครบาล (ผบช.น.) และ “เสธ.โหน่ง” พล.ท.พงศกร รอดชมภู ถูกหนีบให้มาดำรงตำแหน่งรองเลขาธิการ สมช.
นอกจากนี้ ยังมีเติบใหญ่ในตำแหน่งแห่งหนต่างๆ อีกนับไม่ถ้วน ซึ่งมีการขนานนามว่า ยุครัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เป็นยุคของ ตท.14 เป็นใหญ่อย่างแท้จริง
อย่างไรก็ดี ด้วยสายสัมพันธ์ที่แนบแน่นกับฝั่งการเมืองอย่างพรรคเพื่อไทย ทำให้มาในยุคที่ “บิ๊กตู่” พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ในฐานะหัวหน้า คสช. กำลังเร่งปัดกวาดเช็ดถูบ้านเมืองกันใหม่ บรรดาคนเหล่านี้เลยต้องกระเด็นกระดอนออกไปเพื่อให้การทำงานง่ายขึ้น และไม่มีข้อกังขา
ไม่ว่าจะเป็น “เสธ.แมว–บิ๊กแจ๊ด–บิ๊กแป๊ะ” โดนเตะเข้ากรุราบคาบ โอกาสจะได้กลับมาเป็นใหญ่เป็นโตอีกสักครา คงน้อยนิดเหลือเกิน
**แต่ก็ใช่ว่า บรรดา ตท.14 จะสูญพันธุ์ไปในช่วงนี้ เพราะยังเหลืออีกหนึ่งบุคคล ที่มีชื่อเสียงนั่นคือ “บิ๊กโด่ง”พล.อ.อุดมเดช สีตบุตร รอง ผบ.ทบ. ในฐานะเลขาธิการ คสช. ซึ่งเป็นน้องรักในสายบูรพาพยัคฆ์ของ “บิ๊กตู่”ผู้ซึ่งเคยถูกวางตัวให้เป็นทายาทในตำแหน่ง ผบ.ทบ. คนต่อไป
ทว่าอะไรก็ไม่แน่เสียแล้ว เพราะตั้งแต่ คสช. เข้าควบคุมอำนาจการบริหารประเทศ เมื่อวันที่ 22 พฤษภาคม อีกหนึ่งคนที่ดูจะมีออร่า ขึ้นมาท้าชิงตำแหน่งได้ คงหนีไม่พ้น “บิ๊กต๊อก”พล.อ.ไพบูลย์ คุ้มฉายา ผู้ช่วย ผบ.ทบ. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายกฎหมายและยุติธรรม ซึ่งในช่วงนี้ ดูจะโดดเด่นขึ้นมาได้รับผิดชอบงานสำคัญๆ เต็มมือ
เก้าอี้ ผบ.ทบ. คนต่อไป ดูจะไม่แน่นอน สำหรับ “บิ๊กโด่ง”เอาเสียแล้ว เพราะคู่ท้าชิงอย่าง “บิ๊กต๊อก”มีดีกรีและฝีมือที่สูสีกันหลาย อย่าง ทั้ง “บู๊-บุ๋น”ขณะเดียวกัน ยังเป็นลูกรักของ “ป๋าเปรม”พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี และรัฐบุรุษ ซึ่งเคยถึงกับเอ่ยปากชมว่า “แม่ทัพคนนี้เก่ง”หรือแม้แต่ “บิ๊กตู่”เองก็ยังเคยขนานนามว่า“คนตัวเล็กหัวใจใหญ่”
นอกจากนี้ “บิ๊กต๊อก”ยังเป็นน้องรักของ “บิ๊กหนุ่ย”พล.อ.ดาว์พงษ์ รัตนสุวรรณ อดีต รองผบ.ทบ. ในฐานะที่ปรึกษา คสช. ซึ่งเป็น “สายวงเทวัญ”เหมือนกัน
ขณะเดียวกัน ยังมีข่าวออกมาว่า หลายฝ่ายไม่แฮปปี้กับ ตท.14 สักเท่าไหร่ เพราะไม่ไว้วางใจคอนเนกชั่น ของกลุ่มก๊กนี้ ที่หลายคนหลังพิงเสื้อแดง ทำให้ “บิ๊กโด่ง”อาจต้องลุ้นกันตัวโกง จนวินาทีสุดท้าย
**นอกจากเก้าอี้ ผบ.ทบ. แล้ว ยังมีอีกเก้าอี้สำคัญที่มีความเคลื่อนไหวในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านว่า มีบางกลุ่มพยายามผลักดัน พล.ท.สุรวัช บุตรวงศ์ หัวหน้าศูนย์ประสานงานประเทศเพื่อนบ้านกองทัพบก ซึ่งมีบทบาทสำคัญในการเจราพูดคุยกับผู้นำกัมพูชา จนนำไปสู่การปล่อยตัวนายวีระ สมความคิด ขึ้นเป็นเลขาธิการ สมช. ต่อจาก นายถวิล เปลี่ยนศรี ที่จะเกษียณอายุราชการในเดือนกันยายนนี้
ซึ่งพล.ท.สุรวัช นั้น ถือเป็นบุคคลที่มีความสามารถ ทำงานปิดทองหลังพระมาตลอด โดยเฉพาะการเจรจาสันติภาพในช่วงที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ดี การทะยานขึ้นสู่เก้าอี้ดังกล่าวอาจไม่ง่าย เพราะมีข้าราชการใน สมช. ที่เป็นลูกหม้อขนานแท้จ่อขึ้นแท่นอยู่ โดยเฉพาะในราย นายอนุสิษฐ์ คุณากร รองเลขาธิการ สมช. ซึ่งอาวุโสลำดับหนึ่ง
แน่นอนว่า หากสุดท้าย“บิ๊กตู่”ทุบโต๊ะเซย์เยส อาจไม่มีใครกล้าขัด แต่โอกาสที่จะเกิดแรงกระเพื่อมใต้น้ำภายใน สมช. ก็มีสูงเหมือน ต้องอย่าลืมว่า ที่ผ่านมาข้าราชการใน สมช. พยายามตะโกนออกมาภายนอกตลอดเวลาว่า อย่านำทหารข้ามห้วยเข้ามา เพราะบรรดาลูกหม้อ สมช.ในปัจจุบันหลายรายมีประสบการณ์มาไม่รู้กี่สิบปี เชี่ยวชาญพอในสายงาน แม้แต่ “ถวิล”เอง ก็เคยพูดเรื่องนี้เอาไว้สมัยต่อสู้คดีที่ถูกโยกย้ายไม่เป็นธรรม
**ตามสภาพข่าวที่ปล่อยออกมา จึงอาจมีใครบางคนใน ตท.14 พยายามผลักดันอยู่ก็เป็นได้