**เด็ดดอกไม้สะเทือนถึงดวงดาวแน่ หลังศาลแขวงสมุทรปราการ มีคำพิพากษาจำคุก 6 ปี นายอภิชาติ จันทร์สกุลพร หรือ“เสี่ยเปี๋ยง” ผู้กว้างขวางในวงการค้าข้าว ในความผิดฐานยักยอกทรัพย์ ซึ่งเป็นข้าวสารขาวของกระทรวงพาณิชย์ ที่ต้องดำเนินการส่งไปขายที่ประเทศอิหร่าน จำนวนกว่า 2 หมื่นตัน มูลค่า 200 ล้านบาท
แต่“เสี่ยเปี๋ยง”ยังหัวหมอสู้หัวชนฝา ตามที่กฎหมายจะเปิดอ้าให้มีรูหายใจได้ โดยได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว เป็นเงิน 2 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งศาลได้อนุญาตปล่อยชั่วคราวตามระเบียบ
ทั้งนี้ สำหรับที่มาของการยักยอกทรัพย์หลวง เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลขิงแก่ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยตอนนั้น กระทรวงพาณิชย์ได้รับใบสั่งซื้อข้าวชนิดแตกหัก 5 เปอร์เซ็นต์จากประเทศอิหร่าน ในรูปแบบการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี จำนวน 2 หมื่นตัน ราคา 200 ล้านบาท ซึ่ง บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ จำกัด ของ “เสี่ยเปี๋ยง”เสนอตัวเป็นผู้นำข้าวชนิดแตกหักไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ไป“รีบิวด์”เป็นข้าวแตกหัก 5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อกิน “ส่วนต่าง”
โดยต้องมารับข้าวไป “รีบิวด์”ให้ครบจำนวนและตรงเวลาแล้วเพื่อข้าวส่งไปยังประเทศอิหร่านที่ท่าเรือตามกำหนดนัดหมาย
ทว่า ครั้นถึงเวลานัด “เสี่ยเปี๋ยง”ดันไม่นำข้าวไปส่งตามกำหนดถึง 2 ครั้ง ทำให้“รัฐบาลขิงแก่”ได้รับความเสียหาย ต้องเสียมัดจำและเบี้ยปรับให้กับประเทศอิหร่าน ที่สุดรัฐบาลมอบให้สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ดำเนินคดี
ซึ่งหลังจากนี้ คงต้องติดตามดูว่า เมื่อถึงชั้นอุทธรณ์แล้ว “เสี่ยเปี๋ยง”จะรอดคมดาบกฎหมายแห่งกรรมครั้งนี้ไปได้หรือไม่ เพราะหลักฐานที่มีอยู่ แน่นหนามาก
กระนั้นก็ตาม แม้จะน่าเสียดายที่ศาลแขวงสามารถเชือด “เสี่ยเปี๋ยง”ในฐานะหมากตัวหนึ่งในกระดานทั้งหมดได้เท่านั้น ทั้งที่ยังเหลือตัวละครระดับหัวอีกมากมายที่สาวไปไม่ถึง แต่หากมองในเชิงสัญลักษณ์ หรือท่วงทำนองต่อจากนี้ มันกำลังทำให้ใครหลายคนเสียวสันหลังวาบเป็นแน่ เพราะคดีนี้เป็นแค่คดีค้างเก่าที่เพิ่งชำระสะสาง
**ยังมีคดีใหม่ที่ “เสี่ยเปี๋ยง” ไปพัวพันอีกเป็นกระบุงโกย
โดยเฉพาะคดีในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีทุจริตการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับจีน หรือ “จีทูจีเก๊”ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่ง “เสี่ยเปี๋ยง”โดนแจ้งข้อกล่าวหา เหมือนกับ “บุญทรุด”นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์
โดยคดีดังกล่าว มีบริษัทเอกชนกว่า 90 ราย โดนแจ้งข้อกล่าวหา นอกจากนี้ ยังมีอดีตบิ๊กข้าราชการโดนร่างแหไปด้วย นั่นคือ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีบริษัทเอกชนที่สำนึกตัวได้ทัน กลับใจมาเป็นพยานให้กับป.ป.ช. ตามกฎหมายป.ป.ช. ที่ให้อำนาจในการคุ้มครอง หรือกันพยานได้ ซึ่งจากข้อมูลที่ได้ หลายรายให้การตรงกันว่า “เสี่ยเปี๋ยง”เป็น “ตัวการใหญ่”ในการเขมือบข้าว
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ในชั้นการไต่สวนของอนุกรรมการที่มี นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. เป็นประธาน ซึ่งสามารถไต่สวนมาได้เยอะแล้ว แต่อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เพราะคดีดังกล่าวเป็นคดีอาญา ที่จะต้องสอบพยาน และรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อไม่ให้มีข้อมูลขาดตกบกพร่องเมื่อมีการชี้มูล และสั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในขั้นต่อไป
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ปม “จีทูจีเก๊”ยังไม่สามารถชี้มูลได้รวดเร็วเหมือนกับคดีละเลิกเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าของ “ปู กรรเชียง”นั่นเป็นเพราะ สำนวนการไต่สวนที่แตกต่างกัน โดยของ“ปูกรรเชียง”นั้นเป็นสำนวนถอดถอน ในขณะที่สำนวนดังกล่าว เป็นคดีอาญา
**ที่สำคัญปม“จีทูจีเก๊”ยังมีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็น “อภิมหากาพย์เขมือบข้าว”เลยก็ว่าได้ จึงต้องมีความประณีตพอสมควร ซึ่งแน่นอนว่า งานนี้จะต้องมีคนเซ่นสังเวยต่อการทุจริตแบบติดคุกหัวโตแน่
ยิ่ง“เสี่ยเปี๋ยง”โดนศาลเชือดคอในคราวนี้เรียกน้ำย่อยไปแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างย่อมเห็นได้ชัดขึ้นว่า โอกาสจะโกงเหมือนกันยิ่งแบเบอร์ บางทีอาจทำให้การทำงานของ ป.ป.ช. หลังจากนี้รวดเร็วขึ้นไปอีก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในชั้น ป.ป.ช. คงจะไม่ได้มีเพียงแค่ “เสี่ยเปี๋ยง”คนเดียวที่ต้องชดใช้กรรม เพราะจับสัญญาณแล้ว น่าจะมีการสาวไส้กันแบบถึงพริกถึงขิง ซึ่งอาจมีตัวละครมากกว่าที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะการที่ ป.ป.ช. มีมติแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นมาอีกชุด เพื่อตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินของอดีตรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว แถมยังคำรามเลยว่า พร้อมจะแกะรอยไปให้ถึงต้นตอตัวการใหญ่
**คิวนี้หลายฝ่ายจึงลุ้น สุดท้ายจะลากไปถึง “เจ๊ ด.”ผู้บงการใหญ่ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ“เสี่ยเปี๋ยง”ไม่ได้ตายเดี่ยวชัวร์ เพราะป.ป.ช. คงลุยรื้อแบบถอนรากถอนโคน ขบวนการเหลือบไรประเทศ ยิ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไฟเขียวให้องค์กรอิสระทำงานอย่างตรงไปตรงมา และรวดเร็ว โอกาสนี้ถือเป็นนาทีทองของจริง
อย่างไรก็ตาม การที่ “เสี่ยเปี๋ยง”โดนศาลตัดสินจำคุกรอบนี้ นอกจากจะทำให้ใครอีกหลายคนสะดุ้ง หายใจไม่ทั่วท้อง เพราะกลัวสาวไส้ถึงแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า “นายใหญ่”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ตลอด หนักไปถึงขั้นสมยอมเพื่อผลประโยชน์ เพราะ “เสี่ยเปี๋ยง”จะไม่สามารถโกงได้อย่างง่ายดายเลย หากไม่มีตัวการใหญ่คอยสนับสนุน หรือเอื้อประโยชน์ให้
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า “เสี่ยเปี๋ยง”นั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับ “นายใหญ่”และคนในตระกูลชินวัตร อยู่แล้ว ซึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2555 “หมอวรงค์”นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เคยนำคลิปวิดีโอที่มีภาพ “เสี่ยเปี๋ยง”ยืนเป็นเงาประกบอยู่ข้างกาย “นายใหญ่”ที่ต่างประเทศมาแฉแล้วครั้งหนึ่ง
**นอกจากนี้“เสี่ยเปี๋ยง”ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ของ “เสี่ยไก่”นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่น กับพรรคเพื่อไทย
ถือเป็นการตอกลิ่มความเลวร้ายของระบอบทักษิณอีกครั้งได้อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะวงจรนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อระบอบทักษิณมีอำนาจ นั่นคือ ตัวละครเดิมที่ยังมาหากินในช่องทางเดิม และกับโครงการเดิม อย่างโครงการรับจำนำข้าว ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่แม้จะมีการขายในยุค “รัฐบาลขิงแก่”ก็จริง แต่ก็เป็นข้าวที่ค้างมาจาก รัฐบาลพรรคไทยรักไทย จวบจนกระทั่งมา “รัฐบาลปูกรรเชียง”ก็ยังมาดูดดื่มกันในช่องทางเดิมอย่างช่องทาง “จีทูเจี๊ยะ”กันอีก
**ต้องเรียกว่า ทำกันเป็นหมู่คณะ !!
แต่“เสี่ยเปี๋ยง”ยังหัวหมอสู้หัวชนฝา ตามที่กฎหมายจะเปิดอ้าให้มีรูหายใจได้ โดยได้ยื่นหลักทรัพย์ประกันตัว เป็นเงิน 2 ล้านบาท เพื่อขอปล่อยชั่วคราวระหว่างอุทธรณ์คดี ซึ่งศาลได้อนุญาตปล่อยชั่วคราวตามระเบียบ
ทั้งนี้ สำหรับที่มาของการยักยอกทรัพย์หลวง เกิดขึ้นในสมัยรัฐบาลขิงแก่ของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ โดยตอนนั้น กระทรวงพาณิชย์ได้รับใบสั่งซื้อข้าวชนิดแตกหัก 5 เปอร์เซ็นต์จากประเทศอิหร่าน ในรูปแบบการซื้อขายแบบรัฐต่อรัฐ หรือ จีทูจี จำนวน 2 หมื่นตัน ราคา 200 ล้านบาท ซึ่ง บริษัทเพรซิเดนท์ อะกริ จำกัด ของ “เสี่ยเปี๋ยง”เสนอตัวเป็นผู้นำข้าวชนิดแตกหักไม่เกิน 10 เปอร์เซ็นต์ ไป“รีบิวด์”เป็นข้าวแตกหัก 5 เปอร์เซ็นต์ เพื่อกิน “ส่วนต่าง”
โดยต้องมารับข้าวไป “รีบิวด์”ให้ครบจำนวนและตรงเวลาแล้วเพื่อข้าวส่งไปยังประเทศอิหร่านที่ท่าเรือตามกำหนดนัดหมาย
ทว่า ครั้นถึงเวลานัด “เสี่ยเปี๋ยง”ดันไม่นำข้าวไปส่งตามกำหนดถึง 2 ครั้ง ทำให้“รัฐบาลขิงแก่”ได้รับความเสียหาย ต้องเสียมัดจำและเบี้ยปรับให้กับประเทศอิหร่าน ที่สุดรัฐบาลมอบให้สำนักงานอัยการสูงสุด (อสส.) ดำเนินคดี
ซึ่งหลังจากนี้ คงต้องติดตามดูว่า เมื่อถึงชั้นอุทธรณ์แล้ว “เสี่ยเปี๋ยง”จะรอดคมดาบกฎหมายแห่งกรรมครั้งนี้ไปได้หรือไม่ เพราะหลักฐานที่มีอยู่ แน่นหนามาก
กระนั้นก็ตาม แม้จะน่าเสียดายที่ศาลแขวงสามารถเชือด “เสี่ยเปี๋ยง”ในฐานะหมากตัวหนึ่งในกระดานทั้งหมดได้เท่านั้น ทั้งที่ยังเหลือตัวละครระดับหัวอีกมากมายที่สาวไปไม่ถึง แต่หากมองในเชิงสัญลักษณ์ หรือท่วงทำนองต่อจากนี้ มันกำลังทำให้ใครหลายคนเสียวสันหลังวาบเป็นแน่ เพราะคดีนี้เป็นแค่คดีค้างเก่าที่เพิ่งชำระสะสาง
**ยังมีคดีใหม่ที่ “เสี่ยเปี๋ยง” ไปพัวพันอีกเป็นกระบุงโกย
โดยเฉพาะคดีในมือคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) กรณีทุจริตการซื้อขายข้าวแบบจีทูจีกับจีน หรือ “จีทูจีเก๊”ในสมัยรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่ง “เสี่ยเปี๋ยง”โดนแจ้งข้อกล่าวหา เหมือนกับ “บุญทรุด”นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ อดีต รมว.พาณิชย์ และ นายภูมิ สาระผล อดีต รมช.พาณิชย์
โดยคดีดังกล่าว มีบริษัทเอกชนกว่า 90 ราย โดนแจ้งข้อกล่าวหา นอกจากนี้ ยังมีอดีตบิ๊กข้าราชการโดนร่างแหไปด้วย นั่นคือ นายมนัส สร้อยพลอย อดีตอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ
แต่ขณะเดียวกัน ก็มีบริษัทเอกชนที่สำนึกตัวได้ทัน กลับใจมาเป็นพยานให้กับป.ป.ช. ตามกฎหมายป.ป.ช. ที่ให้อำนาจในการคุ้มครอง หรือกันพยานได้ ซึ่งจากข้อมูลที่ได้ หลายรายให้การตรงกันว่า “เสี่ยเปี๋ยง”เป็น “ตัวการใหญ่”ในการเขมือบข้าว
อย่างไรก็ดี ปัจจุบันคดีดังกล่าวอยู่ในชั้นการไต่สวนของอนุกรรมการที่มี นายวิชา มหาคุณ กรรมการป.ป.ช. เป็นประธาน ซึ่งสามารถไต่สวนมาได้เยอะแล้ว แต่อาจต้องใช้เวลาอีกสักระยะ เพราะคดีดังกล่าวเป็นคดีอาญา ที่จะต้องสอบพยาน และรวบรวมหลักฐานอย่างละเอียดรอบคอบเพื่อไม่ให้มีข้อมูลขาดตกบกพร่องเมื่อมีการชี้มูล และสั่งฟ้องต่อศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองในขั้นต่อไป
ซึ่งสาเหตุที่ทำให้ปม “จีทูจีเก๊”ยังไม่สามารถชี้มูลได้รวดเร็วเหมือนกับคดีละเลิกเพิกเฉยไม่ระงับยับยั้งการดำเนินโครงการรับจำนำข้าของ “ปู กรรเชียง”นั่นเป็นเพราะ สำนวนการไต่สวนที่แตกต่างกัน โดยของ“ปูกรรเชียง”นั้นเป็นสำนวนถอดถอน ในขณะที่สำนวนดังกล่าว เป็นคดีอาญา
**ที่สำคัญปม“จีทูจีเก๊”ยังมีตัวละครเข้ามาเกี่ยวข้องจำนวนมาก เรียกได้ว่าเป็น “อภิมหากาพย์เขมือบข้าว”เลยก็ว่าได้ จึงต้องมีความประณีตพอสมควร ซึ่งแน่นอนว่า งานนี้จะต้องมีคนเซ่นสังเวยต่อการทุจริตแบบติดคุกหัวโตแน่
ยิ่ง“เสี่ยเปี๋ยง”โดนศาลเชือดคอในคราวนี้เรียกน้ำย่อยไปแล้ว หลายสิ่งหลายอย่างย่อมเห็นได้ชัดขึ้นว่า โอกาสจะโกงเหมือนกันยิ่งแบเบอร์ บางทีอาจทำให้การทำงานของ ป.ป.ช. หลังจากนี้รวดเร็วขึ้นไปอีก
แต่ทั้งนี้ทั้งนั้น ในชั้น ป.ป.ช. คงจะไม่ได้มีเพียงแค่ “เสี่ยเปี๋ยง”คนเดียวที่ต้องชดใช้กรรม เพราะจับสัญญาณแล้ว น่าจะมีการสาวไส้กันแบบถึงพริกถึงขิง ซึ่งอาจมีตัวละครมากกว่าที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา โดยเฉพาะการที่ ป.ป.ช. มีมติแต่งตั้งอนุกรรมการขึ้นมาอีกชุด เพื่อตรวจสอบบัญชีทรัพย์สิน และหนี้สินของอดีตรัฐมนตรีที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการรับจำนำข้าว แถมยังคำรามเลยว่า พร้อมจะแกะรอยไปให้ถึงต้นตอตัวการใหญ่
**คิวนี้หลายฝ่ายจึงลุ้น สุดท้ายจะลากไปถึง “เจ๊ ด.”ผู้บงการใหญ่ได้หรือไม่ แต่ที่แน่ๆ“เสี่ยเปี๋ยง”ไม่ได้ตายเดี่ยวชัวร์ เพราะป.ป.ช. คงลุยรื้อแบบถอนรากถอนโคน ขบวนการเหลือบไรประเทศ ยิ่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) ไฟเขียวให้องค์กรอิสระทำงานอย่างตรงไปตรงมา และรวดเร็ว โอกาสนี้ถือเป็นนาทีทองของจริง
อย่างไรก็ตาม การที่ “เสี่ยเปี๋ยง”โดนศาลตัดสินจำคุกรอบนี้ นอกจากจะทำให้ใครอีกหลายคนสะดุ้ง หายใจไม่ทั่วท้อง เพราะกลัวสาวไส้ถึงแล้ว ยังเป็นการตอกย้ำให้เห็นว่า “นายใหญ่”พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี รับรู้เรื่องราวเหล่านี้ตลอด หนักไปถึงขั้นสมยอมเพื่อผลประโยชน์ เพราะ “เสี่ยเปี๋ยง”จะไม่สามารถโกงได้อย่างง่ายดายเลย หากไม่มีตัวการใหญ่คอยสนับสนุน หรือเอื้อประโยชน์ให้
เพราะเป็นที่ทราบกันดีว่า “เสี่ยเปี๋ยง”นั้นมีความสนิทชิดเชื้อกับ “นายใหญ่”และคนในตระกูลชินวัตร อยู่แล้ว ซึ่งในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อปี 2555 “หมอวรงค์”นพ.วรงค์ เดชกิจวิกรม อดีต ส.ส.พิษณุโลก พรรคประชาธิปัตย์ เคยนำคลิปวิดีโอที่มีภาพ “เสี่ยเปี๋ยง”ยืนเป็นเงาประกบอยู่ข้างกาย “นายใหญ่”ที่ต่างประเทศมาแฉแล้วครั้งหนึ่ง
**นอกจากนี้“เสี่ยเปี๋ยง”ยังเป็นเพื่อนร่วมรุ่นโรงเรียนสวนกุหลาบวิทยาลัย ของ “เสี่ยไก่”นายวัฒนา เมืองสุข อดีต ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ซึ่งตอกย้ำให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่แนบแน่น กับพรรคเพื่อไทย
ถือเป็นการตอกลิ่มความเลวร้ายของระบอบทักษิณอีกครั้งได้อย่างเด่นชัด โดยเฉพาะวงจรนี้ จะเกิดขึ้นเมื่อระบอบทักษิณมีอำนาจ นั่นคือ ตัวละครเดิมที่ยังมาหากินในช่องทางเดิม และกับโครงการเดิม อย่างโครงการรับจำนำข้าว ไม่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่แม้จะมีการขายในยุค “รัฐบาลขิงแก่”ก็จริง แต่ก็เป็นข้าวที่ค้างมาจาก รัฐบาลพรรคไทยรักไทย จวบจนกระทั่งมา “รัฐบาลปูกรรเชียง”ก็ยังมาดูดดื่มกันในช่องทางเดิมอย่างช่องทาง “จีทูเจี๊ยะ”กันอีก
**ต้องเรียกว่า ทำกันเป็นหมู่คณะ !!