วานนี้ (24มิ.ย.) ศาลปกครองกลาง ออกนั่งบัลลังก์พิจารณาคดีครั้งแรก ในคดีที่นางทัศนา นาเวศน์ ชาวชุมชนบ้านทับยาง ต.ท้ายเมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา กับพวกรวม 36 ราย ยื่นฟ้องนายกรัฐมนตรี รัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย อธิบดีกรมที่ดิน ผู้ว่าราชการจังหวัดพังงา อธิบดีกรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ นายกเทศบาลตำบลท้ายเหมือง และนายงิ้มต่าม ลิ่มดุลย์ ผู้ครอบครองเอกสารสิทธิ์ที่ดินโฉนดเลขที่ 972 และ 973 รวมเนื้อที่ 170 ไร่ โดยอ้างจากเอกสาร สค.1 ที่ซื้อสิทธิ์จาก นายอุทัย ณ ระนอง ผู้ได้รับประทานบัตรเหมืองแร่ในพื้นที่บ้านทับยาง หมู่ 9 ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา ว่า ร่วมกันออกโฉนดที่ดินดังกล่าวโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ทับซ้อนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ พื้นที่ป่าไสอ่อน พื้นที่ป่าไสแก่ คลองพุกง เป็นเหตุให้ชาวบ้านบริเวณดังกล่าวได้รับความเดือดร้อนเสียหาย
ทั้งนี้ในการพิจารณาคดี ตุลาการเจ้าของคดีได้สรุปข้อเท็จจริงในคดี และให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายแถลงการณ์ปิดคดีด้วยวาจา โดยนางทัศนา นาเวศน์ ผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า เหตุที่ตนกับพวกทั้ง 35 ราย อ้างว่าที่ดินดังกล่าวป็นของรัฐ เพราะเคยได้รับการบอกกล่าวจากคนงานเหมืองแร่ของนายอุทัย ณ ระนอง ว่านายอุทัยได้เคยแจ้งแก่คนงานว่า เมื่อเลิกทำเหมืองแร่แล้ว ที่ดินดังกล่าวจะตกเป็นของรัฐ นอกจากนี้ยังปรากฏในคดีพิพาทระหว่าง นายงิ้มต่าม กับเทศบาลตำบลท้ายเหมือง ว่า โฉนดที่ดินทั้งสองฉบับทับทางน้ำสาธารณะประโยชน์ ขณะที่นายสุราษฎร์ สุกปลั่ง ผู้รับมอบอำนาจจากนายงิ้มต่าม แจ้งต่อศาลว่า นายงิ้มต่าม ไม่ประสงค์แถลงด้วยวาจา
จากนั้นนายสมเกียรติ ชมวิสูตร ตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงความเห็นส่วนตัวที่ไม่มีผลผูกพันต่อการวินิจฉัยของคณะ โดยนายสมเกียรติ ระบุว่า จากหลักฐานข้อเท็จจริงในคดีนี้เห็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 972 และ 973 ที่นายงิ้มต่าม นำเอกสาร สค.1 ที่ซื้อสิทธิ์จาก นายอุทัย ณ ระนอง ผู้ได้รับประทานบัตรเหมืองแร่ในพื้นที่บ้านทับยาง หมู่ 9 ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา มาออกโฉนดนั้น เป็นการออกโฉนดทับซ้อนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ พื้นที่ป่าไสอ่อน พื้นที่ป่าไสแก่ คลองพุกง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเห็นควรที่คณะตุลาการเจ้าสำนวน จะมีคำพิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดิน เร่งดำเนินการเพิกโฉนดที่ดินในส่วนที่ทับซ้อนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ พื้นที่ป่าไสอ่อน พื้นที่ป่าไสแก่ คลองพุกง โดยมีตั้งคณะกรรมการขึ้นมากำกับให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15วัน นับแต่คดีถึงที่สุด
ทั้งนี้ในการพิจารณาคดี ตุลาการเจ้าของคดีได้สรุปข้อเท็จจริงในคดี และให้คู่กรณีทั้งสองฝ่ายแถลงการณ์ปิดคดีด้วยวาจา โดยนางทัศนา นาเวศน์ ผู้ฟ้องคดี กล่าวว่า เหตุที่ตนกับพวกทั้ง 35 ราย อ้างว่าที่ดินดังกล่าวป็นของรัฐ เพราะเคยได้รับการบอกกล่าวจากคนงานเหมืองแร่ของนายอุทัย ณ ระนอง ว่านายอุทัยได้เคยแจ้งแก่คนงานว่า เมื่อเลิกทำเหมืองแร่แล้ว ที่ดินดังกล่าวจะตกเป็นของรัฐ นอกจากนี้ยังปรากฏในคดีพิพาทระหว่าง นายงิ้มต่าม กับเทศบาลตำบลท้ายเหมือง ว่า โฉนดที่ดินทั้งสองฉบับทับทางน้ำสาธารณะประโยชน์ ขณะที่นายสุราษฎร์ สุกปลั่ง ผู้รับมอบอำนาจจากนายงิ้มต่าม แจ้งต่อศาลว่า นายงิ้มต่าม ไม่ประสงค์แถลงด้วยวาจา
จากนั้นนายสมเกียรติ ชมวิสูตร ตุลาการผู้แถลงคดี ได้แถลงความเห็นส่วนตัวที่ไม่มีผลผูกพันต่อการวินิจฉัยของคณะ โดยนายสมเกียรติ ระบุว่า จากหลักฐานข้อเท็จจริงในคดีนี้เห็นว่า ที่ดินโฉนดเลขที่ 972 และ 973 ที่นายงิ้มต่าม นำเอกสาร สค.1 ที่ซื้อสิทธิ์จาก นายอุทัย ณ ระนอง ผู้ได้รับประทานบัตรเหมืองแร่ในพื้นที่บ้านทับยาง หมู่ 9 ต.ท้ายเหมือง อ.ท้ายเหมือง จ.พังงา มาออกโฉนดนั้น เป็นการออกโฉนดทับซ้อนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ พื้นที่ป่าไสอ่อน พื้นที่ป่าไสแก่ คลองพุกง โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย จึงเห็นควรที่คณะตุลาการเจ้าสำนวน จะมีคำพิพากษาให้อธิบดีกรมที่ดิน เร่งดำเนินการเพิกโฉนดที่ดินในส่วนที่ทับซ้อนพื้นที่สาธารณะประโยชน์ พื้นที่ป่าไสอ่อน พื้นที่ป่าไสแก่ คลองพุกง โดยมีตั้งคณะกรรมการขึ้นมากำกับให้ดำเนินการให้แล้วเสร็จภายใน 15วัน นับแต่คดีถึงที่สุด