สิ่งที่คณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ (คสช.) กำลังทำคือการปัดกวาดปัญหาต่างๆ ที่หมักหมมกันมา และไม่มีใครสามารถแก้ได้ หนึ่งในนั้นคือการขายลอตเตอรี่เกินราคา มีคนเคยกล่าวว่าในเมืองไทยเรามีปัญหาที่ไม่มีทางแก้ไขได้สองเรื่อง คือ การขายลอตเตอรี่เกินราคากับการเข้าคิว แต่เวลานี้เราเห็นคนเริ่มเข้าคิวมากขึ้น เช่น การรอขึ้นวินมอเตอร์ไซค์ เป็นต้น
เรามีการรักษาความสงบมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว โดยทั่วไปต้องยอมรับว่าบ้านเมืองดูดีขึ้น มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาหลายด้าน และคณะทหารก็ตั้งอกตั้งใจดี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทหารที่ต้องกล่าวว่าทำงานเป็น และใช้คนในทุกพื้นที่ พวกผู้บัญชาการกองพลก็ออกมาจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ และการจราจรที่เคยเป็นปัญหาเรื้อรังมาก่อน
การรัฐประหารครั้งนี้มีข้อแตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ ตรงที่ไม่มีการประกาศตั้งรัฐบาลทันที แต่มีการจัดระยะเวลาให้มีการควบคุมสถานการณ์ไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และมีการแต่งตั้งบุคคลเข้ามาทำงานเหมือนกับเป็นการทดลองฝีมือก่อนจะจัดตั้งรัฐบาล เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว คงจะคัดสรรคนให้ตรงกับความสามารถมากขึ้น คณะรักษาความสงบฯ ก็คงจะสลายตัวไปหลังการจัดตั้งรัฐบาล เพราะจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว และมีการจัดตั้งสภาฯ 2 สภาฯ อันได้แก่ สภาปฏิรูป และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
มีคำถามว่า เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว เราจะแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ เรื่องหนึ่งที่น่าจะดีขึ้นก็คือ การคอร์รัปชัน รัฐบาลชุดนี้จะต้องมีการทบทวนการดำเนินโครงการใหญ่ๆ ที่เป็นบ่อเกิดของการฉ้อราษฎร์บังหลวง
เรื่องที่ คสช.ไม่ค่อยพูดแต่มีคนคอยเตือนความจำคือการจัดการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมเห็นว่า คสช.คงไม่ต้องการเปิดศึกหลายด้าน และวิธีการจัดการกับทักษิณที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือ การตัดมือตัดเท้าอันได้แก่ การโยกย้ายข้าราชการที่เป็นคนวงในของทักษิณ เพราะเป็นที่รู้ดีว่าตำแหน่งทางราชการที่สำคัญทั้งหลาย ต้องผ่านการเห็นชอบจากทักษิณก่อน
เมื่อมีการโยกย้ายสมุนของทักษิณแล้ว คสช.ต้องไม่ลืมว่ามีข้าราชการดีๆ ที่ถูกกระทำโดยระบอบทักษิณเช่นกัน เช่นกรณีการโยกย้ายเอกอัครราชทูตที่ดีและเก่งคือ นายกิตติพงษ์ ณ ระนอง ไปประจำที่ลิเบีย เป็นต้น ทูตกิตติพงษ์ก็เป็นข้าราชการที่ดีไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว และผมก็มั่นใจว่าทูตคนนี้ก็จะไม่ร้องขอให้ใครช่วย คนเช่นนี้แหละที่สมควรได้รับความยุติธรรม
ปัญหาที่ คสช.เดินไปถูกทางแล้วก็คือ การจัดการกับสิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่างๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ที่มีปัญหาการขาดทุน พนักงานต้อนรับของการบินไทยตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทขาดทุนได้อย่างไร เมื่อคนขึ้นเครื่องเต็มทุกวัน แต่การบินไทยเวลานี้อยู่ในขั้นวิกฤต และหากไม่ใช่บริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่แล้ว ก็คงจะล้มละลายไปนานแล้ว
ผมเคยเป็นประธานกรรมการบริษัทการบินไทย เมื่อผมเข้าไปใหม่ๆ นั้นได้ค่าตอบแทนเพียงเดือนละ 6,000 บาท แต่ก็มีการเพิ่มเงินเบี้ยประชุมภายหลังเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นก็ยังมีสิทธิประโยชน์อีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการได้รับสิทธิขึ้นชั้นหนึ่งฟรีโดยไม่จำกัด ประธานกรรมการได้รับสิทธินี้ตลอดชีพ ผมเป็นคนที่ไปยกเลิกสิทธินี้ และได้มีการกำหนดให้กรรมการแต่ละคนได้รับตั๋วภายใน และภายนอกประเทศในจำนวนจำกัด และหากพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว 2 ปีก็จะไม่ได้รับสิทธินั้น เวลานั้นกรรมการนั่งชั้นหนึ่งจนไม่มีที่นั่งขายผู้โดยสารอื่น และเล่ากันว่าบางคนถึงกับนั่งเครื่องบินไปกินข้าวกลางวันที่ฮ่องกงแล้วก็กลับ นอกจากนั้นสมัยก่อนยังมีบัตรเครดิตให้รูดตามสบายอีกด้วย ต่อมาได้มีการยกเลิก เพราะเมื่อผมเข้าไปตรวจสอบนั้น ปรากฏว่ามีการใช้บัตรเครดิตอย่างฟุ่มเฟือย บางคนใช้ปีละล้านกว่าบาทก็มี ซ้ำยังมีข่าวว่ามีภรรยาผู้ใหญ่ได้ใช้บัตรเครดิตรูดซื้อแหวนเพชรอีกด้วย
รัฐวิสาหกิจจัดว่าเป็นแหล่งที่ตอบแทนข้าราชการซึ่งมีเงินเดือนน้อย เมื่อเราขึ้นเงินเดือนให้ไม่ได้ ก็อาศัยเงินในรัฐวิสาหกิจนี่แหละ สำหรับข้าราชการที่ซื่อสัตย์ ไม่คดโกง การได้รับเงินเพิ่มขึ้นมาเดือนละ 4-5 หมื่นบาท ก็ช่วยได้มาก ผมตอนได้ค่าตอบแทนเดือนละ 6,000 บาทนั้น ต้องเซ็นเช็คใบละหลายร้อยล้านบาท จ่ายค่าน้ำมันเครื่องบินซึ่งเมื่อมีการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก็มีการจัดระเบียบให้มีการได้รับค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบ
เรื่องรัฐวิสาหกิจอย่างการบินไทยเป็นเรื่องใหญ่ ต้องการคนซื่อสัตย์อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความรู้ความสามารถด้วย และต้องการการตัดสินใจที่ดี หากผมมีอำนาจผมจะแต่งตั้งคนอย่างแจ่มศรีเข้าไปเป็นบอร์ดการบินไทย แจ่มศรีเป็นคนรู้ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาของการบินไทยได้ดี และรักบริษัทมาก แจ่มศรีและเพื่อนๆ ได้ทำอะไรหลายอย่างที่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของบริษัท
เมื่อสังเกตการทำงานของ คสช.ดูในรอบหนึ่งเดือนแล้วก็เห็นว่ามีการศึกษาปัญหามาดี และมีความตั้งใจสูงในการทำงาน ดังนั้นในระยะสามเดือนนี้ คงมีการแก้ปัญหาพื้นฐานได้ดีพอสมควร เป็นการปูทางให้รัฐบาลใหม่ และเท่ากับเป็นการเตรียมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย
ปัญหาหลักก็คือ ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้นักการเมืองที่โกงชาติกลับคืนมา เมื่อให้มีการเลือกตั้งแล้วทำอย่างไรจึงจะมีการคานอำนาจไว้ได้ เป็นการถ่วงดุลนักการเมืองเหล่านี้ เช่นการมีบทบัญญัติให้มีการตั้งสภาฯ ตรวจสอบขึ้น สภาฯ ตรวจสอบนี้ทำหน้าที่ ตรวจสอบก่อน ไม่ใช่การตรวจภายหลังอย่าง สตง. หรือ ป.ป.ช. ดังนั้นนโยบายประชานิยมสุดขั้วหรือการทำโครงการใหญ่ๆ ก็จะมีการตรวจสอบก่อน ดังเช่นการจำนำข้าว เป็นต้น
อีกไม่นาน เราก็จะรู้ว่า คสช.จะมีมาตรการใหม่ๆ อะไรบ้างอันเป็นมาตรการเชิงรุกหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้ว
เรามีการรักษาความสงบมาเป็นเวลาหนึ่งเดือนแล้ว โดยทั่วไปต้องยอมรับว่าบ้านเมืองดูดีขึ้น มีความพยายามที่จะแก้ปัญหาหลายด้าน และคณะทหารก็ตั้งอกตั้งใจดี แสดงให้เห็นถึงศักยภาพของทหารที่ต้องกล่าวว่าทำงานเป็น และใช้คนในทุกพื้นที่ พวกผู้บัญชาการกองพลก็ออกมาจัดระเบียบวินมอเตอร์ไซค์ และการจราจรที่เคยเป็นปัญหาเรื้อรังมาก่อน
การรัฐประหารครั้งนี้มีข้อแตกต่างไปจากครั้งก่อนๆ ตรงที่ไม่มีการประกาศตั้งรัฐบาลทันที แต่มีการจัดระยะเวลาให้มีการควบคุมสถานการณ์ไว้ชั่วระยะเวลาหนึ่ง และมีการแต่งตั้งบุคคลเข้ามาทำงานเหมือนกับเป็นการทดลองฝีมือก่อนจะจัดตั้งรัฐบาล เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลแล้ว คงจะคัดสรรคนให้ตรงกับความสามารถมากขึ้น คณะรักษาความสงบฯ ก็คงจะสลายตัวไปหลังการจัดตั้งรัฐบาล เพราะจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญชั่วคราว และมีการจัดตั้งสภาฯ 2 สภาฯ อันได้แก่ สภาปฏิรูป และสภานิติบัญญัติแห่งชาติ
มีคำถามว่า เมื่อมีการจัดตั้งรัฐบาลใหม่แล้ว เราจะแก้ไขปัญหาได้หรือไม่ เรื่องหนึ่งที่น่าจะดีขึ้นก็คือ การคอร์รัปชัน รัฐบาลชุดนี้จะต้องมีการทบทวนการดำเนินโครงการใหญ่ๆ ที่เป็นบ่อเกิดของการฉ้อราษฎร์บังหลวง
เรื่องที่ คสช.ไม่ค่อยพูดแต่มีคนคอยเตือนความจำคือการจัดการกับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมเห็นว่า คสช.คงไม่ต้องการเปิดศึกหลายด้าน และวิธีการจัดการกับทักษิณที่ดีที่สุดในเวลานี้ก็คือ การตัดมือตัดเท้าอันได้แก่ การโยกย้ายข้าราชการที่เป็นคนวงในของทักษิณ เพราะเป็นที่รู้ดีว่าตำแหน่งทางราชการที่สำคัญทั้งหลาย ต้องผ่านการเห็นชอบจากทักษิณก่อน
เมื่อมีการโยกย้ายสมุนของทักษิณแล้ว คสช.ต้องไม่ลืมว่ามีข้าราชการดีๆ ที่ถูกกระทำโดยระบอบทักษิณเช่นกัน เช่นกรณีการโยกย้ายเอกอัครราชทูตที่ดีและเก่งคือ นายกิตติพงษ์ ณ ระนอง ไปประจำที่ลิเบีย เป็นต้น ทูตกิตติพงษ์ก็เป็นข้าราชการที่ดีไม่เคยปริปากบ่นแม้แต่คำเดียว และผมก็มั่นใจว่าทูตคนนี้ก็จะไม่ร้องขอให้ใครช่วย คนเช่นนี้แหละที่สมควรได้รับความยุติธรรม
ปัญหาที่ คสช.เดินไปถูกทางแล้วก็คือ การจัดการกับสิทธิประโยชน์ของคณะกรรมการในรัฐวิสาหกิจต่างๆ โดยเฉพาะรัฐวิสาหกิจใหญ่ๆ ที่มีปัญหาการขาดทุน พนักงานต้อนรับของการบินไทยตั้งข้อสงสัยว่าบริษัทขาดทุนได้อย่างไร เมื่อคนขึ้นเครื่องเต็มทุกวัน แต่การบินไทยเวลานี้อยู่ในขั้นวิกฤต และหากไม่ใช่บริษัทที่รัฐบาลถือหุ้นใหญ่แล้ว ก็คงจะล้มละลายไปนานแล้ว
ผมเคยเป็นประธานกรรมการบริษัทการบินไทย เมื่อผมเข้าไปใหม่ๆ นั้นได้ค่าตอบแทนเพียงเดือนละ 6,000 บาท แต่ก็มีการเพิ่มเงินเบี้ยประชุมภายหลังเป็นจำนวนมาก นอกจากนั้นก็ยังมีสิทธิประโยชน์อีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการได้รับสิทธิขึ้นชั้นหนึ่งฟรีโดยไม่จำกัด ประธานกรรมการได้รับสิทธินี้ตลอดชีพ ผมเป็นคนที่ไปยกเลิกสิทธินี้ และได้มีการกำหนดให้กรรมการแต่ละคนได้รับตั๋วภายใน และภายนอกประเทศในจำนวนจำกัด และหากพ้นจากตำแหน่งไปแล้ว 2 ปีก็จะไม่ได้รับสิทธินั้น เวลานั้นกรรมการนั่งชั้นหนึ่งจนไม่มีที่นั่งขายผู้โดยสารอื่น และเล่ากันว่าบางคนถึงกับนั่งเครื่องบินไปกินข้าวกลางวันที่ฮ่องกงแล้วก็กลับ นอกจากนั้นสมัยก่อนยังมีบัตรเครดิตให้รูดตามสบายอีกด้วย ต่อมาได้มีการยกเลิก เพราะเมื่อผมเข้าไปตรวจสอบนั้น ปรากฏว่ามีการใช้บัตรเครดิตอย่างฟุ่มเฟือย บางคนใช้ปีละล้านกว่าบาทก็มี ซ้ำยังมีข่าวว่ามีภรรยาผู้ใหญ่ได้ใช้บัตรเครดิตรูดซื้อแหวนเพชรอีกด้วย
รัฐวิสาหกิจจัดว่าเป็นแหล่งที่ตอบแทนข้าราชการซึ่งมีเงินเดือนน้อย เมื่อเราขึ้นเงินเดือนให้ไม่ได้ ก็อาศัยเงินในรัฐวิสาหกิจนี่แหละ สำหรับข้าราชการที่ซื่อสัตย์ ไม่คดโกง การได้รับเงินเพิ่มขึ้นมาเดือนละ 4-5 หมื่นบาท ก็ช่วยได้มาก ผมตอนได้ค่าตอบแทนเดือนละ 6,000 บาทนั้น ต้องเซ็นเช็คใบละหลายร้อยล้านบาท จ่ายค่าน้ำมันเครื่องบินซึ่งเมื่อมีการเข้าตลาดหลักทรัพย์ฯ แล้วก็มีการจัดระเบียบให้มีการได้รับค่าตอบแทนให้สอดคล้องกับหน้าที่ความรับผิดชอบ
เรื่องรัฐวิสาหกิจอย่างการบินไทยเป็นเรื่องใหญ่ ต้องการคนซื่อสัตย์อย่างเดียวไม่พอ ต้องมีความรู้ความสามารถด้วย และต้องการการตัดสินใจที่ดี หากผมมีอำนาจผมจะแต่งตั้งคนอย่างแจ่มศรีเข้าไปเป็นบอร์ดการบินไทย แจ่มศรีเป็นคนรู้ปัญหาและวิธีการแก้ปัญหาของการบินไทยได้ดี และรักบริษัทมาก แจ่มศรีและเพื่อนๆ ได้ทำอะไรหลายอย่างที่เป็นการรักษาผลประโยชน์ของบริษัท
เมื่อสังเกตการทำงานของ คสช.ดูในรอบหนึ่งเดือนแล้วก็เห็นว่ามีการศึกษาปัญหามาดี และมีความตั้งใจสูงในการทำงาน ดังนั้นในระยะสามเดือนนี้ คงมีการแก้ปัญหาพื้นฐานได้ดีพอสมควร เป็นการปูทางให้รัฐบาลใหม่ และเท่ากับเป็นการเตรียมขึ้นเป็นนายกรัฐมนตรีของ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ด้วย
ปัญหาหลักก็คือ ทำอย่างไรจึงจะไม่ให้นักการเมืองที่โกงชาติกลับคืนมา เมื่อให้มีการเลือกตั้งแล้วทำอย่างไรจึงจะมีการคานอำนาจไว้ได้ เป็นการถ่วงดุลนักการเมืองเหล่านี้ เช่นการมีบทบัญญัติให้มีการตั้งสภาฯ ตรวจสอบขึ้น สภาฯ ตรวจสอบนี้ทำหน้าที่ ตรวจสอบก่อน ไม่ใช่การตรวจภายหลังอย่าง สตง. หรือ ป.ป.ช. ดังนั้นนโยบายประชานิยมสุดขั้วหรือการทำโครงการใหญ่ๆ ก็จะมีการตรวจสอบก่อน ดังเช่นการจำนำข้าว เป็นต้น
อีกไม่นาน เราก็จะรู้ว่า คสช.จะมีมาตรการใหม่ๆ อะไรบ้างอันเป็นมาตรการเชิงรุกหลังจากมีการจัดตั้งรัฐบาลชุดใหม่แล้ว