รายงานข่าวจากกกต.แจ้งว่า ตามที่ คณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) มีประกาศฉบับที่ 11 ที่ระบุให้ รัฐธรรมนูญ พ.ศ.2550 สิ้นสุดลง ยกเว้นหมวด 2 และประกาศคสช. ฉบับ 24 ที่ให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญ มีผลใช้บังคับเพียง 5 ฉบับ คือ พ.ร.บ.ตรวจเงินแผ่นดิน พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ พ.ร.บ.คณะกรรมการการเลือกตั้ง พ.ร.บ.ผู้ตรวจการแผ่นดิน และพ.ร.บ.วิธีพิจารณาคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง เท่านั้น จึงทำให้พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยพรรคการเมืองต้องสิ้นสุดลง
ดังนั้น สถานะของพรรคการเมืองต่างๆ ต้องสิ้นสภาพไปด้วย กกต. จึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังพรรคการเมือง เพื่อให้คืนเงินจากองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง ที่ใช้ในการรณรงค์ด้านประชาธิปไตย เพราะเห็นว่าพรรคการเมืองไม่มีสภาพเป็นพรรคการเมืองอีกต่อไปแล้ว ส่วนถ้าพรรคการเมืองใดใช้เงินกองทุนไปบางส่วนแล้ว ก็ให้แจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายมายัง กกต.
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เมื่อพรรคการเมืองไม่มีสภาพตามรัฐธรรมนูญ การประชุมสมาชิกพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค จึงเป็นสิ่งไม่ควรกระทำในช่วงนี้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการขัดต่อกฎอัยการศึก และประกาศของ คสช. ที่ห้ามมิให้ชุมนุมหรือมั่วสุมทางการเมืองเกิน 5 คน หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าในระดับสำนักงาน กำลังมีการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่า เมื่อ คสช.ให้รัฐธรรมนูญปี 50 สิ้นสุดลง แต่ให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งยังอยู่ โดยให้กกต.ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนั้น ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของกกต. ในระหว่างนี้ ก็จะเป็นเรื่องของการดำเนินคดีอาญา จึงต้องการความชัดเจนว่า ตกลงแล้ว พ.ร.ป.ว่าด้วยเลือกตั้งส.ส.และส.ว. , พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ยังคงอยู่หรือไม่ เพราะการดำเนินคดีอาญาจะเกี่ยวข้องยึดโยงกับกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งยังมีกรณีที่เมื่อรัฐธรรมนูญปี 50 ถูกยกเลิกแล้ว สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ที่กกต.เสนอเรื่องต่อศาลอุทธรณ์ให้วินิจฉัยสั่งเลือกตั้งใหม่ หรือสั่งเพิกถอนสิทธิ จะยังต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ นับแต่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 239 อีกหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นปัญหาในขณะนี้ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ผู้ราชการกรุงเทพมหานคร นับแต่ศาลอุทธรณ์รับคำฟ้องไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 27 มี.ค. จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าฯกทม. ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาได้หรือไม่ เพราะ คสช.ได้ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 ไปแล้ว
ดังนั้น สถานะของพรรคการเมืองต่างๆ ต้องสิ้นสภาพไปด้วย กกต. จึงได้ทำหนังสือแจ้งไปยังพรรคการเมือง เพื่อให้คืนเงินจากองทุนเพื่อพัฒนาพรรคการเมือง ที่ใช้ในการรณรงค์ด้านประชาธิปไตย เพราะเห็นว่าพรรคการเมืองไม่มีสภาพเป็นพรรคการเมืองอีกต่อไปแล้ว ส่วนถ้าพรรคการเมืองใดใช้เงินกองทุนไปบางส่วนแล้ว ก็ให้แจ้งบัญชีค่าใช้จ่ายมายัง กกต.
รายงานข่าวแจ้งอีกว่า เมื่อพรรคการเมืองไม่มีสภาพตามรัฐธรรมนูญ การประชุมสมาชิกพรรค หรือกรรมการบริหารพรรค จึงเป็นสิ่งไม่ควรกระทำในช่วงนี้ เนื่องจากการกระทำดังกล่าวอาจเป็นการขัดต่อกฎอัยการศึก และประกาศของ คสช. ที่ห้ามมิให้ชุมนุมหรือมั่วสุมทางการเมืองเกิน 5 คน หากฝ่าฝืนต้องระวางโทษจำคุกไม่เกิน 1 ปี หรือปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าในระดับสำนักงาน กำลังมีการหารือกับคณะกรรมการกฤษฎีกา เพื่อให้พิจารณาว่า เมื่อ คสช.ให้รัฐธรรมนูญปี 50 สิ้นสุดลง แต่ให้ พ.ร.บ.ประกอบรัฐธรรมนูญว่าด้วยคณะกรรมการการเลือกตั้งยังอยู่ โดยให้กกต.ยังคงปฏิบัติหน้าที่ต่อไปนั้น ซึ่งการปฏิบัติหน้าที่ของกกต. ในระหว่างนี้ ก็จะเป็นเรื่องของการดำเนินคดีอาญา จึงต้องการความชัดเจนว่า ตกลงแล้ว พ.ร.ป.ว่าด้วยเลือกตั้งส.ส.และส.ว. , พ.ร.ป.ว่าด้วยพรรคการเมือง และ พ.ร.ป.ว่าด้วยการออกเสียงประชามติ ยังคงอยู่หรือไม่ เพราะการดำเนินคดีอาญาจะเกี่ยวข้องยึดโยงกับกฎหมายดังกล่าว รวมทั้งยังมีกรณีที่เมื่อรัฐธรรมนูญปี 50 ถูกยกเลิกแล้ว สมาชิกสภาท้องถิ่น หรือผู้บริหารท้องถิ่น ที่กกต.เสนอเรื่องต่อศาลอุทธรณ์ให้วินิจฉัยสั่งเลือกตั้งใหม่ หรือสั่งเพิกถอนสิทธิ จะยังต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ นับแต่ศาลอุทธรณ์มีคำสั่งรับคำร้องไว้พิจารณาวินิจฉัย ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 239 อีกหรือไม่ ซึ่งประเด็นนี้ก็เป็นปัญหาในขณะนี้ว่า ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร ซึ่งหยุดปฏิบัติหน้าที่ผู้ราชการกรุงเทพมหานคร นับแต่ศาลอุทธรณ์รับคำฟ้องไว้พิจารณา เมื่อวันที่ 27 มี.ค. จะเข้าปฏิบัติหน้าที่ผู้ว่าฯกทม. ก่อนที่ศาลอุทธรณ์จะมีคำพิพากษาได้หรือไม่ เพราะ คสช.ได้ ยกเลิกรัฐธรรมนูญ 50 ไปแล้ว