xs
xsm
sm
md
lg

เอกชนจี้คลอดรัฐบาลใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-หอการค้าไทยขอมีรัฐบาลใหม่ที่มีอำนาจเต็มโดยเร็ว ไม่เกินก.ย.นี้ ยิ่งดี ส่วนจะด้วยวิธีใดก็ได้ เอกชนพร้อมทำงานด้วย หวังเร่งฟื้นฟูเศรษฐกิจที่กำลังชะลอตัว พร้อมขอให้ยกเลิกกฎอัยการศึกภายใน 3-4 เดือน เล็งนัดหารือ กกร. และ 7 องค์กรเอกชนประเมินอีกรอบ ต่างชาติเชื่อดีกว่าปฏิวัติ ยันไม่ทิ้งไทย "ชัชชาติ"สั่งหน่วยงานในสังกัดทำงานตามปกติ การบินไทยบอกเอเย่นต์ทำความเข้าใจลูกค้า หวั่นยกเลิกตั๋ว "พรเทพ พรประภา"ระบุกฎอัยการศึกเหมือนกรรมการห้ามศึก แต่ไม่สามารถคาดเดาอนาคตข้างหน้าได้ เ ด้านเพาเวอร์บาย”ทุ่ม2.4พันล้านสู้กฎอัยการศึก ดันยอดขาย
นายอิสระ ว่องกุศลกิจ ประธานกรรมการหอการค้าไทยและสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย เปิดเผยภายหลังการประชุมคณะกรรมการหอการค้าไทย เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจของไทยภายหลังการประกาศใช้กฎอัยการศึก วานนี้ (21 พ.ค.) ว่า ภาคเอกชนต้องการให้ทุกฝ่ายช่วยกันหาทางออกของประเทศโดยเร็ว หลังจากที่มีการประกาศกฎอัยการศึก โดยเฉพาะการมีรัฐบาลที่มีอำนาจเต็มมาบริหารบ้านเมือง และแก้ปัญหาต่างๆ โดยเฉพาะปัญหาเศรษฐกิจ ที่กำลังชะลอลงในขณะนี้ ส่วนการได้รัฐบาลใหม่จะด้วยวิธีการใด หรือจะมีนายกรัฐมนตรีคนกลางหรือไม่ เป็นเรื่องทางการเมือง แต่ขอให้ได้รัฐบาลโดยเร็วที่สุด หรือปัญหาทุกอย่างจนได้เร็วก่อนเดือนก.ย.นี้ก็จะดี และภาคเอกชนพร้อมทำงานขับเคลื่อนเศรษฐกิจร่วมกับทุกรัฐบาล
สำหรับผลกระทบจากกฎอัยการศึก ในระยะสั้น ไม่มีผล เพราะกิจกรรมทางเศรษฐกิจ การใช้ชีวิต ยังทำได้ปกติ และหวังว่าจะยกเลิกภายใน 3-4 เดือน หากนานกว่านี้จะกระทบเศรษฐกิจในระยะยาว เพราะจะทำให้ต่างชาติ นักท่องเที่ยว นักลงทุน เกิดความไม่เชื่อมั่น ส่วนจะมีผลทำให้เศรษฐกิจในปีนี้เป็นอย่างไร คงต้องประเมินสถานการณ์อีกครั้ง
อย่างไรก็ตาม ในเร็วๆ นี้ จะหารือร่วมกับคณะกรรมการร่วมภาคเอกชน 3 สถาบัน (กกร.) ประกอบด้วย สภาหอการค้าแห่งประเทศไทย สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย และสมาคมธนาคารไทย รวมถึงหารือร่วมกับ 7 องค์กรภาคเอกชน เพื่อประเมินสถานการณ์ด้านเศรษฐกิจภายหลังการใช้กฎอัยการศึก และหาแนวทางการแก้ปัญหา แต่คงยังไม่นำเสนอรัฐบาล เป็นเพียงแนวทางการแก้ปัญหาของภาคเอกชนเท่านั้น
นายนานดอร์ วอน เดอร์ ลูเฮ รองประธานกรรมการสภาหอการค้าแห่งประเทศไทย กล่าวว่า การประกาศกฎอัยการศึกส่งผลดีมากกว่าการปฏิวัติ เพราะทำให้ประเทศสงบเรียบร้อย หยุดความรุนแรงได้ หลังจากไทยมีปัญหาการเมืองยาวนานมากว่า 6 เดือน ซึ่งหวังว่าจากนี้ไปไทยจะหาทางออกได้ และเห็นว่าไทยเป็นประเทศประชาธิปไตย ก็ควรจะมีการเลือกตั้ง
นายเซตซึโอะ อิอุจิ ประธานองค์การส่งเสริมการค้าต่างประเทศของญี่ปุ่น (เจโทร) กล่าวว่า กฏอัยการศึกอาจมีผลกระทบกับไทยในด้านการท่องเที่ยว เพราะนักท่องเที่ยวอาจไม่มั่นใจ และชะลอการเดินทางมาไทย แต่ในด้านอื่นๆ อาจไม่กระทบมากนัก ส่วนนักลงทุนต่างชาติที่คุ้นเครยกับความขัดแย้งทางการเมืองในไทย คงไม่หวาดวิตก ขณะที่นักธุรกิจญี่ปุ่น ยังคงมั่นใจทำธุรกิจในไทยต่อไป
สำหรับความเคลื่อนไหวของภาครัฐ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม พร้อมด้วยพลเอกพฤณท์ สุวรรณทัต และนายพ้อง ชีวานันท์ รมช.คมนาคม ได้เรียกประชุมหัวหน้าส่วนราชการ 7 แห่ง และรัฐวิสาหกิจ 14 แห่ง โดยได้สั่งการให้หน่วยงานในสังกัด รวมถึงรัฐวิสาหกิจในสังกัดทำงานตามปกติ หลังมีการประกาศใช้กฎอัยการศึก
นายโชคชัย ปัญญายงค์ รักษาการกรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า ผลกระทบหลังมีประกาศกฎอัยการศึก ทำให้ออสเตรเลียและนิวซีแลนด์ ยกระดับคำเตือนประชาชนของตนเองขึ้นเป็นขั้นสูงสุด ส่วนประเทศอื่นยังคงคำเตือนปกติ ซึ่งต้องติดตามสถานการณ์ต่อไป ขณะที่การบินไทยเปิดให้จองตั๋วได้ตามปกติ ไม่มีการยกเลิกเที่ยวบินใดๆ และขอให้เอเย่นต์เร่งทำความเข้าใจลูกค้าแล้ว
นายเมฆินทร์ เพ็ชรพลาย กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท ท่าอากาศยานไทย จำกัด (มหาชน) หรือ ทอท. กล่าวว่า การประกาศกฎอัยการศึกไม่ได้ส่งผลกระทบเพิ่มขึ้น เนื่องจากปัจจุบันจำนวนผู้โดยสารเข้าออกประเทศไทยที่ท่าอากาศยานสุวรรณภูมิเฉลี่ย 1.2 แสนคนต่อวัน ซึ่งลดลง 5-10% จากช่วงปกติที่มีเฉลี่ย 1.2-1.5 แสนคนต่อวัน โดยนอกจากเป็นช่วง Low Season แล้ว
ยังได้รับผลกระทบจากการชุมนุมมาต่อเนื่องด้วย

***”พรเทพ”เชื่อ'อัยการศึก'เหมือนกรรมการห้ามศึก

นายพรเทพ พรประภา ประธานบริษัท ทองถาวรพัฒนา จำกัด และกรรมการผู้จัดการกลุ่มสยามกลการ กล่าวว่า การออกมาประกาศกฎอัยการศึกของผบ.ทบ.พล.อ.ประยุท จันทร์โอชา ถือว่าเป็นการเข้ามาเป็นกรรมการห้ามศึกของมวลชนทั้งสองฝ่าย ที่ผ่านมาไม่มีคนกลางที่เข้ามาห้ามได้ ซึ่งอย่างน้อยๆ ก็มาสามารถเรียกคู่กรณีหรือผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องเข้ามาเจรจาพูดคุยกันได้ จากเดิมที่ไม่มีใครยอมมาเจรจา
“ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมาธุรกิจโตมาอย่างต่อเนื่องไม่เคยหยุด เราอยู่ในช่วงชะลอตัว ตอนนี้มีเวลาพัก คิดวางแผน เมื่อก่อนคนงานหายาก งานล้นมือ คุณภาพก็ลดลงตามไปด้วย ซึ่งจากวันนี้ไปจนถึงสิ้นปีก็ยังไม่สามารถตอบได้ว่าทิศทางจะเป็นอย่างไร แต่ฝนตกย่อมมีวันหยุด แม้ว่าที่ผ่านมาจะตกตลอดตกมานานแล้ว แต่สุดท้ายก็ต้องหยุด”
การดำเนินธุรกิจในช่วงนี้จะต้องดำเนินธุรกิจแบบ Conservative มีความระมัดระวัง อย่ามองว่าโลกสวยตลอด ให้มองผลกระทบในด้านลบบ้าง และเตรียมตัวเพื่อรับมือกับผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นได้ ซึ่งในช่วงที่ผ่านมาถือว่าตลาดชะลอตัวไปมาก รวมถึงตลาดรถยนต์ แต่กลุ่มสยามกลการโชคดีที่ไม่ได้ทำธุรกิจแบบฉายเดี่ยว แต่มีพันธมิตรหรือผู้ร่วมทุนต่างชาติ เมื่อตลาดในประเทศชะลอก็สามารถส่งออกไปยังต่างประทศได้ นอกจากนี้ ผลกระทบที่เกิดขึ้นยังถูกหารความเสี่ยงร่วมกับพันธมิตร ทำให้ได้รับผลกระทบเพียงครึ่งเดียวเมื่อเทียบกับบริษัทอื่นในตลาด
ส่วนกรณี กระแสข่าวนักลงทุนต่างชาติย้ายฐานการผลิตไปจากไทยนั้น ถือเป็นเรื่องยากมาก เพราะเมื่อเข้ามาลงทุนทำธุรกิจมูลค่าหลายหมื่นล้านบาท เช่นธุรกิจรถยนต์ แต่ละบริษัทลงทุนหลายหมื่นถึงนับแสนล้าน และมีบริษัทผลิตชิ้นส่วนเกิดขึ้นจำนวนมาก การย้ายฐานการผลิตทำให้ยากมากและไม่คุ้มค่า แต่หากเป็นการลงทุนเพิ่มเติมนักลงทุนอาจคิดมาก หรือหันไปลงทุนขยายฐานการผลิตในประเทศอื่นแทน

นายพรเทพ กล่าวต่อว่า แม้ว่าสถานการณ์ช่วงที่ผ่านมาตลาดจะชะลอตัวตามภาวะเศรษฐกิจ แต่บริษัทก็ได้ลงทุนขยายธุรกิจอย่างต่อเนื่อง อาทิ การขยายโรงงาน การพัฒนาสนามกล์อฟ การปรับปรุงโรงแรม เป็นต้น ซี่งล่าสุดมีบริษัทผู้ผลิตรายใหญ่จากญี่ปุ่นได้เจรจาร่วมทุนกับบริษัท ซึ่งหากสามารถตกลงกันได้ จะถือเป็นการขยายธุรกิจใหม่ของกลุ่มสยามกลการ และจะกลายเป็นการลงทุนขนาดใหญ่ของธุรกิจดังกล่าวในไทย ส่วนรายละเอียดของประเภทธุรกิจที่จะลงทุน และผู้ร่วมทุนขณะนี้ยังไม่สามารถเปิดเผยได้ จะต้องให้การเจรจาคืบหน้ามากกว่านี้จึงจะสามารถเปิดเผยได้

***“เพาเวอร์บาย”ทุ่ม2.4พันล.ดันยอดขาย

นางสาวสอางทิพย์ อมรฉัตร ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ฝ่ายการตลาด บริษัท เพาเวอร์บาย จำกัด ผู้บริหารร้านเพาเวอร์บายในเครือเซ็นทรัลกรุ๊ป กล่าวให้ความเห็นเกี่ยวกับกรณีที่ กองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย หรือ กอ.รส. ได้ประกาศใช้กฎอัยการศึก เมื่อวันที่ 20 พฤษภาคมที่ผ่านมาว่า ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้าจะได้รับผลกระทบมากน้อยหรือไม่นั้น ยังไม่สามารถประเมินได้ว่าจะเป็นอย่างไร โดยเฉพาะในช่วงเดือนนี้และเดือนหน้า เพราะต้องดูในส่วนอื่นประกอบกันด้วยว่า เหตุการณ์จากนี้จะมีอะไรที่รุนแรงเกิดขึ้นหรือไม่ รวมทั้งการแต่งตั้งนายกรัฐมนตรีจะออกมารูปใด แต่โดยส่วนตัวแล้ว มองว่า เป็นเรื่องที่ดีเพราะอย่างน้อยก็ทำให้เหตุการณ์สงบลงได้บ้าง
ทั้งนี้ตลาดเครื่องใช้ไฟฟ้ารวมปีนี้คาดว่าทั้งปีน่าจะเติบโตประมาณ 5% ตามการประเมินของจีเอฟเค จากมูลค่าตลาดรวม 2 แสนล้านบาท ขณะที่ปีที่แล้วตลาดรวมเติบโตแค่หลักเดียวเช่นกัน เพราะผลกระทบจากปัญหาการเมืองและภาวะเศรษฐกิจถดถอยกำลังซื้อหดตัวลง โดย 4 เดือนแรกปีนี้ ตลาดรวมยังทรงตัวอยู่ แต่แยกเป็นเซ็กเมนต์จะแตกต่างกันเช่น กลุ่มทีวีดิจิตอลโตมากสุด 20% กลุ่มแอร์เติบโต 40% แค่เดือนเมษายนเดือนเดียว

อย่างไรก็ตาม การทำธุรกิจก็คงต้องดำเนินต่อไปในภาพรวม โดยปีนี้บริษัทฯยังลงทุนต่อเนื่อง ด้วยงบประมาณรวม 2,400 ล้านบาท แบ่งเป็นงบลงทุนเปิดสาขาใหม่ 10 แห่งและรีโนเวตสาขาเดิม 10 แห่ง เป็นเงิน 2,000 ล้านบาท และงบการตลาดอีก 400 ล้านบาท ปีนี้เพาเวอร์บายตั้งเป้าอัตราการเติบโตไว้ที่ 10% หรือมีรายได้รวมประมาณ 22,000 ล้านบาท ใกล้เคียงกับปีที่แล้วที่เติบโต 10%
กำลังโหลดความคิดเห็น