**ในที่สุด ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ก็ประกาศใช้กฎอัยการศึก เมื่อเวลา 03.00 น. วันที่ 20 พฤษภาคม เพื่อคลี่คลายสถานการณ์
หลังจากมีการพัฒนาไปสู่การเผชิญหน้า และการแก้ปัญหาในทางการเมืองกำลังเดินไปสู่ทางตัน หลังจากที่รัฐบาลที่มี นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ยืนกรานไม่ยอมลาออก หลังจากหารือกับตัวแทนของ รองประธานวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่ประธานวุฒิสภา สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นั่นทำให้บรรยากาศเกิดความตึงเครียดขึ้นมาทันที เพราะทางวุฒิสภา ก็ประกาศหลังจากนั้นว่า จะใช้กลไกของสภาที่เหลืออยู่ ดำเนินการในขั้นตอนต่อไปภายในสัปดาห์นี้
ความหมายที่เข้าใจกันในตอนนั้นก็คือ การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีอำนาจเต็ม เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่ปัญหาก็คือ รัฐบาลที่นำโดย นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ยังไม่หมดฤทธิ์ เนื่องจากยังมีกลไกหลายอย่างในมือ ไม่ว่าจะมีศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) มี ธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นเลขาธิการศูนย์ ยังแถลงจะจับ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เข้าคุก ในข้อหากบฏเสียอีก รวมทั้งคนเสื้อแดงก็ยังปักหลักชุมนุมที่ถนนอักษะ พร้อมทั้งข่มขู่ว่า จะยกระดับการชุมนุมขึ้นมาอีก ขณะที่อีกด้านมวลมหาประชาชนในนาม กปปส. นำโดย กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ประกาศวันเผด็จศึกภายในสัปดาห์นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินวันที่ 26 พฤษภาคม
**นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวที่แพร่สะพัดในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง ถึงการจับกุมอาวุธสงคราม ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดนครนายก โดยมีการระบุว่า เป็นรีสอร์ทของนักการเมืองดัง รวมไปถึงเกิดเหตุเพลิงใหม้ที่ตึกชินวัตร 3 เมื่อตอนบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร
ประกอบกับก่อนหน้านี้ มีการแถลงของกองทัพบก รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีการพูดถึงเรื่องการใช้อาวุธสงคราม อีกทั้งหากสังเกตให้ดี ทางรองโฆษกกองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี ได้ออกมาแถลงเร่งรัดให้ ศอ.รส. บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามอาวุธสงครามอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค
ทุกอย่างถือว่าขมวดปมเดินไปสู่ทางตันจริงๆ ที่สำคัญอาจนำไปสู่เหตุการณ์จลาจลได้ในอีกไม่นานข้างหน้า หากปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปแบบนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และยุบศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) แล้วตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บังคับบัญชาการเอง ทำให้หลายฝ่ายขานรับว่า นี่คือความหวังในการคลี่คลายสถานการณ์ความตึงเครียดที่เป็นอยู่ รวมทั้งสามารถผ่าทางตันทางการเมืองในเวลาเดียวกันด้วย
**ก็ต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิดว่า ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปในทางใด จะมีการตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่มีอำนาจเต็มหรือไม่ การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ หรือถ้ามีจะออกมาแบบไหน เพราะนาทีนี้ ถือว่ากระแสปฏิรูปจากสังคมได้เกิดขึ้นมาแล้ว และคงไม่มีทางมอดลงไปง่ายๆ
นอกจากนี้ น่าจับตาก็คือ ท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร ว่าจะออกมาแบบไหน เพราะหลังจากมีการประกาศกฎอัยการศึกออกมา เขาก็ส่งสัญญาณออกมาทันทีว่า ไม่เหนือความคาดหมาย และหวังว่าจะไม่ทำลายสิทธิ เสรีภาพของประชาชนนานเกินไป แม้ว่าข้อความดังกล่าวที่สื่อสารออกมา จะยังไม่ชัดว่าเขาจะถอยหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าจะหยุดนิ่งชั่วคราว แต่ในทางลับก็คงคาดเดาไม่ได้ว่า เขาจะสั่งถอยชั่วคราว หรือสั่งเดินหน้าลุย
แต่หากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ที่ผ่านมา เมื่อไม่ได้เปรียบเขาก็จะกบดาน เพื่อรอจังหวะกลับมาอีกครั้ง หรือเจรจาต่อรองเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวเองเท่าที่ทำได้
อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดและเงื่อนไขบางประการ ทำให้เราต้องเฝ้ารอดูสถานการณ์นับจากนี้ไปว่าเดินไปทางไหน จะคลี่คลายสถานการณ์ได้หรือไม่ เพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมืองได้หรือไม่
** ทุกอย่างอยู่ในมือของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียวเท่านั้น !!
หลังจากมีการพัฒนาไปสู่การเผชิญหน้า และการแก้ปัญหาในทางการเมืองกำลังเดินไปสู่ทางตัน หลังจากที่รัฐบาลที่มี นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล รองนายกรัฐมนตรี ปฏิบัติหน้าที่แทนนายกรัฐมนตรี ยืนกรานไม่ยอมลาออก หลังจากหารือกับตัวแทนของ รองประธานวุฒิสภา ปฏิบัติหน้าที่ประธานวุฒิสภา สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย นั่นทำให้บรรยากาศเกิดความตึงเครียดขึ้นมาทันที เพราะทางวุฒิสภา ก็ประกาศหลังจากนั้นว่า จะใช้กลไกของสภาที่เหลืออยู่ ดำเนินการในขั้นตอนต่อไปภายในสัปดาห์นี้
ความหมายที่เข้าใจกันในตอนนั้นก็คือ การเสนอชื่อนายกรัฐมนตรีคนใหม่ที่มีอำนาจเต็ม เพื่อให้บ้านเมืองเดินหน้าต่อไปได้ แต่ปัญหาก็คือ รัฐบาลที่นำโดย นิวัฒน์ธำรง บุญทรงไพศาล ยังไม่หมดฤทธิ์ เนื่องจากยังมีกลไกหลายอย่างในมือ ไม่ว่าจะมีศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) มี ธาริต เพ็งดิษฐ์ เป็นเลขาธิการศูนย์ ยังแถลงจะจับ สุรชัย เลี้ยงบุญเลิศชัย เข้าคุก ในข้อหากบฏเสียอีก รวมทั้งคนเสื้อแดงก็ยังปักหลักชุมนุมที่ถนนอักษะ พร้อมทั้งข่มขู่ว่า จะยกระดับการชุมนุมขึ้นมาอีก ขณะที่อีกด้านมวลมหาประชาชนในนาม กปปส. นำโดย กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ประกาศวันเผด็จศึกภายในสัปดาห์นี้ หรืออย่างช้าไม่เกินวันที่ 26 พฤษภาคม
**นอกจากนี้ ยังมีรายงานข่าวที่แพร่สะพัดในโลกออนไลน์อย่างกว้างขวาง ถึงการจับกุมอาวุธสงคราม ที่รีสอร์ทแห่งหนึ่งในจังหวัดนครนายก โดยมีการระบุว่า เป็นรีสอร์ทของนักการเมืองดัง รวมไปถึงเกิดเหตุเพลิงใหม้ที่ตึกชินวัตร 3 เมื่อตอนบ่ายวันที่ 19 พฤษภาคม ทำให้เกิดคำถามตามมาว่า เกิดขึ้นได้อย่างไร
ประกอบกับก่อนหน้านี้ มีการแถลงของกองทัพบก รวมทั้งการให้สัมภาษณ์ของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ที่มีการพูดถึงเรื่องการใช้อาวุธสงคราม อีกทั้งหากสังเกตให้ดี ทางรองโฆษกกองทัพบก พ.อ.วินธัย สุวารี ได้ออกมาแถลงเร่งรัดให้ ศอ.รส. บังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับการป้องกันและปราบปรามอาวุธสงครามอย่างเข้มงวด โดยเฉพาะการบังคับใช้กฎหมายอย่างเสมอภาค
ทุกอย่างถือว่าขมวดปมเดินไปสู่ทางตันจริงๆ ที่สำคัญอาจนำไปสู่เหตุการณ์จลาจลได้ในอีกไม่นานข้างหน้า หากปล่อยให้ทุกอย่างเดินไปแบบนี้
อย่างไรก็ดี เมื่อผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ตัดสินใจประกาศใช้กฎอัยการศึกทั่วราชอาณาจักร และยุบศูนย์อำนวยการรักษาความสงบ (ศอ.รส.) แล้วตั้งกองอำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (กอ.รส.) โดยมี พล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้บังคับบัญชาการเอง ทำให้หลายฝ่ายขานรับว่า นี่คือความหวังในการคลี่คลายสถานการณ์ความตึงเครียดที่เป็นอยู่ รวมทั้งสามารถผ่าทางตันทางการเมืองในเวลาเดียวกันด้วย
**ก็ต้องจับตามองกันอย่างใกล้ชิดว่า ในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้าว่าสถานการณ์จะพัฒนาไปในทางใด จะมีการตั้งนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ที่มีอำนาจเต็มหรือไม่ การปฏิรูปจะเกิดขึ้นได้จริงหรือไม่ หรือถ้ามีจะออกมาแบบไหน เพราะนาทีนี้ ถือว่ากระแสปฏิรูปจากสังคมได้เกิดขึ้นมาแล้ว และคงไม่มีทางมอดลงไปง่ายๆ
นอกจากนี้ น่าจับตาก็คือ ท่าทีของ ทักษิณ ชินวัตร ว่าจะออกมาแบบไหน เพราะหลังจากมีการประกาศกฎอัยการศึกออกมา เขาก็ส่งสัญญาณออกมาทันทีว่า ไม่เหนือความคาดหมาย และหวังว่าจะไม่ทำลายสิทธิ เสรีภาพของประชาชนนานเกินไป แม้ว่าข้อความดังกล่าวที่สื่อสารออกมา จะยังไม่ชัดว่าเขาจะถอยหรือไม่ แต่ดูเหมือนว่าจะหยุดนิ่งชั่วคราว แต่ในทางลับก็คงคาดเดาไม่ได้ว่า เขาจะสั่งถอยชั่วคราว หรือสั่งเดินหน้าลุย
แต่หากพิจารณาจากแบ็กกราวด์ที่ผ่านมา เมื่อไม่ได้เปรียบเขาก็จะกบดาน เพื่อรอจังหวะกลับมาอีกครั้ง หรือเจรจาต่อรองเพื่อรักษาประโยชน์ของตัวเองเท่าที่ทำได้
อย่างไรก็ดี ด้วยข้อจำกัดและเงื่อนไขบางประการ ทำให้เราต้องเฝ้ารอดูสถานการณ์นับจากนี้ไปว่าเดินไปทางไหน จะคลี่คลายสถานการณ์ได้หรือไม่ เพื่อหาทางออกให้กับบ้านเมืองได้หรือไม่
** ทุกอย่างอยู่ในมือของ ผู้บัญชาการทหารบก พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เพียงคนเดียวเท่านั้น !!