ทำไม ใครๆ ต่างก็รอวันศุกร์ทางเอเอสทีวี ทีวีของประชาชน?
เพราะที่นี่มีรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ที่กล้าพูดความจริง ความถูกต้อง ตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะใหญ่คับฟ้า บ้าสุดขั้ว ชั่วสุดขีด
นาม “สนธิ ลิ้มทองกุล” คือ “กูรูการเมืองแห่งยุคสมัย ที่เอาธรรมนำหน้า” ฟันธงทางออกประเทศไทยว่า...ต้องยึดอำนาจ จะโดยรัฐประหารหรือปฏิวัติก็แล้วแต่ เมื่อได้อำนาจแล้ว ก็จัดการกับระบอบทักษิณให้สิ้นซาก จากนั้นจึงปฏิรูปด้านต่างๆ ให้สะเด็ดเสร็จสิ้นเสียก่อน จึงค่อยไปเลือกตั้ง (อยากได้ผู้แทนดีต้องใจเย็นๆ ช้าๆ หน่อย ล้างน้ำเน่าให้หมดก่อนใส่น้ำดี)
ซึ่งสวนทางกับระบอบทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ต้องการเลือกตั้งก่อน ปฏิรูปทีหลัง (เดี๋ยวรัฐบาลจัดให้) แม้ ผบ.ทบ.ก็บอกให้ไปเลือกตั้ง ปี่กลองเลือกตั้งจึงกระหึ่มโหมโรงหรือออกแขก ประหนึ่งโชว์ความเหนือชั้นที่เจ๋งกว่า
ขณะที่มวลมหาประชาชน โดยกำนันสุเทพ ก็เดินหน้าปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อำนาจ) นัดชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้าย ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ (ทำให้เกิดความสงสัยในหมู่มวลว่า หาทางลงหรือเปล่า?)
คุณสนธิ เสริมใยเหล็กหนักแน่นว่า การปฏิรูปจะต้องทำโดยประชาชนเท่านั้น ไม่มีนักการเมืองโดยเด็ดขาด เพราะนักการเมืองคือต้นเหตุของปัญหา จะให้ต้นเหตุปัญหามาแก้ปัญหามันอะไรกัน จะให้รัฐบาลขี้โกงมาแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน จะเอายังงั้นรึ? เห็นประชาชนเป็นอะไร?
จะอย่างไรก็ตาม คุณสนธิ ก็ยังเอาใจช่วยกำนันให้สู้ต่อไป อย่าท้อ อย่าหยุด (แม้จะพลาดมาหลายครั้ง) ทักษิณเป็นคนโชคดี ไม่มีใครสู้กับเขาจริง แต่ก็แพ้เวลา ยิ่งนานวัน ทักษิณยิ่งเห็นหายนะภัย หรือผลกรรมชั่วมาถึงตน ที่ตนทำขึ้นเอง รวมทั้งเหล่าสาวกและผู้รับประโยชน์จากทักษิณ ก็หนีไม่พ้นกฎแห่งกรรมนั้น
ส่วนอภิสิทธิ์ผู้โลเล ชอบทำเท่เป็นนิจ ออกมาเสนอความคิดหาทางออกให้ประเทศก็ปล่อยไป สุดท้ายก็แค่มุกแป้กเท่านั้นเอง
เหตุการณ์บ้านเมืองแห่งพฤษภาคมนี้ ช่างแหลมคมและระทึกใจจริงๆ สิ่งที่เห็นตรงๆ นั้น คงไม่ใช่หรอก มันต้องมี “ลับ-ลวง-พราง” บ้าง ถ้าไม่มีก็แปลก แปลกตรงที่ทำในสิ่งเก่าๆ ซ้ำซากจำเจอยู่ได้ไง?
เราก็แค่ผู้ดูอยู่วงนอกขอบสนาม ส่วนวงในเขาคงมียุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่เหนือชั้น ลึกลับซับซ้อนอย่างไร เราวงนอกมิอาจรู้ได้ ก็ได้แต่ดูกันไป เชียร์กันไป เข้าร่วมกันไป พินิจพิจารณากันไป แสดงความคิดเห็นกันไป (ตามสังคมประชาธิปไตย มาตรา 45 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น)
ทำให้ระลึกนึกถึงบทกวีหรือ “คำกลอนสอนธรรม” ของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ปรมาจารย์ทางธรรมเรื่อง “ตาบอดตาดี” ดังนี้…
หมู่นกจ้อง มองเท่าไหร่ ไม่เห็นฟ้า
ถึงฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมอง ไม่เห็นดิน ที่กินไป
หนอนก็ไม่ มองเห็นคูต ที่ดูดกิน
คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก
ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจศีล
ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล
เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอยฯ
เราอยู่กับโลก มองเห็นโลก มองเห็นทุกสิ่งตามที่เป็นจริง อย่างนี้คือ “ตาดี” ในทางตรงข้ามอยู่กับโลก ไม่เห็นโลก เห็นทุกสิ่งตามความเท็จ ความลวง ตามโฆษณาชวนเชื่อ ถูกจูงจมูกง่ายๆ อย่างนี้ คือ “ตาบอด”
ตาบอดตาดี จึงเป็นดัชนีชี้วัดตัวเรา หรือคนอื่นเขา ว่ามีความเป็นคนระดับไหน การแก้ปัญหาจึงจะถูกตรง(เหตุ) และถูกต้อง ไม่เลเพลาดพาด จนชาติวิกฤตสูงสุด
ความมีความไม่ ถ้าถามว่า “อยากมีไหม?” คนส่วนมากจะตอบว่า “อยาก” ลองถามอีกที “อยากไม่มีไหม?” คำตอบที่ได้คือ “ไม่อยาก” นี่เป็นเรื่องพื้นๆ ของสังคมทั่วๆ ไป แม้การชุมนุมระหว่างฝ่ายแดงกับฝ่ายน้ำเงิน ยังงัดการมีมากมีน้อยของมวลชนมาเกทับกัน
การมองอะไรในน้อยมิติ จิตใจมักแคบ หากมองหลายมิติ จิตใจมักกว้าง
อยู่กับโลก ก็ต้องเห็นโลก อยู่กับธรรม ก็ต้องเห็นธรรม
ปฏิจจสมุปบาท คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น หรือการที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกัน จึงเกิดมี ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาท เป็นกระบวนการเกิดขึ้น และดับไปแห่งความทุกข์
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (เกิดทุกข์)
เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ (ดับทุกข์)
การอยากมีในมิตินี้ จึงไม่ได้ (เกิดทุกข์) การอยากไม่มีในมิตินี้ จึงดี (ดับทุกข์)
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง จึงมีทั้งคุณและโทษ มีทั้งดีและไม่ดีเช่นนี้แล
สิ่งเล็กสิ่งใหญ่ หรือสิ่งสั้นสิ่งยาว ถ้ามองไม่เห็นความจริง มันก็เกิดปัญหา ถ้าเห็นความจริง มันก็สงบ ไม่มีปัญหาอะไร
เรื่องสามัญธรรมดา แต่ลึกซึ้งเช่นนี้ ต้องฟังหลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) แห่งวัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ดีกว่า…
“ดูไม้ท่อนนี้ซิ...สั้นหรือยาว? สมมติว่า...คุณอยากได้ไม้ที่ยาวกว่านี้...ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น แต่ถ้าคุณอยากได้ไม้สั้นกว่านี้...ไม้ท่อนนี้มันก็ยาว หมายความว่า “ตัณหา” ของคุณต่างหากที่ทำให้มีสั้น มียาว มีดี มีชั่ว มีทุกข์ มีสุข ขึ้นมา”
เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เรื่องสั้น เรื่องยาว หากมองแบบตาบอด มันก็เป็นปัญหา ถ้ามองแบบตาดี มันก็ไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลทนทุกข์
จิตใจต้นเหตุ อะไรๆ ก็ลงที่ใจ ทำไงได้ ก็มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
พุทธวจนะในธรรมบท (แปลโดย อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก) บอกว่า…
“ใจเป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจชั่วเสียแล้ว การพูดการกระทำก็พลอยชั่วไปด้วย เพราะการพูดชั่วทำชั่วนั้น ทุกข์ย่อมตามสนองเขา เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโค
ใจเป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจบริสุทธิ์ การพูดการกระทำ ก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย เพราะการพูดการกระทำอันบริสุทธิ์นั้น ความสุขย่อมตามสนองเขาเหมือนเงาติดตามตน”
“คนเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ตาบอดตาดีต่างกัน ก็อยู่ตรงนี้แหละ พี่น้องเอ้ย...”
อย่ากังวลนักเลยกับคำว่า “แพ้” หรือ “ชนะ” ผู้ทำความดี ย่อมเป็นผู้ไม่ปราชัย (แพ้) ในที่ทุกสถาน จะมีแต่ความสวัสดีในที่ทั้งปวง
ขอให้เรา “คิด พูด ทำ” ด้วย “ใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง” ก็พอแล้ว เงาแห่งความสุขของเรา ไม่มีใครที่ไหน หรือรัฐบาลขี้โกงประเทศใด จะมาฉกฉวยเอาไปได้
“ตาบอดตาดี
ความมีความไม่
สิ่งเล็กสิ่งใหญ่
จิตใจต้นเหตุ”
เมื่อรู้คุณค่าแห่งใจอันไพศาลเช่นนี้ ก็ควรเห็นใจบ้าง ให้ใจได้พักผ่อนบ้าง จะได้มีพลังดูแลรักษาเราต่อไปนานๆ
คนเราอาจเปิดปิดคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ แต่คนเราปิดความคิด (จิตใจ) ลงไม่ได้ เพราะมันไม่มีสวิตช์สำหรับปิด
ดังนั้น นับจากเกิดไปจนตาย ความคิดจึงดำเนินไปเรื่อยๆ (แม้ยามหลับบางครั้งก็ยังฝัน)
ถึงกระนั้น ก็เป็นไปได้ที่จะติดสวิตช์ไว้ที่ใจ แล้วปิดเมื่อต้องการ เราเรียกสิ่งนั้นว่า “การทำสมาธิ” ซึ่งจะให้ประโยชน์ 2 สถาน
ทำให้เราสงบนิ่ง อย่างที่เราไม่เคยได้รับรู้มาก่อน และจะทำให้เราคุ้นเคยกับตัวเอง ติดต่อสัมพันธ์กับตัวเองไว้ได้เสมอ
ทำให้จิตใจเราได้พักผ่อน การพักใจจะเพิ่มศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลักแหลมมากขึ้น (ฉลาดเพิ่ม-โง่ลด)
ขอยืนกรานว่า การทำสมาธิ คือศาสนาเดียวที่จำเป็นต้องมี สิ่งอื่นไม่จำเป็น เรื่องอื่นทุกอย่างเป็นพิธีกรรมที่ไม่จำเป็น
โอ...พสุธานภากาศ สติปัญญาเป็นแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด
เพราะที่นี่มีรายการ “คุยทุกเรื่องกับสนธิ” ที่กล้าพูดความจริง ความถูกต้อง ตรงไปตรงมา ไม่เกรงใจใครทั้งนั้น ไม่ว่าจะใหญ่คับฟ้า บ้าสุดขั้ว ชั่วสุดขีด
นาม “สนธิ ลิ้มทองกุล” คือ “กูรูการเมืองแห่งยุคสมัย ที่เอาธรรมนำหน้า” ฟันธงทางออกประเทศไทยว่า...ต้องยึดอำนาจ จะโดยรัฐประหารหรือปฏิวัติก็แล้วแต่ เมื่อได้อำนาจแล้ว ก็จัดการกับระบอบทักษิณให้สิ้นซาก จากนั้นจึงปฏิรูปด้านต่างๆ ให้สะเด็ดเสร็จสิ้นเสียก่อน จึงค่อยไปเลือกตั้ง (อยากได้ผู้แทนดีต้องใจเย็นๆ ช้าๆ หน่อย ล้างน้ำเน่าให้หมดก่อนใส่น้ำดี)
ซึ่งสวนทางกับระบอบทักษิณ และรัฐบาลยิ่งลักษณ์ที่ต้องการเลือกตั้งก่อน ปฏิรูปทีหลัง (เดี๋ยวรัฐบาลจัดให้) แม้ ผบ.ทบ.ก็บอกให้ไปเลือกตั้ง ปี่กลองเลือกตั้งจึงกระหึ่มโหมโรงหรือออกแขก ประหนึ่งโชว์ความเหนือชั้นที่เจ๋งกว่า
ขณะที่มวลมหาประชาชน โดยกำนันสุเทพ ก็เดินหน้าปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง (ทั้งๆ ที่ยังไม่ได้อำนาจ) นัดชุมนุมใหญ่ครั้งสุดท้าย ไม่ว่าจะชนะหรือแพ้ ก็ขอจบเพียงเท่านี้ (ทำให้เกิดความสงสัยในหมู่มวลว่า หาทางลงหรือเปล่า?)
คุณสนธิ เสริมใยเหล็กหนักแน่นว่า การปฏิรูปจะต้องทำโดยประชาชนเท่านั้น ไม่มีนักการเมืองโดยเด็ดขาด เพราะนักการเมืองคือต้นเหตุของปัญหา จะให้ต้นเหตุปัญหามาแก้ปัญหามันอะไรกัน จะให้รัฐบาลขี้โกงมาแก้ปัญหาทุจริตคอร์รัปชัน จะเอายังงั้นรึ? เห็นประชาชนเป็นอะไร?
จะอย่างไรก็ตาม คุณสนธิ ก็ยังเอาใจช่วยกำนันให้สู้ต่อไป อย่าท้อ อย่าหยุด (แม้จะพลาดมาหลายครั้ง) ทักษิณเป็นคนโชคดี ไม่มีใครสู้กับเขาจริง แต่ก็แพ้เวลา ยิ่งนานวัน ทักษิณยิ่งเห็นหายนะภัย หรือผลกรรมชั่วมาถึงตน ที่ตนทำขึ้นเอง รวมทั้งเหล่าสาวกและผู้รับประโยชน์จากทักษิณ ก็หนีไม่พ้นกฎแห่งกรรมนั้น
ส่วนอภิสิทธิ์ผู้โลเล ชอบทำเท่เป็นนิจ ออกมาเสนอความคิดหาทางออกให้ประเทศก็ปล่อยไป สุดท้ายก็แค่มุกแป้กเท่านั้นเอง
เหตุการณ์บ้านเมืองแห่งพฤษภาคมนี้ ช่างแหลมคมและระทึกใจจริงๆ สิ่งที่เห็นตรงๆ นั้น คงไม่ใช่หรอก มันต้องมี “ลับ-ลวง-พราง” บ้าง ถ้าไม่มีก็แปลก แปลกตรงที่ทำในสิ่งเก่าๆ ซ้ำซากจำเจอยู่ได้ไง?
เราก็แค่ผู้ดูอยู่วงนอกขอบสนาม ส่วนวงในเขาคงมียุทธศาสตร์ยุทธวิธีที่เหนือชั้น ลึกลับซับซ้อนอย่างไร เราวงนอกมิอาจรู้ได้ ก็ได้แต่ดูกันไป เชียร์กันไป เข้าร่วมกันไป พินิจพิจารณากันไป แสดงความคิดเห็นกันไป (ตามสังคมประชาธิปไตย มาตรา 45 บุคคลย่อมมีเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็น การพูด การเขียน การพิมพ์ การโฆษณา และการสื่อความหมายโดยวิธีอื่น)
ทำให้ระลึกนึกถึงบทกวีหรือ “คำกลอนสอนธรรม” ของท่านอาจารย์พุทธทาสภิกขุ ปรมาจารย์ทางธรรมเรื่อง “ตาบอดตาดี” ดังนี้…
หมู่นกจ้อง มองเท่าไหร่ ไม่เห็นฟ้า
ถึงฝูงปลา ก็ไม่เห็น น้ำเย็นใส
ไส้เดือนมอง ไม่เห็นดิน ที่กินไป
หนอนก็ไม่ มองเห็นคูต ที่ดูดกิน
คนทั่วไป ก็ไม่ มองเห็นโลก
ต้องทุกข์โศก หงุดหงิด อยู่นิจศีล
ส่วนชาวพุทธ ประยุกต์ธรรม ตามระบิล
เห็นหมดสิ้น ทุกสิ่ง ตามจริงเอยฯ
เราอยู่กับโลก มองเห็นโลก มองเห็นทุกสิ่งตามที่เป็นจริง อย่างนี้คือ “ตาดี” ในทางตรงข้ามอยู่กับโลก ไม่เห็นโลก เห็นทุกสิ่งตามความเท็จ ความลวง ตามโฆษณาชวนเชื่อ ถูกจูงจมูกง่ายๆ อย่างนี้ คือ “ตาบอด”
ตาบอดตาดี จึงเป็นดัชนีชี้วัดตัวเรา หรือคนอื่นเขา ว่ามีความเป็นคนระดับไหน การแก้ปัญหาจึงจะถูกตรง(เหตุ) และถูกต้อง ไม่เลเพลาดพาด จนชาติวิกฤตสูงสุด
ความมีความไม่ ถ้าถามว่า “อยากมีไหม?” คนส่วนมากจะตอบว่า “อยาก” ลองถามอีกที “อยากไม่มีไหม?” คำตอบที่ได้คือ “ไม่อยาก” นี่เป็นเรื่องพื้นๆ ของสังคมทั่วๆ ไป แม้การชุมนุมระหว่างฝ่ายแดงกับฝ่ายน้ำเงิน ยังงัดการมีมากมีน้อยของมวลชนมาเกทับกัน
การมองอะไรในน้อยมิติ จิตใจมักแคบ หากมองหลายมิติ จิตใจมักกว้าง
อยู่กับโลก ก็ต้องเห็นโลก อยู่กับธรรม ก็ต้องเห็นธรรม
ปฏิจจสมุปบาท คือธรรมอันเป็นธรรมชาติ อาศัยกันแล้วเกิดขึ้น หรือการที่สิ่งทั้งหลายอาศัยกัน จึงเกิดมี ผู้ใดเห็นปฏิจจสมุปบาท ผู้นั้นเห็นธรรม ผู้ใดเห็นธรรม ผู้นั้นเห็นปฏิจจสมุปบาท
ปฏิจจสมุปบาท เป็นกระบวนการเกิดขึ้น และดับไปแห่งความทุกข์
เพราะอวิชชาเป็นปัจจัย สังขารจึงมี (เกิดทุกข์)
เพราะอวิชชาสำรอกดับไปไม่เหลือ สังขารจึงดับ (ดับทุกข์)
การอยากมีในมิตินี้ จึงไม่ได้ (เกิดทุกข์) การอยากไม่มีในมิตินี้ จึงดี (ดับทุกข์)
เพราะสิ่งนี้มี สิ่งนี้จึงมี
เพราะสิ่งนี้ไม่มี สิ่งนี้จึงไม่มี
สิ่งทั้งหลายทั้งปวง จึงมีทั้งคุณและโทษ มีทั้งดีและไม่ดีเช่นนี้แล
สิ่งเล็กสิ่งใหญ่ หรือสิ่งสั้นสิ่งยาว ถ้ามองไม่เห็นความจริง มันก็เกิดปัญหา ถ้าเห็นความจริง มันก็สงบ ไม่มีปัญหาอะไร
เรื่องสามัญธรรมดา แต่ลึกซึ้งเช่นนี้ ต้องฟังหลวงพ่อชา สุภัทโท (พระโพธิญาณเถร) แห่งวัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ดีกว่า…
“ดูไม้ท่อนนี้ซิ...สั้นหรือยาว? สมมติว่า...คุณอยากได้ไม้ที่ยาวกว่านี้...ไม้ท่อนนี้มันก็สั้น แต่ถ้าคุณอยากได้ไม้สั้นกว่านี้...ไม้ท่อนนี้มันก็ยาว หมายความว่า “ตัณหา” ของคุณต่างหากที่ทำให้มีสั้น มียาว มีดี มีชั่ว มีทุกข์ มีสุข ขึ้นมา”
เรื่องเล็ก เรื่องใหญ่ เรื่องสั้น เรื่องยาว หากมองแบบตาบอด มันก็เป็นปัญหา ถ้ามองแบบตาดี มันก็ไม่มีปัญหาอะไรให้กังวลทนทุกข์
จิตใจต้นเหตุ อะไรๆ ก็ลงที่ใจ ทำไงได้ ก็มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
พุทธวจนะในธรรมบท (แปลโดย อ.เสฐียรพงษ์ วรรณปก) บอกว่า…
“ใจเป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจชั่วเสียแล้ว การพูดการกระทำก็พลอยชั่วไปด้วย เพราะการพูดชั่วทำชั่วนั้น ทุกข์ย่อมตามสนองเขา เหมือนล้อหมุนตามรอยเท้าโค
ใจเป็นผู้นำทุกสิ่งทุกอย่าง ใจเป็นใหญ่ ทุกอย่างสำเร็จได้ด้วยใจ ถ้าคนเรามีใจบริสุทธิ์ การพูดการกระทำ ก็พลอยบริสุทธิ์ไปด้วย เพราะการพูดการกระทำอันบริสุทธิ์นั้น ความสุขย่อมตามสนองเขาเหมือนเงาติดตามตน”
“คนเหมือนกัน แต่ไม่เหมือนกัน ตาบอดตาดีต่างกัน ก็อยู่ตรงนี้แหละ พี่น้องเอ้ย...”
อย่ากังวลนักเลยกับคำว่า “แพ้” หรือ “ชนะ” ผู้ทำความดี ย่อมเป็นผู้ไม่ปราชัย (แพ้) ในที่ทุกสถาน จะมีแต่ความสวัสดีในที่ทั้งปวง
ขอให้เรา “คิด พูด ทำ” ด้วย “ใจบริสุทธิ์ผุดผ่อง” ก็พอแล้ว เงาแห่งความสุขของเรา ไม่มีใครที่ไหน หรือรัฐบาลขี้โกงประเทศใด จะมาฉกฉวยเอาไปได้
“ตาบอดตาดี
ความมีความไม่
สิ่งเล็กสิ่งใหญ่
จิตใจต้นเหตุ”
เมื่อรู้คุณค่าแห่งใจอันไพศาลเช่นนี้ ก็ควรเห็นใจบ้าง ให้ใจได้พักผ่อนบ้าง จะได้มีพลังดูแลรักษาเราต่อไปนานๆ
คนเราอาจเปิดปิดคอมพิวเตอร์เครื่องใดก็ได้ แต่คนเราปิดความคิด (จิตใจ) ลงไม่ได้ เพราะมันไม่มีสวิตช์สำหรับปิด
ดังนั้น นับจากเกิดไปจนตาย ความคิดจึงดำเนินไปเรื่อยๆ (แม้ยามหลับบางครั้งก็ยังฝัน)
ถึงกระนั้น ก็เป็นไปได้ที่จะติดสวิตช์ไว้ที่ใจ แล้วปิดเมื่อต้องการ เราเรียกสิ่งนั้นว่า “การทำสมาธิ” ซึ่งจะให้ประโยชน์ 2 สถาน
ทำให้เราสงบนิ่ง อย่างที่เราไม่เคยได้รับรู้มาก่อน และจะทำให้เราคุ้นเคยกับตัวเอง ติดต่อสัมพันธ์กับตัวเองไว้ได้เสมอ
ทำให้จิตใจเราได้พักผ่อน การพักใจจะเพิ่มศักยภาพในการทำสิ่งต่างๆ ได้อย่างดี มีประสิทธิภาพมากขึ้น หลักแหลมมากขึ้น (ฉลาดเพิ่ม-โง่ลด)
ขอยืนกรานว่า การทำสมาธิ คือศาสนาเดียวที่จำเป็นต้องมี สิ่งอื่นไม่จำเป็น เรื่องอื่นทุกอย่างเป็นพิธีกรรมที่ไม่จำเป็น
โอ...พสุธานภากาศ สติปัญญาเป็นแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด