ASTVผู้จัดการรายวัน – “บางกอก ออโต ซาลอน” ประกาศลุยงานฝ่าวิกฤตเศรษฐกิจและการเมืองวุ่น พร้อมทุ่มงบจัดและประชาสัมพันธ์เพิ่มเป็น 350 ล้านบาท หวังปลุกกระแสรถแต่งและอุปกรณ์โมดิฟายด์ ค่ายรถยนต์ตบเท้าร่วมงานเพียบ คาดผู้ชมทะลุล้าน เงินสะพัดกว่า 1,500 ล้านบาท
นายวิลักษณ์ โหลทอง ประธานการจัดงาน “บางกอก อินเตอร์เนชันแนล ออโต ซาลอน 2014” หรืองานแสดงรถแต่งและอุปกรณ์โมดิฟายยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองขณะนี้มีผลกับการจัดงานอีเวนต์ต่างๆพอสมควร แต่สำหรับงานออโต ซาลอน ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 19-29 มิถุนายนนี้ ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี ยังเดินหน้าจัดต่อเนื่องเป็นปีที่3 แม้จะมีลูกค้าที่ชะลอการตัดสินใจในการเข้าร่วมงานอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมถือว่าได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ และผู้จำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่ง รวมกว่า 300 ราย
“ปีนี้เราได้ค่ายรถยนต์เข้ามาร่วมงานเพิ่มคือ มิตซูบิชิ เมื่อรวมกับรายอื่นๆอย่าง โตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า นิสสัน ซูซูกิ อีซูซุ ซูบารุ บีเอ็มดับเบิลยู เมอร์เซเดส-เบนซ์ เฟอร์รารี่ ลัมโบกินี่ โลตัส รวมถึงค่ายรถจักรยานยนต์ ดูคาติ และยามาฮ่า พร้อมสำนักแต่งชื่อดัง ทั้งยังนำเข้ารถแต่งจากญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลจากโตเกียว ออโต ซาลอน มาโชว์อีกกว่า 40 คัน ซึ่งจะช่วยสร้างสีสัน และเพิ่มความคึกคักให้กับงานได้เป็นอย่างดี”
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เพิ่มงบจัดงานจาก 300 ล้านบาทในปีที่แล้วเป็น 350 ล้านบาทในปีนี้ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นงบประชาสัมพันธ์ถึง 200 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำการโรดโชว์ไปตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ หวังสร้างการรับรู้และดึงคนจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วมงานมากขึ้น เช่นเดียวกับการดึงผู้ประกอบการชั้นนำจากต่างประเทศทั้ง ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน มาเลเซีย มาจัดแสดงสินค้าและอุปกรณ์ตกแต่งกว่า 1,000 ชิ้น
นายวิลักษณ์ กล่าวว่า งานปีนี้ใช้พื้นที่ 40,000 ตรม. ของชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2-3 เมืองทองธานี โดยคงจุดเด่นที่มีโซนโตเกียว ออโต ซาลอน นำเข้านวัตกรรมเทคโนโลยีการโมดิฟายและรถแต่งล่าสุดส่งตรงจากญี่ปุ่น รวมถึงการเพิ่มโซนอาหารญี่ปุ่นเข้ามา พร้อมขยายรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ทั้งก่อนงานและภายในงานให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว้างยิ่งขึ้น
“จากสภาพเศรษฐกิจทรงตัว และสถานการณ์การเมืองอึมครึม แต่ด้วยการบริหารจัดการที่พยายามทำให้มีผลกระทบน้อยที่สุด รวมถึงแผนดึงผู้ประกอบการจากต่างจังหวัด และต่างประเทศเข้ามาร่วมมากขึ้น จะช่วยส่งเสริมให้งานประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดยคาดว่าตลอดการจัดงานจะมีเข้าชมกว่า 1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว และมียอดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท”
นายวิลักษณ์ โหลทอง ประธานการจัดงาน “บางกอก อินเตอร์เนชันแนล ออโต ซาลอน 2014” หรืองานแสดงรถแต่งและอุปกรณ์โมดิฟายยิ่งใหญ่ที่สุดในอาเซียน เปิดเผยว่า ปัญหาเศรษฐกิจและการเมืองขณะนี้มีผลกับการจัดงานอีเวนต์ต่างๆพอสมควร แต่สำหรับงานออโต ซาลอน ที่จะมีขึ้นระหว่างวันที่ 19-29 มิถุนายนนี้ ที่ชาเลนเจอร์ ฮอลล์ 2-3 อิมแพค เมืองทองธานี ยังเดินหน้าจัดต่อเนื่องเป็นปีที่3 แม้จะมีลูกค้าที่ชะลอการตัดสินใจในการเข้าร่วมงานอยู่บ้าง แต่ในภาพรวมถือว่าได้การตอบรับเป็นอย่างดีจากบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ในประเทศ และผู้จำหน่ายอุปกรณ์ตกแต่ง รวมกว่า 300 ราย
“ปีนี้เราได้ค่ายรถยนต์เข้ามาร่วมงานเพิ่มคือ มิตซูบิชิ เมื่อรวมกับรายอื่นๆอย่าง โตโยต้า ฮอนด้า มาสด้า นิสสัน ซูซูกิ อีซูซุ ซูบารุ บีเอ็มดับเบิลยู เมอร์เซเดส-เบนซ์ เฟอร์รารี่ ลัมโบกินี่ โลตัส รวมถึงค่ายรถจักรยานยนต์ ดูคาติ และยามาฮ่า พร้อมสำนักแต่งชื่อดัง ทั้งยังนำเข้ารถแต่งจากญี่ปุ่นที่ได้รับรางวัลจากโตเกียว ออโต ซาลอน มาโชว์อีกกว่า 40 คัน ซึ่งจะช่วยสร้างสีสัน และเพิ่มความคึกคักให้กับงานได้เป็นอย่างดี”
ขณะเดียวกันบริษัทยังได้เพิ่มงบจัดงานจาก 300 ล้านบาทในปีที่แล้วเป็น 350 ล้านบาทในปีนี้ ในจำนวนนี้แบ่งเป็นงบประชาสัมพันธ์ถึง 200 ล้านบาท ซึ่งที่ผ่านมาได้ทำการโรดโชว์ไปตามหัวเมืองใหญ่ทั่วประเทศ หวังสร้างการรับรู้และดึงคนจากต่างจังหวัดเข้ามาร่วมงานมากขึ้น เช่นเดียวกับการดึงผู้ประกอบการชั้นนำจากต่างประเทศทั้ง ญี่ปุ่น จีน ไต้หวัน มาเลเซีย มาจัดแสดงสินค้าและอุปกรณ์ตกแต่งกว่า 1,000 ชิ้น
นายวิลักษณ์ กล่าวว่า งานปีนี้ใช้พื้นที่ 40,000 ตรม. ของชาเลนเจอร์ฮอลล์ 2-3 เมืองทองธานี โดยคงจุดเด่นที่มีโซนโตเกียว ออโต ซาลอน นำเข้านวัตกรรมเทคโนโลยีการโมดิฟายและรถแต่งล่าสุดส่งตรงจากญี่ปุ่น รวมถึงการเพิ่มโซนอาหารญี่ปุ่นเข้ามา พร้อมขยายรูปแบบกิจกรรมต่างๆ ทั้งก่อนงานและภายในงานให้ครอบคลุมกลุ่มเป้าหมายกว้างยิ่งขึ้น
“จากสภาพเศรษฐกิจทรงตัว และสถานการณ์การเมืองอึมครึม แต่ด้วยการบริหารจัดการที่พยายามทำให้มีผลกระทบน้อยที่สุด รวมถึงแผนดึงผู้ประกอบการจากต่างจังหวัด และต่างประเทศเข้ามาร่วมมากขึ้น จะช่วยส่งเสริมให้งานประสบผลสำเร็จตามเป้าหมาย โดยคาดว่าตลอดการจัดงานจะมีเข้าชมกว่า 1 ล้านคน เพิ่มขึ้นจากปีที่แล้ว และมียอดเงินสะพัดไม่ต่ำกว่า 1,500 ล้านบาท”