ASTV ผู้จัดการรายวัน - “ตัน” มั“อิชิตัน”มั่นใจเข้าเทรดวันแรก 21 เม.ย. ยืนเหนือราคาจอง 13 บาท ลั่นถือหุ้นใหญ่ระยะยาว พร้อมเปิดเกมรุกธุรกิจต่างประเทศเพิ่มเติม เพื่อเตรียมพร้อมการเปิด “เออีซี” ในปี 58 และสร้างความมั่นใจให้นักลงทุนในอนาคต
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI เปิดเผยว่า การซื้อขายหุ้น ICHI วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 21 เม.ย.นี้ โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับดีจากนักลงทุน ทำให้สามารถยืนเหนือราคาจองที่ 13 บาทต่อหุ้นได้ เพราะธุรกิจชัดเจนมีความใกล้ชิดผู้บริโภค ประกอบกับการเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มชาเขียวที่มีทิศทางการเติบโตโดดเด่น ภายในเวลาเพียง 2 ปี สามารถก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดชาพร้อมดื่มอันดับ 1 โดยในปี 2556 มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 42%
โดยที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2556 มี อัตรากำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 14% และคาดว่าในปีนี้อัตรากำไรเบื้องต้นจะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามสัดส่วนการปรับลดการว่าจ้างผลิต (OEM) ที่เดิมมีสัดส่วน 25% และกำลังจะลดลง เนื่องจากโรงงานเฟส 2 จะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายไตรมาส 2/2557 และจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตแบบขวดเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านขวดต่อปี และ 200 ล้านกล่องต่อปี (จากเดิม 600 ล้านขวดต่อปี และ 200 ล้านกล่องต่อปี)
นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนเดินหน้าขยายธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนในอนาคต
อนึ่ง ผลประกอบการปี 2556 นายตัน ระบุว่า ICHI มีรายได้จากการขาย 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,577 ล้านบาท (เติบโต 65.96 %) มีกำไรสุทธิ 884 ล้านบาท (ไม่รวมรายการจากอุทกภัยและการดำเนินงานที่ยกเลิก) เพิ่มขึ้น 578 ล้านบาท (เติบโต 188.89%)
ทั้งนี้ ICHI เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็น 23.1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 1.3 พันล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 1.3 พัน ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้ว จำนวน 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายจะจ่ายเงินปันผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จำนวน 3,900 ล้านบาท จะนำไปขยายโรงงานเฟส 2 และเป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจ จำนวน 1,400 ล้านบาท ชำระหนี้เงินกู้กรรมการ และสถาบันการเงินจำนวน 2,500 ล้านบาท
นายตัน ภาสกรนที กรรมการผู้อำนวยการ บริษัท อิชิตัน กรุ๊ป จำกัด (มหาชน) หรือ ICHI เปิดเผยว่า การซื้อขายหุ้น ICHI วันแรกในตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) ในวันที่ 21 เม.ย.นี้ โดยมั่นใจว่าจะได้รับการตอบรับดีจากนักลงทุน ทำให้สามารถยืนเหนือราคาจองที่ 13 บาทต่อหุ้นได้ เพราะธุรกิจชัดเจนมีความใกล้ชิดผู้บริโภค ประกอบกับการเป็นผู้ผลิต และจำหน่ายเครื่องดื่มชาเขียวที่มีทิศทางการเติบโตโดดเด่น ภายในเวลาเพียง 2 ปี สามารถก้าวขึ้นสู่ผู้นำตลาดชาพร้อมดื่มอันดับ 1 โดยในปี 2556 มีส่วนแบ่งการตลาดสูงถึง 42%
โดยที่ผ่านมา บริษัทสามารถทำกำไรเติบโตต่อเนื่องทุกปี โดยในปี 2556 มี อัตรากำไรเบื้องต้นอยู่ที่ 14% และคาดว่าในปีนี้อัตรากำไรเบื้องต้นจะมีแนวโน้มสูงขึ้นตามสัดส่วนการปรับลดการว่าจ้างผลิต (OEM) ที่เดิมมีสัดส่วน 25% และกำลังจะลดลง เนื่องจากโรงงานเฟส 2 จะก่อสร้างแล้วเสร็จในช่วงปลายไตรมาส 2/2557 และจะส่งผลให้บริษัทมีกำลังการผลิตแบบขวดเพิ่มขึ้นเป็น 1,000 ล้านขวดต่อปี และ 200 ล้านกล่องต่อปี (จากเดิม 600 ล้านขวดต่อปี และ 200 ล้านกล่องต่อปี)
นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนเดินหน้าขยายธุรกิจในต่างประเทศเพิ่มเติมเพื่อเตรียมพร้อมการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC) ในปี 2558 ซึ่งปัจจุบันอยู่ระหว่างศึกษาโอกาสในการลงทุนเพื่อสร้างความมั่นใจให้แก่นักลงทุนในอนาคต
อนึ่ง ผลประกอบการปี 2556 นายตัน ระบุว่า ICHI มีรายได้จากการขาย 6,484 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 2,577 ล้านบาท (เติบโต 65.96 %) มีกำไรสุทธิ 884 ล้านบาท (ไม่รวมรายการจากอุทกภัยและการดำเนินงานที่ยกเลิก) เพิ่มขึ้น 578 ล้านบาท (เติบโต 188.89%)
ทั้งนี้ ICHI เสนอขายหุ้นสามัญเพิ่มทุนแก่ประชาชนครั้งแรก (IPO) จำนวน 300 ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้ (พาร์) หุ้นละ 1 บาท หรือคิดเป็น 23.1% ของจำนวนหุ้นทั้งหมดภายหลังการเสนอขายหลักทรัพย์ ปัจจุบันบริษัทมีทุนจดทะเบียน 1.3 พันล้านบาท แบ่งเป็นหุ้นสามัญ จำนวน 1.3 พัน ล้านหุ้น มูลค่าที่ตราไว้หุ้นละ 1 บาท โดยเป็นทุนชำระแล้ว จำนวน 1 พันล้านบาท นอกจากนี้ บริษัทมีนโยบายจะจ่ายเงินปันผลตอบแทนให้แก่ผู้ถือหุ้นอย่างต่อเนื่อง ในอัตราไม่ต่ำกว่า 40% ของกำไรสุทธิ
สำหรับเงินที่ได้จากการระดมทุนในครั้งนี้ จำนวน 3,900 ล้านบาท จะนำไปขยายโรงงานเฟส 2 และเป็นเงินหมุนเวียนในธุรกิจ จำนวน 1,400 ล้านบาท ชำระหนี้เงินกู้กรรมการ และสถาบันการเงินจำนวน 2,500 ล้านบาท