ASTVผู้จัดการรายวัน - ธ.ก.ส.ดิ้นหาเงินจ่ายชาวนาหลังเหลือในมือแค่ 2.5 พันล้าน เหตุต้องสำรองเงินค่าข้าวชดใช้เงินกลาง เตรียมดึงเงินฝากองค์กรปกครองท้องถิ่น 6-7 พันล้านช่วยเสริมหวั่นไม่ได้เงินกู้จากคลังต้องจ่ายใช้เวลาถึงสิ้นปี โชว์ผลงานปี 56 ฟันกำไรกว่า 9.7 พันล้านบาทตั้งเป้าปีนี้ปล่อยสินเชื่อแสนล้านเหตุโครงการภาครัฐสะดุด
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 56/57 ว่า ขณะนี้ยังเหลือเงินที่จ่ายให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้รับเงินอีก 2.5 พันล้านบาท จากจำนวนที่ยังค้างเงินทั้งสิ้น 9.9 หมื่นล้านบาท จำนวน 8 แสนราย เนื่องจากที่ผ่านมาธ.ก.ส.ได้จ่ายไปแล้ว 9.4 หมื่นล้านบาท จำนวนเกษตรกร 7.4 แสนราย จากจำนวนที่ถือใบประทวนทั้งสิ้น 1.5 ล้านรายปริมาณข้าวเปลือก 11.62 ล้านตัน จำนวนเงิน 1.9 แสนล้านบาท โดยเป็นการใช้เงินจากการระบายข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ส่งมาชำระหนี้คืน 93,000 ล้านบาท เงินจากกองทุนช่วยเหลือชาวนา 1,000 ล้านบาท และวันที่ 11 เมษายนนี้จะจัดสรรเงินในกองทุนอีก 500 ล้านบาทไปจ่ายให้ชาวนา นอกจากเหนือจากนั้นยจะดึงเงินฝากจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นำเข้ามาฝากกับธ.ก.ส.มาที่กองทุนชาวนาคาดว่าจะได้อีกประมาณ 6-7 พันล้านบาทหลังสงกรานต์นี้ นำมาจ่ายให้ชวนาระหว่างที่รอเงินจากการขายข้าว ซึ่งน่าจะได้เข้ามาหลังเดือนมิถุนายน เพราะระหว่างนี้ต้องเตรียมไว้คืนงบกลางภายในสิ้นเดือนพ.ค.นี้ก่อน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้นำส่งกรมบัญชีกลางไปแล้ว 1.07 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากใช้เงินจากการระบายข้าวอย่างเดียวคาดว่าจะใช้เวลาประมาณสิ้นปีกว่าจะจ่ายหนี้คืนให้ชาวนาได้ทั้งหมด แต่หากกระทรวงการคลังสามารถจัดหาเงินกู้มาได้ 1.3 แสนล้านบาทก็น่าจะจ่ายเงินให้ชาวนาได้ภายในเดือนก.ค.นี้ โดยระหว่างนี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)กำลังหารือกับสถาบันการเงิน เชื่อว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นก็น่าจะรดมทุนได้ในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ธ.ก.ส.ได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนโดยการยืดหนี้ออกไป 6 เดือนจากมีนาคมไปถึงกันยายนปีนี้ โดยมีเกษตรกรที่ได้รับการยืดหนี้ประมาณ 4.7 แสนราย คิดเป็นต้นเงินคงค้าง 6.1 หมื่นล้านบาท และได้จัดสรรเงินกู้ก้อนใหม่ให้เกษตรกรนำไปใช้จ่ายและลงทุนในรอบการผลิตใหม่ แล้วประมาณ 1.2 แสนราย วงเงินกู้ 8,197 ล้านบาท และมีเกษตรกรใช้วงเงินกู้ผ่านบัตรสินเชื่ออีก 4.8 แสนราย เม็ดเงิน 8,261 ล้านบาท ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษบกิจฐานรากแล้ว 16,458 ล้านบาท มีเกษตรกรที่เข้าโครงการจำนำข้าวได้ประโยชน์กว่า 6 แสนราย
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปีบัญชี 2557 ( 1 เมษายน 2557- 31 มีนาคม 2558) ธ.ก.ส. ตั้งเป้าขยายปริมาณสินเชื่อลงสู่ภาคชนบทไม่ต่ำกว่า 108,000 ล้านบาทจากปีก่อนไม่รวมสินเชื่อนโยบายรัฐ เช่นโครงการจำนำพืชผลทางการเกษตร และสินเชื่อสนับสนุนลูกค้าผ่านโครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกร และตั้งเป้่าระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น 90,000 ล้านบาท คาดว่าจะทำกำไรประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยเน้นมาจากการปล่อยสินเชื่อตามปกติ และค่าธรรมเนียมการให้บริการ ส่วนโครงการจำนำสินค้าเกษตรน่าจะลดลงในปีหน้า
ส่วนผลการดำเนินงานในปีบัญชี 2556 ( 1 เมษายน 2556 -31 มีนาคม 2557) ที่ผ่านมาสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 144,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.55% เมื่อรวมกับสินเชื่อตามโครงการรับจำนำผลิตผลของรัฐบาล จึงมียอดสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 1.63 ล้านล้านบาท มียอดเงินฝากรวม 1.152 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 151,054 ล้านบาท หรือ 15.09% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินฝากประเภทออมทรัพย์จากประชาชนรายย่อย เช่น ออมทรัพย์พิเศษ ออมทรัพย์ทวีโชค ส่งผลให้ ธ.ก.ส. มีกำไรสุทธิ 9,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.35% แยกเป็นกำไรจากผลการดำเนินงานด้านสินเชื่อ 4,833 ล้านบาท รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ 2,334 ล้านบาท และรายได้จากการบริหารจัดการโครงการนโยบายรัฐ หรือการจำนำสินค้าเกษตร 2,588 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนได้กำไรจากการนำข้าว 4,100 ล้านบาท ขณะที่หนี้เสียหรือเอ็ฯพีแอลอยู่ที่ร้อยละ 4.10 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 3.95%ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เกษตรกรไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าวทำให้ไม่สามารถมาชำระหนี้คืนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้ และหากเกษตรกรยังไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ภายในกันยายนนี้ก็จะยืดหนี้ออกไปอีก 6 เดือน และอาจทำให้ตัวเลขหนี้เสียขยับเพิ่มขึ้นได้.
นายลักษณ์ วจนานวัช ผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร(ธ.ก.ส.) กล่าวถึงความคืบหน้าในการจ่ายเงินในโครงการรับจำนำข้าวเปลือกปี 56/57 ว่า ขณะนี้ยังเหลือเงินที่จ่ายให้เกษตรกรที่ยังไม่ได้รับเงินอีก 2.5 พันล้านบาท จากจำนวนที่ยังค้างเงินทั้งสิ้น 9.9 หมื่นล้านบาท จำนวน 8 แสนราย เนื่องจากที่ผ่านมาธ.ก.ส.ได้จ่ายไปแล้ว 9.4 หมื่นล้านบาท จำนวนเกษตรกร 7.4 แสนราย จากจำนวนที่ถือใบประทวนทั้งสิ้น 1.5 ล้านรายปริมาณข้าวเปลือก 11.62 ล้านตัน จำนวนเงิน 1.9 แสนล้านบาท โดยเป็นการใช้เงินจากการระบายข้าวที่กระทรวงพาณิชย์ส่งมาชำระหนี้คืน 93,000 ล้านบาท เงินจากกองทุนช่วยเหลือชาวนา 1,000 ล้านบาท และวันที่ 11 เมษายนนี้จะจัดสรรเงินในกองทุนอีก 500 ล้านบาทไปจ่ายให้ชาวนา นอกจากเหนือจากนั้นยจะดึงเงินฝากจากองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นที่นำเข้ามาฝากกับธ.ก.ส.มาที่กองทุนชาวนาคาดว่าจะได้อีกประมาณ 6-7 พันล้านบาทหลังสงกรานต์นี้ นำมาจ่ายให้ชวนาระหว่างที่รอเงินจากการขายข้าว ซึ่งน่าจะได้เข้ามาหลังเดือนมิถุนายน เพราะระหว่างนี้ต้องเตรียมไว้คืนงบกลางภายในสิ้นเดือนพ.ค.นี้ก่อน 2 หมื่นล้านบาท ซึ่งขณะนี้นำส่งกรมบัญชีกลางไปแล้ว 1.07 หมื่นล้านบาท
อย่างไรก็ตามหากใช้เงินจากการระบายข้าวอย่างเดียวคาดว่าจะใช้เวลาประมาณสิ้นปีกว่าจะจ่ายหนี้คืนให้ชาวนาได้ทั้งหมด แต่หากกระทรวงการคลังสามารถจัดหาเงินกู้มาได้ 1.3 แสนล้านบาทก็น่าจะจ่ายเงินให้ชาวนาได้ภายในเดือนก.ค.นี้ โดยระหว่างนี้สำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.)กำลังหารือกับสถาบันการเงิน เชื่อว่าหากสถานการณ์ดีขึ้นก็น่าจะรดมทุนได้ในเร็วๆนี้ ทั้งนี้ ธ.ก.ส.ได้มีมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรที่ได้รับความเดือดร้อนโดยการยืดหนี้ออกไป 6 เดือนจากมีนาคมไปถึงกันยายนปีนี้ โดยมีเกษตรกรที่ได้รับการยืดหนี้ประมาณ 4.7 แสนราย คิดเป็นต้นเงินคงค้าง 6.1 หมื่นล้านบาท และได้จัดสรรเงินกู้ก้อนใหม่ให้เกษตรกรนำไปใช้จ่ายและลงทุนในรอบการผลิตใหม่ แล้วประมาณ 1.2 แสนราย วงเงินกู้ 8,197 ล้านบาท และมีเกษตรกรใช้วงเงินกู้ผ่านบัตรสินเชื่ออีก 4.8 แสนราย เม็ดเงิน 8,261 ล้านบาท ทำให้มีเม็ดเงินหมุนเวียนในระบบเศรษบกิจฐานรากแล้ว 16,458 ล้านบาท มีเกษตรกรที่เข้าโครงการจำนำข้าวได้ประโยชน์กว่า 6 แสนราย
สำหรับเป้าหมายการดำเนินงานในปีบัญชี 2557 ( 1 เมษายน 2557- 31 มีนาคม 2558) ธ.ก.ส. ตั้งเป้าขยายปริมาณสินเชื่อลงสู่ภาคชนบทไม่ต่ำกว่า 108,000 ล้านบาทจากปีก่อนไม่รวมสินเชื่อนโยบายรัฐ เช่นโครงการจำนำพืชผลทางการเกษตร และสินเชื่อสนับสนุนลูกค้าผ่านโครงการบัตรสินเชื่อเกษตรกร และตั้งเป้่าระดมเงินฝากเพิ่มขึ้น 90,000 ล้านบาท คาดว่าจะทำกำไรประมาณ 10,000 ล้านบาท โดยเน้นมาจากการปล่อยสินเชื่อตามปกติ และค่าธรรมเนียมการให้บริการ ส่วนโครงการจำนำสินค้าเกษตรน่าจะลดลงในปีหน้า
ส่วนผลการดำเนินงานในปีบัญชี 2556 ( 1 เมษายน 2556 -31 มีนาคม 2557) ที่ผ่านมาสามารถปล่อยสินเชื่อได้ 144,142 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 13.55% เมื่อรวมกับสินเชื่อตามโครงการรับจำนำผลิตผลของรัฐบาล จึงมียอดสินเชื่อเพิ่มขึ้นเป็น 1.63 ล้านล้านบาท มียอดเงินฝากรวม 1.152 ล้านล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 151,054 ล้านบาท หรือ 15.09% ส่วนใหญ่เพิ่มขึ้นจากเงินฝากประเภทออมทรัพย์จากประชาชนรายย่อย เช่น ออมทรัพย์พิเศษ ออมทรัพย์ทวีโชค ส่งผลให้ ธ.ก.ส. มีกำไรสุทธิ 9,755 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อน 7.35% แยกเป็นกำไรจากผลการดำเนินงานด้านสินเชื่อ 4,833 ล้านบาท รายได้จากค่าธรรมเนียมและบริการ 2,334 ล้านบาท และรายได้จากการบริหารจัดการโครงการนโยบายรัฐ หรือการจำนำสินค้าเกษตร 2,588 ล้านบาท ลดลงจากปีก่อนได้กำไรจากการนำข้าว 4,100 ล้านบาท ขณะที่หนี้เสียหรือเอ็ฯพีแอลอยู่ที่ร้อยละ 4.10 เพิ่มขึ้นจากปีก่อนที่ระดับ 3.95%ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากการที่เกษตรกรไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าวทำให้ไม่สามารถมาชำระหนี้คืนเมื่อเดือนมีนาคมที่ผ่านมาได้ และหากเกษตรกรยังไม่สามารถจ่ายหนี้คืนได้ภายในกันยายนนี้ก็จะยืดหนี้ออกไปอีก 6 เดือน และอาจทำให้ตัวเลขหนี้เสียขยับเพิ่มขึ้นได้.
