ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - มีตัวละครทางการเมืองที่จัดอยู่ในในฝ่าย “คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” หรือ กปปส. 3 คน ที่ต้องถือว่าเป็นไอดอล เป็นสัญลักษณ์และเป็นความหวังในการต่อสู้กับระบอบทักษิณ
คนแรกคือ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการกปปส. ผู้จุดประกายความหวังในการปฏิรูปประเทศไทย
คนที่สองคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก ผู้ซึ่งหลายคน โดยเฉพาะกำนันสุเทพพยายามสร้างความมั่นใจบนเวที กปปส.ตลอดเวลาว่า เขาคือทหารของประชาชน
และคนที่สามคือนายกนก รัตน์วงศ์สกุล พิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง หนึ่งในบุคคลที่มีชื่อเสียงที่เข้าร่วมชุมนุมกับ กปปส.อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักหลังปรากฏภาพและเสียงของเขาในลักษณะที่ไปมีความสัมพันธ์กับหญิงอื่นที่ไม่ใช่ภรรยา และนำมาเปิดเผยต่อสาธารณชน
พวกเขาทั้ง 3 คนคือกลุ่มบุคคลที่ถูกยกขึ้นเอาไว้บนหิ้ง และเชื่ออย่างยิ่งว่า ในอนาคตพวกเขาจะกลายเป็นตำนานที่กล่าวขานในประวัติศาสตร์การเมืองไทยอย่างไม่รู้ลืม
แต่คำถามที่เกิดขึ้นในขณะนี้ก็คือ ทั้ง 3 คนพร้อมเปิดรับเสียงวิพากษ์วิจารณ์ หรือเป็นคนที่อยู่บนหิ้งและไม่สามารถแตะต้องได้ไม่ว่าจะถูกหรือผิดก็ตาม
ลุงกำนัน คนดีไม่มีเสื่อม
ภายหลังสลัดคราบไคลจากพรรคประชาธิปัตย์และปวารณาตัวเป็น “ผู้นำ” มวลมหาประชาชนในฐานะเลขาธิการ กปปส.นายสุเทพก็ก้าวพ้นจากภาพความเป็นนักการเมืองในสายตาของผู้สนับสนุนไปในฉับพลันทันที เพราะนายสุเทพคือผู้จุดประกายความหวังในการปฏิรูปประเทศไทยให้พ้นจากปลักเลนแห่งความชั่วร้าย
ใครๆ ก็รักลุงกำนัน
ใครๆ ก็อยากถ่ายรูปกับลุงกำนัน
ใครๆ ก็อยากบริจาคให้ลุงกำนัน
และใครๆ ก็พร้อมที่จะเป็นแนวร่วมในการต่อสู้เพื่อโค่นล้มระบอบทักษิณกับลุงกำนัน
อย่างไรก็ตาม เมื่อเวลาผ่านไป เมื่อการชุมนุมเนิ่นนานไปและไม่มีทีท่าว่าจะประสบความสำเร็จในการโค่นล้มระบอบทักษิณและรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตรด้วย “การปฏิวัติประชาชน” ทำให้เกิดคำถามและมีการตั้งข้อสังเกตถึงยุทธศาสตร์และยุทธวิธีการเคลื่อนไหวของ กปปส.ภายใต้การนำของนายสุเทพว่ามีความผิดปกติหรือไม่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่มีการยุบรวมเวทีมาปักหลักพักค้างคืนอยู่ที่สวนลุมพินีเพียงแห่งเดียว และทำเสมือนหนึ่งว่าชัยชนะของมวลมหาประชาชนกำลังจะมาถึง
หลังเหลือเวทีชุมนุมที่สวนลุมพินีแห่งเดียว นายสุเทพมิได้มีกิจกรรมอันใดที่จะเร่งปฏิกิริยาให้ “มะม่วงหล่น” จากต้นและนำไปสู่การปฏิรูปประเทศครั้งใหญ่เพื่อสกัดมิให้นักการเมืองเลวๆ มาแสวงหาอำนาจและผลประโยชน์จากเงินภาษีอากรของคนทั้งประเทศ
ความเคลื่อนไหวใหญ่ๆ ของนายสุเทพมีเพียง 2 ครั้งคือ การชุมนุมใหญ่เพื่อสำแดงพลังเมื่อวันที่ 29 มีนาคม 2557 และการเคลื่อนขบวนไปยังศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ในวันที่ 1 เมษายน ซึ่งเป็นวันข้าราชการพลเรือน เพื่อเรียกร้องให้ข้าราชการหยุดทำงานรับใช้ระบอบทักษิณ
แน่นอน วันนี้ชัดเจนแล้วว่า กปปส.ภายใต้การนำของนายสุเทพมิอาจเอาชนะระบอบทักษิณได้ ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว สามารถทำได้มาหลายต่อหลายครั้ง โดยเฉพาะในวันที่นางสาวยิ่งลักษณ์ประกาศยุบสภา ซึ่งมีผู้คนนับเป็นล้านๆ คนหลั่งไหลกันออกมาจากบ้านสู่ท้องถนน
และเมื่อเป็นเช่นนั้น ก็ต้องยอมรับความจริงกันว่า ผู้ที่ทำให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณพ่ายแพ้ในอีกไม่กี่วันข้างหน้านี้ มิใช่นายสุเทพ หากแต่คือองค์กรอิสระอย่างคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ป.ป.ช.) และศาลสถิตยุติธรรม ซึ่งก็เป็นที่แน่ชัดแล้วว่า เหลือเวลาอีกไม่มากนัก โดยเฉพาะคดีโยกย้ายนายถวิล เปลี่ยนศรี เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ที่จะทำให้ทั้งตัวนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคณะรัฐมนตรีทั้งคณะพ้นสภาพอย่างไม่อาจหลีกเลี่ยงได้
นี่คือความจริงที่ไม่อาจปฏิเสธได้ แม้จะอ้างว่า เป็นการชุมนุมเพื่อให้กำลังใจศาลและองค์กรอิสระก็ไม่สามารถฟังขึ้น เพราะนั่นยิ่งจะทำให้ทั้ง 2 องค์กรยุติธรรมถูกครหาในเรื่อง 2 มาตรฐานดังกระหึ่มไปทั้งแผ่นดิน ทั้งๆ ที่องค์กรเหล่านี้ปฏิบัติหน้าที่ตามตัวบทกฎหมายทั้งสิ้น อะไรผิดก็ว่าไปตามผิด อะไรถูกก็ว่าไปตามถูก
นอกจากนี้ ผลพวงของการดำเนินยุทธศาสตร์ที่ผิดพลาดต่อการเลือกตั้งสมาชิกวุฒิสภา(ส.ว.) ที่มิได้ตั้งอยู่บนตรรกะเดียวกับการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร(ส.ส.) ของนายสุเทพคือต้องมีการปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง ได้ทำให้วันนี้คนของระบอบทักษิณสามารถยึดเก้าอี้ในสภาสูงเอาไว้ในสัดส่วนและเปอร์เซ็นต์ที่เหนือกว่าอย่างเห็นชัด
กลายเป็นสภาผัวเมียและสภาข้าทาสของนักการเมืองอย่างสมบูรณ์แบบ
ความมั่นใจและความฝันของนายสุเทพที่เชื่อว่า กระแส กปปส.ฟีเวอร์จะสามารถโค่นระบอบทักษิณได้ นอกจากจะไม่กลายเป็นความจริงแล้วยังผลักดันให้สภาสูงตกอยู่ในอุ้งมือของระบอบทักษิณโดยชอบธรรมอย่างไม่มีข้อโต้แย้งอีกต่างหาก
นี่คือผลงานชิ้นโบแดงของนายสุเทพที่สังคมไม่ควรจะลืม
นี่หรือคือการปฏิรูปประเทศไทยอย่างที่มวลมหาประชาชนอยากเห็น
เมื่อถูกวิพากษ์วิจารณ์หนักเข้า ขบวนการจัดตั้งหรือองครักษ์พิทักษ์กำนันในโลกไซเบอร์ก็ทำงานกันจ้าละหวั่น มีการสวนกลับหรือตอบโต้ว่า พวกที่วิพากษ์วิจารณ์เตะตัดขาบ้าง รับงานจากรัฐบาลและระบอบทักษิณบ้าง หรือไม่ก็เป็นพวกขี้อิจฉาที่ไม่ได้เป็นแกนนำม็อบ ฯลฯ
และสุดท้ายนายสุเทพถึงกับประกาศข่มขู่พวกที่วิพากษ์วิจารณ์ตัวเองบนเวทีปราศรัยในวันชุมนุมใหญ่ 29 มีนาคม 2557 ว่า “มีคนพยายามปลุกระดมว่าผมเอามวลชนมาเดินปิดถนนเพื่ออะไร ทำไปแล้วจะชนะไหม เรื่องนี้พี่น้องต้องทำใจมีคนอย่างนี้อยู่ในสังคม ตัวเองไม่ได้ทำเพื่อบ้านเมืองแต่คอยเตะถ่วง เราทำคราวนี้เพื่อชาติ ไม่ได้สู้ด้วยความเกลียดชัง จึงไม่อยากมาต่อล้อต่อเถียงคนประเภทนี้ แต่ถ้าเมื่อไรเราเห็นว่าคนเหล่านี้ชักเป็นอันตรายจะเปิดเบื้องหน้าเบื้องหลังคนเหล่านี้โดยไม่เกรงกลัวใดๆ ทั้งสิ้น”
นอกจากนี้ สังคมยังได้รับรู้ผ่านการให้สัมภาษณ์ของนายจิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร(ซีอีโอ) สื่อในเครือเอเอสทีวีผู้จัดการด้วยว่า มีความพยายามที่จะต่อสายมาถึงเพื่อไม่ให้มีการวิพาษ์วิจารณ์นายสุเทพ “หลายคนมีความสัมพันธ์กับแกนนำ กปปส. เขาบอกว่า อย่าวิพากษ์วิจารณ์ หรือพูดในเชิงที่ไม่ให้เกียรติกับ กปปส. ซึ่งที่แท้จริงก็คือ คุณสุเทพ เทือกสุบรรณ และ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชาได้ไหม เขาบอกว่าเรื่องพวกนี้ถ้าผมยังทำแบบนี้ มันจะเป็นผลลบกับเอเอสทีวี ซึ่งผมก็ได้เรียนกลับผู้ใหญ่หลายคนด้วยความเคารพว่า ผมน้อมรับนะครับ แต่ว่าผมมีจุดยืนของผม เอเอสทีวีมีจุดยืนของเอเอสทีวีคือว่า ผิดก็คือผิด ถูกก็คือถูก และเราก็จะไม่ให้ใครมาหมกเม็ด หรือมาสวมตอกับการต่อสู้ของภาคประชาชน”นายจิตตนาถเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และทั้งหมดนั้นคือ เรื่องราวและความเป็นจริงของนายสุเทพ เทือกสุบรรณ คนดีที่ไม่มีวันเสื่อม
พล.อ.ประยุทธ์ ทหารที่รอวันเกษียณ
สำหรับตัวละครคนที่สองคือ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) ต้องบอกว่านับตั้งแต่ที่ พล.อ.ประยุทธ์ ขึ้นดำรงตำแหน่ง ผบ.ทบ.ทหารเสือราชินีบูรพาพยัคฆ์ผู้นี้ก็เป็นที่จับตามองด้วยความมั่นใจว่า เขาคือทหารของประชาชน ดังคำขวัญที่เขียนเอาไว้หน้าหน่วยทหารทุกหน่วยในประเทศไทยว่า “เพื่อชาติ ศาสน์ กษัตริย์และประชาชน”
แต่นานวันไป สังคมก็เริ่มรับรู้ได้ว่า สิ่งที่ พล.อ.ประยุทธ์ทำมาตลอดคือ “การคำรามจนคอแห้ง” ในแทบจะทุกๆ เรื่อง
ไม่ว่าจะเป็นลูกน้องของตนเองที่ถูกกล่าวหาในคดีสังหารคนเสื้อแดงที่เข้ามาร่วมชุมนุมในเหตุการณ์เผาบ้านเผาเมือง จนญาติพี่น้องและลูกเมียต้องลุกขึ้นมาทวงถามความเป็นธรรม
ไม่ว่าจะเป็นท่าทีต่อกรณีขบวนการล้มเจ้า โดยเฉพาะจอมแสบอย่าง “ตั้ง อาชีวะ” หรือขบวนการแบ่งแยกประเทศไทยที่ประกาศตนชัดเจนในนาม “สปป.ล้านนา” ที่พิสูจน์ให้เห็นชัดแล้วว่า ยังคงลอยนวลอย่างมีความสุขในบ้านนี้เมืองนี้ เพราะแม้ พล.อ.ประยุทธ์จะแสดงท่าทีฮึ่มฮั่มคำรามเสียงดังลั่นประเทศ หรือส่งนายทหารพระธรรมนูญไปแจ้งความดำเนินคดี แต่ก็ได้มีอะไรเกิดขึ้นให้เห็นเป็นรูปธรรม ฯลฯ
ร้ายไปกว่านั้นคือ เมื่อมีเสียงวิพากษ์วิจารณ์ในฐานะบุคคลสาธารณะก็ส่งลูกน้องตบเท้ามาข่มขู่ จนสังคมสงสัยว่า เป็นสิ่งที่สมควรหรือไม่ เพราะเห็นความแตกต่างที่เป็น 2 มาตรฐานชัดเจน เนื่องจากเรื่องใหญ่เรื่องโตเช่นกรณีขบวนการล้มเจ้า ขบวนการแบ่งแยกประเทศ กลับไม่มีทหารคนใดออกมามีปฏิกิริยาในทำนองเดียวกัน
โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีการตัดต่อภาพที่ พล.อ.ประยุทธ์ถึงกับด่ากราดว่า “ก็จิตใจมันต่ำทราม” ทั้งๆ ที่เทียบกับเรื่องขบวนการล้มเจ้า ขบวนการแบ่งแยกประเทศที่หนักหนาสาหัสกว่าเยอะ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่เคยผรุสวาทถ้อยคำเช่นนี้ออกมา
ขณะที่ลูกน้อยก็ยกยอปอปั้นโดยอ้างว่า เป็นการกระทำที่ไม่เหมาะสม เพราะพล.อ.ประยุทธ์ เป็นผู้ใหญ่ในบ้านเมือง เป็นผู้ดูแลความมั่นคงของชาติ และยังเป็นที่เคารพรักของกำลังพลในกองทัพ ไม่ใช่มาอ้างว่า พล.อ.ประยุทธ์ เป็นบุคคลสารธารณะ จะทำอย่างไรก็ได้
และที่ต้องขีดเส้นใต้เอาไว้ก็คือ บรรดาแมลงสาบและคนที่ยังศรัทธาบิ๊กถั่งเช่าอย่างหัวปักหัวปำต่างพากันออกมาตอบโต้ผ่านทางโลกสังคมออนไลน์คนที่บังอาจแตะต้องด้วยข้อหาสารพัดสารพัน และแน่นอนว่า ข้อหาที่หนักที่สุดคือ รับเงินทักษิณมาเพื่อสร้างความแตกแยกให้กับขบวนการ กปปส.
พล.อ.ประยุทธ์จึงยังคงเป็นคนดีของลุงกำนันโดยไม่เปลี่ยนแปลง
กระนั้นก็ดี ตัวตนที่แท้จริงของ พล.อ.ประยุทธ์ได้ถูกเปลือยออกมาอย่างล่อนจ้อนเมื่อผู้บัญชาการทหารบกคนนี้ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 2 เมษายน 2557
พล.อ.ประยุทธ์ได้ตอบข้อซักถามต่อกรณีที่มีการเรียกร้องให้กองทัพอย่ายอมรับอำนาจของรัฐบาลรักษาการ โดยนิ่งคิดพักใหญ่ก่อนกล่าวว่า “มันไม่ใช่ในระบบ ถามคำถามที่ตอบยาก ตอบไม่ได้ เพราะถ้าตอบก็จะไปอยู่อีกข้างหนึ่ง สมมติว่าท่านทำงานในบริษัทหนึ่งและท่านประท้วงเจ้าของบริษัท ถามว่าทำได้หรือไม่ ถ้าคุณไม่เห็นด้วยกับผู้บริหารของคุณ คุณกล้าไล่เขาออกหรือไม่ ถ้าไม่ได้ก็ต้องทำหน้าที่ของคุณ เมื่อเขาให้ตนทำหน้าที่อะไรก็ทำตามหน้าที่ จะไม่วิพากษ์วิจารณ์ให้เกินเลย เพราะจำเป็นต้องรักษาสถานภาพของตน เพื่อทำงานทุกงานให้ได้ ส่วนจะผิดหรือถูก จะรับหรือไม่รับก็ต้องไปว่ากันมา”
รศ.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต คณบดีคณะพัฒนาสังคม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ หรือนิด้า ตั้งข้อสังเกตต่อคำพูดของ พล.อ.ประยุทธ์เอาไว้ว่า “การแสดงเจตนารมณ์และจุดยืนของ ผบ.ทบ. เช่นนี้เท่ากับว่าดับความหวังและความฝันของแกนนำ กปปส.และมวลชนฝ่าย กปปส. ซึ่งเรียกร้องและคาดหวังที่จะให้ทหารสนับสนุนการเคลื่อนไหวของประชาชนในการโค่นล้มระบอบทักษิณ ประชาชนบางกลุ่มถึงกับตีความว่า จุดยืนแบบนี้ไม่ต่างกับการสนับสนุนระบอบทักษิณนั่นเอง จนถึงวันนี้ ผมคิดว่าในการกำหนดยุทธศาสตร์การเคลื่อนไหวของประชาชน แกนนำ กปปส. โดยเฉพาะนายสุเทพ เทือกสุบรรณจำเป็นต้องทบทวนความสัมพันธ์กับ ผบ.ทบ. ท่านนี้ ความหวังที่จะได้รับการสนับสนุนในเรื่องการประกาศจุดยืนข้างประชาชนและปฏิเสธรัฐบาลอำนาจรัฐบาลนั้น เห็นทีจะต้องเลิกหวังและเลิกฝันได้แล้ว ยิ่งไม่ต้องกล่าวถึงความหวังที่จะให้ทหารสนับสนุนการปฏิวัติประชาชน ซึ่งเป็นสิ่งที่ไกลเกินเอื้อมตราบเท่าที่ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ยังเป็น ผบ.ทบ.อยู่”
(อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมใน “จุดยืนของ ผบ.ทบ.กับการปรับยุทธศาตร์ของฝ่ายประชาชน” หน้า 50)
เฉกเช่นเดียวกับความคิดเห็นของ นายสนธิ ลิ้มทองกุล อดีตแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ที่เป็นไปในทำนองเดียวกันว่า ขณะนี้มีกลุ่มอยู่ 3 กลุ่ม กลุ่มแรกคือกลุ่มพรรคเพื่อไทย พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร กลุ่มที่ 2 คือ กลุ่มของพรรคประชาธิปัตย์ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กลุ่มนายสุเทพ กับพรรคประชาธิปัตย์นี่คือกลุ่มเดียวกัน กลุ่มที่ 3 คือ กลุ่มทหารที่นำโดย พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก วันนี้ พล.อ.ประยุทธ์ก็แสดงจุดยืนชัดเจนว่าจะยืนข้าง พ.ต.ท.ทักษิณ ด้วยการบอกนายสุเทพให้นายสุเทพช้ำใจว่านายรัฐมนตรีคนกลางเลิกเพ้อฝันได้แล้ว และทหารจำเป็นต้องยอมรับอำนาจรัฐ แต่ พล.อ.ประยุทธ์ก็ไม่ยอมบอกว่าอำนาจรัฐนั้นถ้ามันใช้อำนาจรัฐในการรังแกประชาชน ในการโกงชาติโกงบ้านโกงเมือง พล.อ.ประยุทธ์ก็ยังยอมรับอยู่เหมือนเดิม แล้ว พล.อ.ประยุทธ์บอกให้ไปเลือกตั้งดีกว่า เพราะฉะนั้น พล.อ.ประยุทธ์ส่งสัญญาณให้นายสุเทพชัดเจนแล้วว่าให้ไปเลือกตั้ง ก็ขึ้นอยู่กับนายสุเทพจะดำเนินการยังไงต่อ จะเดินหน้ายังไง
“ถ้าคุณถามว่าสถานการณ์บ้านเมืองเป็นไงก็คือมันตันไปหมดแล้วหาทางออกไม่ได้ คุณทักษิณ คุณประยุทธ์จึงบอกให้ไปเลือกตั้งเถอะทั้งทีการเลือกตั้งมันไม่ใช่จะแก้ปัญหาได้ ที่ผมเป็นห่วง ผมเป็นห่วงคุณสุเทพ มากกว่า ว่าแล้วคุณสุเทพจะเดินยังไงจากนี้ไป ผมให้คำตอบแทนคุณสุเทพ ไม่ได้ เพราะผมเคยแนะนำคุณสุเทพ ไปแล้ว บอกว่าปัญหาชาติบ้านเมืองที่มันไม่จบ เพราะคุณประยุทธ์ไม่ยอมทำงานเพื่อประชาชน แต่คุณประยุทธ์ทำงานเพื่อคุณทักษิณ คุณสุเทพก็ยังเอาใจคุณประยุทธ์อยู่เหมือนเดิม ก็เอาใจกันต่อไปก็แล้วกัน” นายสนธิวิพากษ์วิจารณ์นายสุเทพและพล.อ.ประยุทธ์
แฟนคลับเงิบคลิปฉาว “กนก” ดึงเรื่องส่วนรวมกลบเรื่องส่วนตัว?
ด้านคนที่ 3 คนสุดท้ายที่กำลังมาแรงและร้อนแรงที่สุดในเวลานี้เห็นจะหนีไม่พ้น “กนก รัตน์วงศ์สกุล” พิธีกรรายการโทรทัศน์ชื่อดัง ที่ตกเป็นข่าวฉาวจากกรณีภาพนิ่งและคลิปฉาวที่ออกมาเพ่นพ่านในโลกไซเบอร์ ชนิดที่ทำเอาแฟนคลับโลกสวยแห่ง กปปส.ถึงกับเงิบไปตามๆ กัน เพราะจากเรื่องที่ทำท่าว่าจะเป็นการกลั่นแกล้งจากฝีมือของคนเสื้อแดง กำลังจะกลับกลายเป็นเรื่องส่วนตัวที่เป็นเรื่องจริงอีกต่างหาก
ทั้งนี้ เรื่องของเรื่องเกิดขึ้นเมื่อปรากฏ หญิงนิรนามที่ใช้ไอจี หรือ อินสตาแกรม ว่า @ liekanok ออกมาเปิดเผยเรื่องราวดังกล่าว ซึ่งหลังมีข่าวออกมาทางด้านของกนกได้ออกมาปฏิเสธผ่านเฟซบุ๊กแล้วว่าเป็นภาพตัดต่อ และโดนแบบนี้มา 3 รอบแล้ว
วันที่ 5 ก.พ. 57 นายกนกได้โพสต์เฟซบุ๊กส่วนตัว "Kanok Ratwongsakul Fan Page” ว่า “ขอบคุณทุกท่านที่ส่งภาพตัดต่อผม จากเว็บเสื้อแดงมาเตือน บางคนเหมือนหวังดีเจตนาแอบแฝง โพสต์เผยแพร่เลย ผมก็ขอลบออกเพราะพวกมันใส่รูปของบุคคลอื่น เป็นรุ่นน้องวารสารฯมาด้วย เกรงจะส่งผลกระทบถึงน้องเค้า มันเคยทำแบบนี้ในอินสตาแกรม มา 2 เดือนแล้ว เป็นรูปผมนอน กับรูปนุ่งผ้าขาวม้า แต่มันตัดต่อเป็นผ้าขนหนูให้ดูเหมือนอยู่ในโรงแรม คราวนี้ตัดต่อเติมให้ดูเป็นผมกำลัง "ขัดอาวุธ" ^^ ซึ่งทำได้ห่วยมาก มันก็แก้เกี้ยวโดยแปะเซ็นเซอร์ ทำเป็นไม่ให้อนาจาร แต่ความจริงไม่ให้ดูร่องรอยความหยาบ”
ในครั้งนั้น นายกนกประกาศชัดเจนว่าเป็นภาพตัดต่อฝีมือของ “คนเสื้อแดง”
ต่อมาเมื่อวันที่ 1 เมษายน 2557 นายกนกก็ได้เผยแพร่ข้อความผ่านเฟซบุ๊ก Kanok Ratwongsakul Fan Page โดยตอกย้ำอีกครั้งวและตอนหนึ่งระบุว่า “เรื่องการเป็นสื่อ และจุดยืนในการต้านระบอบทักษิณ...ยังสู้ไม่มีถอยครับ บางทีผมยังคิดด้วยซ้ำว่า ถ้าผมไม่แสดง ตัวเป็นสื่อเลือกข้างในมวลมหาประชาชน ผมจะโดนเช่นนี้ไหม?”
นายกนกกำลังจะบอกว่าเหตุที่โดนถล่มก็เพราะความเป็น กปปส. กระทั่งนำมาซึ่งความเกลียดชังให้กับมวลชนของทั้งสองฝั่ง
ทว่า ต่อมาในภายหลังเรื่องมิได้เป็นอย่างที่นายกนกพยายามอธิบาย เพราะได้มีการนำคลิป “บอกรักเธอคนเดียว” ออกมามาเผยแพร่เพื่อยืนยันข้อเท็จจริง ซึ่งนายกนกยอมรับว่า เป็นเสียงของตนเอง
เรื่องจึงแปรเปลี่ยนกลับกลาย กระทั่งกระเทือนไปถึงภาพลักษณ์ของผู้สนับสนุน กปปส.ว่า ทำอะไรก็ไม่ผิด ซึ่งไม่ต่างจากคนเสื้อแดงที่เอะอะอะไรก็อ้างว่าเป็นฝีมืออำมาตย์ตลอด รวมถึงถูกต่อว่าต่อขานโดยถูกนำไปเปรียบเทียบกับกรณี ว.5โฟร์ซีชั่นส์หรือกรณีชายตู้เย็นที่สื่อขุดคุ้ยกันอย่างละเอียด
ทั้งนี้ นายกนกได้ออกมาอธิบายเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมดในงานสัปดาห์หนังสือแห่งชาติ โดยปฏิเสธว่าไม่มีนิสัยชอบโชว์ ช่วยตัวเองหรืออัดคลิป และยืนยันว่าภาพนิ่งตัดต่อไม่ใช่ตัวเอง พร้อมทั้งตอกย้ำว่าตนเองเที่ยวซุกซน ตามประสาผู้ชายอยู่แล้ว แต่อยู่ในขอบเขตที่ภรรยาซึ่งเป็นมะเร็งปากมดลูกรับรู้ดีมาตลอด ดังนั้นการมีข่าวเจ้าชู้จึงเป็นเรื่องปกติธรรมดาที่ภรรยารับรู้
ส่วนเรื่องคลิปบอกรักคุณคนเดียวเจ้าตัวรับครึ่งเดียวว่าคิดว่าเป็นตัวเองจริง หน้าคล้ายจริงแต่พูดตอนไหนจำไม่ได้และไม่แน่ใจว่าคือนางนกต่อที่มีผลมาจากการร่วมชุมนุมกับกลุ่ม กปปส.หรือไม่
“ไอ้คลิปที่บอกว่าผมรักคุณคนเดียว ผมว่ามันเป็นผมนะ ผมดูคลิปนี้หลายครั้งก็รู้สึกว่ามันเป็นผมนะ ก็ไม่แน่ใจเลยให้เมียดู ผมพยายามจะดูปากว่ามันตรงกับคำพูดมั้ย ซึ่งผมยอมรับว่ามันเหมือนผมมาก แต่ผมนึกไม่ออกว่าไปพูดไว้ตอนไหน ผมจำไม่ได้จริงๆ ผมพยายามดูหน้าแบบแฟร์ๆ เลยนะ มันก็เหมือนเรามาก แล้วมันก็เหมือนเรานอนด้วยนะ เหมือนอยู่อาการเบลอๆ เมาๆ อะไรสักอย่าง แต่ตัวผมเองก็ไม่ใช่คนที่ดื่มเหล้านะ จะบอกว่าผมเมาแล้วไปเที่ยวผู้หญิง แล้วไปบอกรักกับหมอนวด ผมว่าตัวผมก็ไม่ใช่คนดื่มเหล้า”
ก็ต้องถือว่านายกนกแก้เกมเป็น แม้จะแก้ตัวแบบปลาไหลแต่ก็ชักฟืนออกจากไฟมาจบที่ประเด็นส่วนตัวในที่สุด ซึ่งประเด็นส่วนตัวของนายกนกถ้าไม่กลายเป็นคดีความกันก็คงจะจบลงที่สองฝ่ายคุยกัน คงไม่มีสื่อไหนจะติดตาม แต่การแฉกันในโลกโซเชียลก็คงจะเป็นอะไรที่ควบคุมลำบาก แล้วแต่เวรแต่กรรม และอยู่ที่ตัวนายกนกเองว่าสามารถทำให้คู่กรณียอมจบเรื่องได้หรือไม่ หรือจะบีบให้เกิดการดับเครื่องชน ซึ่งก็คงจะไม่เป็นคุณแก่ใคร
แน่นอน ทุกคนย่อมพลาดกันได้ ไม่มีใครอยากให้เป็นประเด็น แต่บางครั้งเรื่องของอีโก้และศักดิ์ศรีก็มีสิทธิ์ถึงขั้นหยกศิลาล้วนแหลกลาญไม่ขอเป็นกระเบื้องสมบูรณ์ แบบสำนวนในนิยายจีนกำลังภายใน
3 เมษายน 2557 หลังเดินทางไปแจ้งความดำเนินคดีที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยี นายกนกได้ตัดสินใจครั้งสำคัญโดยประกาศว่า “จากข่าวผมที่ออกมาประมาณ 2 อาทิตย์แล้วสิ่งที่ผมเห็นว่ามันมีผลกระทบเด่นชัดคือมันส่งผลกระทบต่อวิชาชีพสื่อมวลชนที่ผมทำอยู่ ไม่ว่าจะองค์กรของผมคือเนชั่น หรือว่าองค์กรอื่นๆ ผมคิดว่ามันมีผลกระทบมาถึงภาพลักษณ์ของอาชีพสื่อมวลชน วันนี้ผมเลยจะออกมาแสดงความรับผิดชอบถึงผลกระทบที่มันส่งถึงอาชีพสื่อมวลชน ผมจะขอหยุดทำหน้าที่ 1 เดือน ไม่ได้หมายว่าผมรับว่าผมไปทำอะไรผู้หญิงคนนั้นนะ”
“ผมยังเชื่อว่าเป็นกลุ่มที่ดิสเครดิตผม แต่ที่ผมหยุดทำหน้าที่1เดือน ผมเห็นว่ามันแปดเปื้อนต่อวิชาชีพ ผมก็ถือว่าผมกันออกมาจากสื่อมวลชนในช่วงนี้โดยการหยุดทำหน้าที่ แล้วเนชั่นก็จะตั้งคณะกรรมการสอบข้อเท็จจริง ก็เข้าใจว่าทางเนชั่นจะรู้ผลในอีก 1 เดือนนี้ที่ผมหยุดทำหน้าที่เช่นกัน”
งานนี้ คงต้องติดตามกันต่อไปว่า เรื่องของนายกนกจะจบลงอย่างไร