ขนาดว่าประชาชนออกมาขับไล่ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร หลายล้านคน ก็ยังเอายิ่งลักษณ์ ลงจากตำแหน่งไม่ได้ แถมตัวช่วยการเมืองสำคัญทุกยุคสมัยอย่างกองทัพ แม้ไม่ได้เปิดตัวยืนข้างฝ่ายตรงข้ามระบอบทักษิณ แต่ก็เห็นได้ชัดว่า ผู้นำกองทัพอย่าง พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ก็ไม่ได้เกื้อหนุนรัฐบาลอย่างที่ควรจะเป็น รัฐบาลก็ยังดำรงอยู่ได้แม้จะง่อนแง่น
แต่ สิ่งที่ระบอบทักษิณ คุมไม่ได้เลย และตกเป็นรองเสมอ แพ้แทบทุกกระดาน ก็คือ “องค์กรอิสระ”รวมถึงองค์กรศาลบางองค์กร อย่าง “ศาลปกครอง”
เอาแค่รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่ายระบอบทักษิณ โดนองค์กรอิสระ ฟาดเข้าใส่ สองเรื่องสำคัญติดกัน คือ กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ลงมติชี้มูลความผิด นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ที่แนบแน่นยิ่งนักกับเครือข่ายระบอบทักษิณ จากผลพวงเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เรื่องที่มาส.ว. จนทำให้ต้องหลุดจากเก้าอี้รักษาการประธานวุฒิสภาไปเรียบร้อยแล้ว
และล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กับมติตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 ต่อ 3 ให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็น โมฆะ ทำเอา รัฐบาล เพื่อไทยแค้นกันทั้งพรรค เมื่อโดนองค์กรอิสระ ทั้งนวด ทั้งทุบ จนระบมขนาดนี้ ระบอบทักษิณแถมดูแล้ว ช่วงปลายเดือนนี้ไปจนถึงกลางเดือนเมษายน มีสิทธิ์เจอระเบิดอีกหลายลูกให้รัฐบาลเพื่อไทยและเครือข่ายระบอบทักษิณ แหลกลาญทางการเมือง
นับแต่นี้พวกแกนนำเสื้อแดงทั้งหลาย จะมีราคาค่างวดทางการเมืองมากขึ้น เพราะมีข่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยเห็นพ้องตามข้อเสนอของ อดีต ส.ส.เพื่อไทยหลายสิบคน ที่สะท้อนกลางที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยเมื่อ 20 มีนาคม ที่มีอดีต ส.ส.เพื่อไทย ทั้งสายนปช.-อดีตส.ส.ภาคอีสาน –เหนือ- กลาง โวยวายกลางที่ประชุม
ว่าพรรคเพื่อไทยอย่ามัวแต่หงอ รอให้องค์กรอิสระไล่ทุบแบบนี้ หากไม่คิดทำอะไรสักอย่างก็ต้องโดนไล่ต้อนร่ำไป อดีต ส.ส.หลายคน ต่างบอก ถึงเวลาที่พรรคต้องลุกขึ้นสู้ได้แล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อเอาคืน บางรายก็เสนอให้ใช้วิธีลุยแจ้งความดำเนินคดีพวกองค์กรอิสระให้หมด องค์กรไหน มาจัดการกับฝ่ายรัฐบาล ก็ให้ส่งคนไปแจ้งความดำเนินคดีอาญา ฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
หรือไม่ก็ล่าชื่อประชาชนถอดถอน หากเป็นไปได้ก็ต้องแถลงตอบโต้ ไม่ยอมรับอำนาจองค์กรอิสระทุกครั้งไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ
เสียงสะท้อนออกมาว่า เห็นด้วยกับการให้พรรคต้องเปิดหน้าชนกับองค์กรอิสระแบบเต็มตัว จนเป็นที่มาของแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ว่า องค์กรอิสระร่วมมือกับกลุ่มการเมืองต่างๆ เพื่อล้มการเลือกตั้งในลักษณะสมคบคิด และการสั่งให้สมาชิกพรรคแต่งชุดดำ ในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี ในวันที่ 25 มีนาคม เพื่อไว้ทุกข์ให้ 6 ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก ที่วินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ รวมถึงน่าจะมีการเคลื่อนไหวออกมาอีกหลายส่วน
กระนั้น การที่จะให้พรรคเพื่อไทย ออกมาชนกับองค์กรอิสระแบบซึ่งๆ หน้า ก็ย่อมไม่เป็นผลดี เพราะมันจะส่งผลถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปด้วย วิธีการที่ดีที่สุด ก็คือการให้ เสื้อแดง เป็นฝ่ายนำ จึงเห็นได้ทันทีว่า เป้าหมายการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเวลานี้ เข็มทิศมุ่งไปที่องค์กรอิสระเป็นหลักเพียงอย่างเดียวแล้ว
เพราะ เพื่อไทย-รัฐบาล-นปช. เห็นพ้องกันแล้วว่า ประชาธิปัตย์-กปปส.-กองทัพ ไม่ใช่ คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวของฝั่งตัวเองเลย แต่คือองค์กรอิสระ มากกว่า การดับเครื่องชนองค์กรอิสระของเสื้อแดง และพ่วงชน กปปส.-สุเทพ เทือกสุบรรณ-พรรคประชาธิปัตย์-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ไปในคราวเดียวกัน จึงเป็นการเคลื่อนไหวที่ต้องจับตานับแต่นี้
เชื่อว่า นัดหมายที่แกนนำ นปช. ปราะกาศไว้ในการชุมนุมใหญ่ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มี.ค. ที่ลานเขาตาโล พัทยาใต้ จ.ชลบุรี ซึ่ง จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ประกาศให้เสื้อแดงทั่วประเทศเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ให้สอดคล้องกับพรรคเพื่อไทย คือ ให้คนเสื้อแดงแต่งชุดดำ ตั้งแต่ 24 มีนาคม จนถึงวันที่ 30 มีนาคม เป็นเวลา 7วัน เพื่อไว้อาลัยต่อองค์กรอิสระที่อยู่ภายใต้ระบบอำมาตยาธิปไตย
รวมถึงประกาศให้คนเสื้อแดง รอฟังสัญญาณจากแกนนำ นปช. ที่จะเคลื่อนไหวใหญ่ต่อจากนี้โดยเบื้องต้นเคาะไว้ว่า 5 เมษายน จะนัดเคลื่อนพลใหญ่ทั้งประเทศ พร้อมกันหลายชุดภายใต้การเคลื่อนไหวที่ชูธงชัดเจนว่า สู้กับ องค์กรอิสระ และอำมาตยาธิปไตย
จับทางได้ว่า เสื้อแดงเอาจริงแน่ แต่ยังรอประเมินทิศทางอะไรบางอย่างอยู่ เพื่อไม่ให้เพลี่ยงพล้ำกันไปหมดทั้ง เสื้อแดง-รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะการยกพลเข้ากรุงเทพฯ เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดเหตุรุนแรงที่ย่อมไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล จึงแค่นัดหมายกันไว้เท่านั้น แต่ยังไม่บอกเป้าหมายเพื่อรอประเมินสถานการณ์อีกทีในช่วง1-4 เมษายน
เหตุที่ นปช. ดีเดย์เบื้องต้นจะนัดชุมนุมใหญ่ช่วงต้นเดือนเมษายน ก็เพราะเชื่อว่าช่วงดังกล่ว ป.ป.ช. จะมีการลงมติชี้มูลคดีสำคัญสองคดี คือคดีรับจำนำข้าวเพื่อเอาผิดกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคดีแก้ไขรธน. เพื่อเอาผิดกับ 308 ส.ส.-ส.ว. เพื่อส่งเรื่องไปให้วุฒิสภาลงมติถอดถอน และส่งไปอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา จึงออกมาประกาศนัดหมายเพื่อระดมพลต้องการข่มขวัญองค์กรอิสระ และสำแดงพลังจะปกป้องรัฐบาลนั่นเอง
ขณะที่ฝั่งตรงข้าม คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ และกปปส. ก็นัดชุมนุมใหญ่เช่นกัน ในวันเสาร์ที่ 29 มีนาคม แต่ตลอดช่วงสัปดาห์นี้ สุเทพ และแกนนำ ก็จะมีการเดินรณรงค์เชิญชวนประชาชนในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับกปปส. กันตลอดสัปดาห์ ขณะที่เป้าหมาย ก็ยังคงเดิมคือ ขับไล่ยิ่งลักษณ์ และคงถือโอกาสหยั่งกระแสประชาชนว่า การที่กปปส. จะยังคงชูธงต้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
รวมถึงหาก กปปส.จะขวางการเลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไร หากกระแสตอบรับว่า ควรปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งมีมาก และมีมวลชนมาร่วมชุมนุมใหญ่ 29 มีนาคม กันมาก ก็น่าจะเป็นแรงกดดันต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในการส่งคนลงเลือกตั้งแน่นอน
ประชาธิปัตย์เริ่มเสียงแตก เพราะก็เริ่มมีแกนนำพรรคบางส่วนออกมาบอกว่า พรรคควรต้องส่งคนลงเลือกตั้ง
สถานการณ์รุกประชิดของนปช. และ กปปส. ต่อจากนี้จะนำพาประเทศไปสู่จุดไหน จะถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองหรือไม่ ณ เวลานี้ดูแล้ว ยังไม่น่ารุนแรงถึงขั้นนั้น แต่ก็ประมาทไม่ได้
แต่ สิ่งที่ระบอบทักษิณ คุมไม่ได้เลย และตกเป็นรองเสมอ แพ้แทบทุกกระดาน ก็คือ “องค์กรอิสระ”รวมถึงองค์กรศาลบางองค์กร อย่าง “ศาลปกครอง”
เอาแค่รอบสัปดาห์ที่ผ่านมา เครือข่ายระบอบทักษิณ โดนองค์กรอิสระ ฟาดเข้าใส่ สองเรื่องสำคัญติดกัน คือ กรณีคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ที่ลงมติชี้มูลความผิด นิคม ไวยรัชพานิช อดีตประธานวุฒิสภา ที่แนบแน่นยิ่งนักกับเครือข่ายระบอบทักษิณ จากผลพวงเรื่องร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา เรื่องที่มาส.ว. จนทำให้ต้องหลุดจากเก้าอี้รักษาการประธานวุฒิสภาไปเรียบร้อยแล้ว
และล่าสุดเมื่อปลายสัปดาห์ที่ผ่านมา กับมติตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ 6 ต่อ 3 ให้การเลือกตั้ง 2 กุมภาพันธ์ 2557 เป็น โมฆะ ทำเอา รัฐบาล เพื่อไทยแค้นกันทั้งพรรค เมื่อโดนองค์กรอิสระ ทั้งนวด ทั้งทุบ จนระบมขนาดนี้ ระบอบทักษิณแถมดูแล้ว ช่วงปลายเดือนนี้ไปจนถึงกลางเดือนเมษายน มีสิทธิ์เจอระเบิดอีกหลายลูกให้รัฐบาลเพื่อไทยและเครือข่ายระบอบทักษิณ แหลกลาญทางการเมือง
นับแต่นี้พวกแกนนำเสื้อแดงทั้งหลาย จะมีราคาค่างวดทางการเมืองมากขึ้น เพราะมีข่าวว่า แกนนำพรรคเพื่อไทยเห็นพ้องตามข้อเสนอของ อดีต ส.ส.เพื่อไทยหลายสิบคน ที่สะท้อนกลางที่ประชุมใหญ่พรรคเพื่อไทยเมื่อ 20 มีนาคม ที่มีอดีต ส.ส.เพื่อไทย ทั้งสายนปช.-อดีตส.ส.ภาคอีสาน –เหนือ- กลาง โวยวายกลางที่ประชุม
ว่าพรรคเพื่อไทยอย่ามัวแต่หงอ รอให้องค์กรอิสระไล่ทุบแบบนี้ หากไม่คิดทำอะไรสักอย่างก็ต้องโดนไล่ต้อนร่ำไป อดีต ส.ส.หลายคน ต่างบอก ถึงเวลาที่พรรคต้องลุกขึ้นสู้ได้แล้ว ต้องทำอะไรสักอย่าง เพื่อเอาคืน บางรายก็เสนอให้ใช้วิธีลุยแจ้งความดำเนินคดีพวกองค์กรอิสระให้หมด องค์กรไหน มาจัดการกับฝ่ายรัฐบาล ก็ให้ส่งคนไปแจ้งความดำเนินคดีอาญา ฐานใช้อำนาจหน้าที่โดยมิชอบ
หรือไม่ก็ล่าชื่อประชาชนถอดถอน หากเป็นไปได้ก็ต้องแถลงตอบโต้ ไม่ยอมรับอำนาจองค์กรอิสระทุกครั้งไปเลย ไม่ต้องเกรงใจ
เสียงสะท้อนออกมาว่า เห็นด้วยกับการให้พรรคต้องเปิดหน้าชนกับองค์กรอิสระแบบเต็มตัว จนเป็นที่มาของแถลงการณ์พรรคเพื่อไทย หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ ว่า องค์กรอิสระร่วมมือกับกลุ่มการเมืองต่างๆ เพื่อล้มการเลือกตั้งในลักษณะสมคบคิด และการสั่งให้สมาชิกพรรคแต่งชุดดำ ในวันประชุมใหญ่สามัญประจำปี ในวันที่ 25 มีนาคม เพื่อไว้ทุกข์ให้ 6 ตุลาการ ศาลรัฐธรรมนูญเสียงข้างมาก ที่วินิจฉัยให้การเลือกตั้งเป็นโมฆะ รวมถึงน่าจะมีการเคลื่อนไหวออกมาอีกหลายส่วน
กระนั้น การที่จะให้พรรคเพื่อไทย ออกมาชนกับองค์กรอิสระแบบซึ่งๆ หน้า ก็ย่อมไม่เป็นผลดี เพราะมันจะส่งผลถึงรัฐบาลยิ่งลักษณ์ไปด้วย วิธีการที่ดีที่สุด ก็คือการให้ เสื้อแดง เป็นฝ่ายนำ จึงเห็นได้ทันทีว่า เป้าหมายการเคลื่อนไหวของเสื้อแดงเวลานี้ เข็มทิศมุ่งไปที่องค์กรอิสระเป็นหลักเพียงอย่างเดียวแล้ว
เพราะ เพื่อไทย-รัฐบาล-นปช. เห็นพ้องกันแล้วว่า ประชาธิปัตย์-กปปส.-กองทัพ ไม่ใช่ คู่ต่อสู้ที่น่ากลัวของฝั่งตัวเองเลย แต่คือองค์กรอิสระ มากกว่า การดับเครื่องชนองค์กรอิสระของเสื้อแดง และพ่วงชน กปปส.-สุเทพ เทือกสุบรรณ-พรรคประชาธิปัตย์-พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. ไปในคราวเดียวกัน จึงเป็นการเคลื่อนไหวที่ต้องจับตานับแต่นี้
เชื่อว่า นัดหมายที่แกนนำ นปช. ปราะกาศไว้ในการชุมนุมใหญ่ เมื่อวันเสาร์ที่ 22 มี.ค. ที่ลานเขาตาโล พัทยาใต้ จ.ชลบุรี ซึ่ง จตุพร พรหมพันธุ์ ประธาน นปช. ประกาศให้เสื้อแดงทั่วประเทศเคลื่อนไหวเชิงสัญลักษณ์ให้สอดคล้องกับพรรคเพื่อไทย คือ ให้คนเสื้อแดงแต่งชุดดำ ตั้งแต่ 24 มีนาคม จนถึงวันที่ 30 มีนาคม เป็นเวลา 7วัน เพื่อไว้อาลัยต่อองค์กรอิสระที่อยู่ภายใต้ระบบอำมาตยาธิปไตย
รวมถึงประกาศให้คนเสื้อแดง รอฟังสัญญาณจากแกนนำ นปช. ที่จะเคลื่อนไหวใหญ่ต่อจากนี้โดยเบื้องต้นเคาะไว้ว่า 5 เมษายน จะนัดเคลื่อนพลใหญ่ทั้งประเทศ พร้อมกันหลายชุดภายใต้การเคลื่อนไหวที่ชูธงชัดเจนว่า สู้กับ องค์กรอิสระ และอำมาตยาธิปไตย
จับทางได้ว่า เสื้อแดงเอาจริงแน่ แต่ยังรอประเมินทิศทางอะไรบางอย่างอยู่ เพื่อไม่ให้เพลี่ยงพล้ำกันไปหมดทั้ง เสื้อแดง-รัฐบาล และพรรคเพื่อไทยโดยเฉพาะการยกพลเข้ากรุงเทพฯ เพราะอาจเสี่ยงทำให้เกิดเหตุรุนแรงที่ย่อมไม่เป็นผลดีกับรัฐบาล จึงแค่นัดหมายกันไว้เท่านั้น แต่ยังไม่บอกเป้าหมายเพื่อรอประเมินสถานการณ์อีกทีในช่วง1-4 เมษายน
เหตุที่ นปช. ดีเดย์เบื้องต้นจะนัดชุมนุมใหญ่ช่วงต้นเดือนเมษายน ก็เพราะเชื่อว่าช่วงดังกล่ว ป.ป.ช. จะมีการลงมติชี้มูลคดีสำคัญสองคดี คือคดีรับจำนำข้าวเพื่อเอาผิดกับ ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และคดีแก้ไขรธน. เพื่อเอาผิดกับ 308 ส.ส.-ส.ว. เพื่อส่งเรื่องไปให้วุฒิสภาลงมติถอดถอน และส่งไปอัยการสูงสุด เพื่อดำเนินคดีอาญา จึงออกมาประกาศนัดหมายเพื่อระดมพลต้องการข่มขวัญองค์กรอิสระ และสำแดงพลังจะปกป้องรัฐบาลนั่นเอง
ขณะที่ฝั่งตรงข้าม คือ สุเทพ เทือกสุบรรณ และกปปส. ก็นัดชุมนุมใหญ่เช่นกัน ในวันเสาร์ที่ 29 มีนาคม แต่ตลอดช่วงสัปดาห์นี้ สุเทพ และแกนนำ ก็จะมีการเดินรณรงค์เชิญชวนประชาชนในกรุงเทพมหานคร เพื่อให้ออกมาร่วมเคลื่อนไหวกับกปปส. กันตลอดสัปดาห์ ขณะที่เป้าหมาย ก็ยังคงเดิมคือ ขับไล่ยิ่งลักษณ์ และคงถือโอกาสหยั่งกระแสประชาชนว่า การที่กปปส. จะยังคงชูธงต้องปฏิรูปก่อนการเลือกตั้ง
รวมถึงหาก กปปส.จะขวางการเลือกตั้งอีกครั้งในการเลือกตั้งใหม่ ประชาชนเห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วย อย่างไร หากกระแสตอบรับว่า ควรปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งมีมาก และมีมวลชนมาร่วมชุมนุมใหญ่ 29 มีนาคม กันมาก ก็น่าจะเป็นแรงกดดันต่อพรรคประชาธิปัตย์ ในการส่งคนลงเลือกตั้งแน่นอน
ประชาธิปัตย์เริ่มเสียงแตก เพราะก็เริ่มมีแกนนำพรรคบางส่วนออกมาบอกว่า พรรคควรต้องส่งคนลงเลือกตั้ง
สถานการณ์รุกประชิดของนปช. และ กปปส. ต่อจากนี้จะนำพาประเทศไปสู่จุดไหน จะถึงขั้นเกิดสงครามกลางเมืองหรือไม่ ณ เวลานี้ดูแล้ว ยังไม่น่ารุนแรงถึงขั้นนั้น แต่ก็ประมาทไม่ได้
