**ดื้อด้านอยู่มานานจนคนเหม็นขี้หน้า ในที่สุดก็ถึงคราวต้องอับเปหิตัวเองด้วยจำนนกับสภาพความเป็นจริงที่เกิดขี้น สำหรับศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) หรือศูนย์รวมสัตว์ของ “ขี้ข้าเหลิม” ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รมว.แรงงาน ในฐานะผู้อำนวยการใหญ่ที่รัฐบาลทรราชสั่งให้รูดม่านเก็บฉากเข้าหลังโรงลิเกได้แล้ว
หมดเวลาอยู่ขวางหูขวางตาแบบไร้ประโยชน์ ชนิด “ความเลวมากมี ความดีไม่เคยปรากฏ”อยู่ไปก็รกสังคม สิ้นเปลืองงบประมาณเงินภาษีอากรประชาชน
ก่อนหน้านี้โดนตั้งข้อสงสัยตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัวมาเป็น ศรส. จากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วว่า เนรมิตขึ้นมาทำหอกพระแสงอันใดเพราะสถานการณ์ในประเทศไทยไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นจะต้องงัดกฎหมายติดดาบมาปราบประชาชน มีแต่รัฐบาลทรราชเท่านั้นที่อยู่ในภาวะฉุกเฉิน ใกล้จะจมน้ำตาย
เหลือบดูไป ศรส.ไม่เคยทำอะไรให้สังคมปลาบปลื้ม นอกจากทุบโต๊ะหลอกตำรวจให้คว้าปืนไปเข่นฆ่าประชาชนที่มาชุมนุมจนทั้งตำรวจและประชาชนต่างล้มตายระเนระนาด แต่พวกนักการเมืองขี้ฉ้อเหล่านี้กลับนั่งแช่เย็นกันอยู่ในห้องแอร์ แบบสบายใจเฉิบ ไม่มีเจ็บไม่มีตายสักคน
กระทั่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาออกมา 9 ข้อ สั่งห้าม ศรส.ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพผู้ชุมนุม กปปส. จนกลายเป็นเป็ดง่อย กระดิกตัวอะไรไม่ได้ ลูกอีช่างดื้อก็ไม่เคยจะสำเหนียก กลับยังนั่งเฉื่อยแฉะประชุมมันต่อโดยไม่รู้อุณหภูมิร้อนหนาว
**แถมยังปากสุนัขประชดประชันศาลว่า ออกคำสั่งแบบนี้ให้ยุบไปเลยเสียดีกว่ามั้ยเพ่ !!!
เก่งกะหมา กล้ากะเด็กไม่พอ ปากยังเก่งอีกด้วย แต่ถ้าถึงเวลาเอาจริงก็จ๋อย ก็เผ่น แต่วันนี้น่าแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมยังยื้อนั่งเก้าอี้กันไปเรื่อยๆเหมือนกับหวังประโยชน์อะไรแอบแฝง แว่วว่ากำลังเกลี่ยงบประมาณก้อนสุดท้ายกันอยู่หรือไม่ !!
สถานภาพ ศรส. ในช่วงโดนศาลแพ่งจำกัดพื้นที่ไม่ให้ไปกร่างที่ไหนแทบไม่มีงานอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ละวันนั่งเหมือนผลาญงบฆ่าเวลา เช้ามาประชุม ตกเที่ยงๆ กินข้าวกินปลากันเสร็จก็เผ่นกลับ ไม่เห็นจะมีมาตรการอะไร ดูจะทำให้สถานการณ์มันคลี่คลาย มีแต่ซ้ำเติมให้แย่ลงทุกวัน
**“เป็ดเหลิม”เป็นผู้อำนวยการแท้ๆ แต่หลังยาวเข้าประชุมก็สาย ต้องเอ้อระเหยลอยชายยืนฝอยน้ำลาย ด่าม็อบ ด่าองค์กรอิสระ ก่อนกว่าจะเข้าไปรายงานตัวในห้องประชุม ตกบ่ายอ่อนๆ ไม่ยกขบวนกันกลับบ้านริมคลองจบภารกิจ ก็นัดสุมหัวเดอะแก๊ง อย่าง “บิ๊กย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร. และ “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ก๊งไวน์ สบายอุรา
ส่วน “อ้ายปึ้ง”นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ขยันมามาเช้า แต่ไม่เคยสร้างคุณูปการอะไรให้แผ่นดิน มีแต่มาตะโกนเย้วๆ จะเอาต่างประเทศมาล้อมไทยอย่างเดียว เดี๋ยวทูตบ้าง เดี๋ยวบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) บ้าง เป็นประเภทเด็กงอแง เที่ยวฟ้องเขาไปทั่ว ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน
เช่นเดียวกับ “ริดสีดวง”นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กิ้งก่าพันธุ์ไทยที่เปลี่ยนสีตามง่ามตูด ได้ใจนายด้วยสไตล์ถึงไหนถึงกัน เขาใช้ให้ทำอะไรก็ทำหมด ออกมาแถลงเย้วๆ ทุกวัน ทั้งขู่ทั้งบีบ ฟังเรื่อยๆระยะหลังนึกว่าเสียงผายลม ไม่น่าเชื่อถือ แถมยังเหม็นเน่า !!
ขณะที่ “บิ๊กข้าวกล่อง”พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติ ศรส. แรกๆ ออกทะเลกู่ไม่กลับ ระยะหลังเหมือนรู้เช่นเห็นชาติมากขึ้น เริ่มปลีกตัวออกมาไกลแล้วค่อยๆ โลว์โปรไฟล์ตัวเองลงด้วย เพราะทนไม่ไหวที่เห็นนักการเมืองขี้ฉ้อ กดรีโมตสั่งลูกน้องตัวเองไปตาย
สำหรับหัวข้อการประชุมแต่ละวัน จับทางที่ “ริดสีดวง”แถลงถ่ายทอดสด ลูบคลำสาระแทบไม่เจอ มีแต่ตอบโต้ทางการเมือง เสมือนตั้งขึ้นมาเป็นศูนย์มาเฟียไว้สุมหัวกำจัดม็อบ กปปส.
จากตอนแรกที่ตั้งศรส.ขึ้นมา เพื่อคิดจะเป็นเสือ เหมือนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยุค “กำนันเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สุดท้ายก็แค่แมวเชื่องๆ จับหนูไม่เป็น เมื่อดำรงอยู่ก็เหมือนศูนย์ร้าง เลยต้องยุบทิ้งให้พ้นไป อยู่ต่อเปลืองงบฯแถมโดนชาวบ้านด่า
แต่ก็ใช่ว่า ศรส. ยุบตัวแล้วจะจบๆ กันไป ในเมื่อความผิดสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคดีอาญาที่ “นรก.ปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “ขี้ข้าเหลิม”เตรียมตัวหอบสังขารกันไปขึ้นโรงขึ้นศาล ในข้อหาฆ่าคนตายหลังสถานการณ์สงบ
หรือกับกรณีที่ คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ไม่เปิดไฟเขียวงบประมาณ 2,309 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายของ ศรส. ในช่วงระหว่างวันที่ 22 มกราคม - 22 มีนาคม 2557 เนื่องจากสิ่งที่ ศรส. เสนอมาไม่มีรายละเอียดแจกแจงมาเลยว่า ตัวเลขดังกล่าวมาจากไหน อย่างไร สักแต่ว่าปั้นกันมากลมๆ จนกกต.ต้องเรียก “ขี้ข้าเหลิม”มาอธิบายในวันที่ 27 มี.ค. 57
หากอธิบายได้ก็รอดตัว แต่หากดำน้ำออกลูกมั่ว อาจซวยถึงการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเรื่องข้อจำกัดของความเป็นรัฐบาลรักษาการ ที่อาจจะกระทำผิดรัฐธรรมนูญได้
ว่าด้วยเรื่องงบประมาณ ศรส. ก้อนโต ที่ขออนุมัติจาก กกต. ดูเป็นเงินมหาศาล แต่กลับสวนทางกับความเป็นจริง โดยเฉพาะประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของงบดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 หมื่นกว่านาย ที่มาประจำการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คิดต่อหัว ได้ค่าเบี้ยเลี้ยงวันละ 700 บาท ค่าข้าววันละ 300 บาท เหลือเข้ากระเป๋าจริงๆ 400 บาท อยู่กันมาแล้ว 60 วัน คูณกันเข้าไปมันก็พอใกล้เคียงตัวเลขดังกล่าว
**เหลือบไปดูความเป็นอยู่ของนักการเมืองกินฉ้อใน ศรส. ที่เอามาปรนเปรอกันยิ่งน่าสงสัย อาหารมื้อกลางวันระดับเฟิร์สคลาส กินอิ่ม กินหรู หนังท้องตึง ในขณะที่ลูกน้องนั่งซัดข้าวกล่อง มื้อละ 100 บาท
** แว่วว่า บางวันบางคืนยังมีคนเห็นนั่งซดไวน์กันระรื่นลั่นห้อง ไม่รู้เงินเหล่านี้มันเป็นกองงบประมาณก้อนที่ขออนุมัติจาก กกต.ด้วยหรือไม่
เรียกว่า ในช่วงวิกฤติการณ์การเมืองรุมเร้า ใครจะสุข ใครจะเศร้า ไม่รู้ แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของ ศรส. อิ่มหนำสำราญไม่อดอยาก แถมปากมันแผลบทุกคน ต้องรอดูถึงวันจริงที่ต้องแจกแจง กกต. ว่าจะปั้นรายละเอียดกันออกมาได้แค่ไหน แต่หากคิดจะทำตัวเป็นโจรปล้นธนาคารแบ่งทรัพย์กันเสร็จแล้วคิดจะหนีนั้นคงยาก ไม่มีใครยอมให้ทำอัปยศอย่างนั้นแน่ ไม่ว่าจะเป็น กกต. หรือ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) หากเห็นว่า ไม่ชอบมาพากล มิวายโดนสอยล่วง
**คิดจะเขมือบแล้วหนีมุกนี้ปิดประตูได้เลย ใช้งบไม่คุ้มค่า แล้วยังเสือกจะโกง!!!
หมดเวลาอยู่ขวางหูขวางตาแบบไร้ประโยชน์ ชนิด “ความเลวมากมี ความดีไม่เคยปรากฏ”อยู่ไปก็รกสังคม สิ้นเปลืองงบประมาณเงินภาษีอากรประชาชน
ก่อนหน้านี้โดนตั้งข้อสงสัยตั้งแต่ก่อร่างสร้างตัวมาเป็น ศรส. จากการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน แล้วว่า เนรมิตขึ้นมาทำหอกพระแสงอันใดเพราะสถานการณ์ในประเทศไทยไม่ได้เลวร้ายถึงขั้นจะต้องงัดกฎหมายติดดาบมาปราบประชาชน มีแต่รัฐบาลทรราชเท่านั้นที่อยู่ในภาวะฉุกเฉิน ใกล้จะจมน้ำตาย
เหลือบดูไป ศรส.ไม่เคยทำอะไรให้สังคมปลาบปลื้ม นอกจากทุบโต๊ะหลอกตำรวจให้คว้าปืนไปเข่นฆ่าประชาชนที่มาชุมนุมจนทั้งตำรวจและประชาชนต่างล้มตายระเนระนาด แต่พวกนักการเมืองขี้ฉ้อเหล่านี้กลับนั่งแช่เย็นกันอยู่ในห้องแอร์ แบบสบายใจเฉิบ ไม่มีเจ็บไม่มีตายสักคน
กระทั่งศาลแพ่งมีคำพิพากษาออกมา 9 ข้อ สั่งห้าม ศรส.ไปลิดรอนสิทธิเสรีภาพผู้ชุมนุม กปปส. จนกลายเป็นเป็ดง่อย กระดิกตัวอะไรไม่ได้ ลูกอีช่างดื้อก็ไม่เคยจะสำเหนียก กลับยังนั่งเฉื่อยแฉะประชุมมันต่อโดยไม่รู้อุณหภูมิร้อนหนาว
**แถมยังปากสุนัขประชดประชันศาลว่า ออกคำสั่งแบบนี้ให้ยุบไปเลยเสียดีกว่ามั้ยเพ่ !!!
เก่งกะหมา กล้ากะเด็กไม่พอ ปากยังเก่งอีกด้วย แต่ถ้าถึงเวลาเอาจริงก็จ๋อย ก็เผ่น แต่วันนี้น่าแปลกใจนิดหน่อยว่าทำไมยังยื้อนั่งเก้าอี้กันไปเรื่อยๆเหมือนกับหวังประโยชน์อะไรแอบแฝง แว่วว่ากำลังเกลี่ยงบประมาณก้อนสุดท้ายกันอยู่หรือไม่ !!
สถานภาพ ศรส. ในช่วงโดนศาลแพ่งจำกัดพื้นที่ไม่ให้ไปกร่างที่ไหนแทบไม่มีงานอะไรทำเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ละวันนั่งเหมือนผลาญงบฆ่าเวลา เช้ามาประชุม ตกเที่ยงๆ กินข้าวกินปลากันเสร็จก็เผ่นกลับ ไม่เห็นจะมีมาตรการอะไร ดูจะทำให้สถานการณ์มันคลี่คลาย มีแต่ซ้ำเติมให้แย่ลงทุกวัน
**“เป็ดเหลิม”เป็นผู้อำนวยการแท้ๆ แต่หลังยาวเข้าประชุมก็สาย ต้องเอ้อระเหยลอยชายยืนฝอยน้ำลาย ด่าม็อบ ด่าองค์กรอิสระ ก่อนกว่าจะเข้าไปรายงานตัวในห้องประชุม ตกบ่ายอ่อนๆ ไม่ยกขบวนกันกลับบ้านริมคลองจบภารกิจ ก็นัดสุมหัวเดอะแก๊ง อย่าง “บิ๊กย้อย” พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รองผบ.ตร. และ “บิ๊กแจ๊ด” พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. ก๊งไวน์ สบายอุรา
ส่วน “อ้ายปึ้ง”นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ ในฐานะประธานที่ปรึกษา ขยันมามาเช้า แต่ไม่เคยสร้างคุณูปการอะไรให้แผ่นดิน มีแต่มาตะโกนเย้วๆ จะเอาต่างประเทศมาล้อมไทยอย่างเดียว เดี๋ยวทูตบ้าง เดี๋ยวบัน คี มุน เลขาธิการสหประชาชาติ (ยูเอ็น) บ้าง เป็นประเภทเด็กงอแง เที่ยวฟ้องเขาไปทั่ว ชักน้ำเข้าลึกชักศึกเข้าบ้าน
เช่นเดียวกับ “ริดสีดวง”นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) กิ้งก่าพันธุ์ไทยที่เปลี่ยนสีตามง่ามตูด ได้ใจนายด้วยสไตล์ถึงไหนถึงกัน เขาใช้ให้ทำอะไรก็ทำหมด ออกมาแถลงเย้วๆ ทุกวัน ทั้งขู่ทั้งบีบ ฟังเรื่อยๆระยะหลังนึกว่าเสียงผายลม ไม่น่าเชื่อถือ แถมยังเหม็นเน่า !!
ขณะที่ “บิ๊กข้าวกล่อง”พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ในฐานะหัวหน้าฝ่ายปฏิบัติ ศรส. แรกๆ ออกทะเลกู่ไม่กลับ ระยะหลังเหมือนรู้เช่นเห็นชาติมากขึ้น เริ่มปลีกตัวออกมาไกลแล้วค่อยๆ โลว์โปรไฟล์ตัวเองลงด้วย เพราะทนไม่ไหวที่เห็นนักการเมืองขี้ฉ้อ กดรีโมตสั่งลูกน้องตัวเองไปตาย
สำหรับหัวข้อการประชุมแต่ละวัน จับทางที่ “ริดสีดวง”แถลงถ่ายทอดสด ลูบคลำสาระแทบไม่เจอ มีแต่ตอบโต้ทางการเมือง เสมือนตั้งขึ้นมาเป็นศูนย์มาเฟียไว้สุมหัวกำจัดม็อบ กปปส.
จากตอนแรกที่ตั้งศรส.ขึ้นมา เพื่อคิดจะเป็นเสือ เหมือนศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ยุค “กำนันเทือก”นายสุเทพ เทือกสุบรรณ สุดท้ายก็แค่แมวเชื่องๆ จับหนูไม่เป็น เมื่อดำรงอยู่ก็เหมือนศูนย์ร้าง เลยต้องยุบทิ้งให้พ้นไป อยู่ต่อเปลืองงบฯแถมโดนชาวบ้านด่า
แต่ก็ใช่ว่า ศรส. ยุบตัวแล้วจะจบๆ กันไป ในเมื่อความผิดสำเร็จแล้ว ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของคดีอาญาที่ “นรก.ปู” น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และ “ขี้ข้าเหลิม”เตรียมตัวหอบสังขารกันไปขึ้นโรงขึ้นศาล ในข้อหาฆ่าคนตายหลังสถานการณ์สงบ
หรือกับกรณีที่ คณะกรรมการเลือกตั้ง(กกต.) ไม่เปิดไฟเขียวงบประมาณ 2,309 ล้านบาท เป็นค่าใช้จ่ายของ ศรส. ในช่วงระหว่างวันที่ 22 มกราคม - 22 มีนาคม 2557 เนื่องจากสิ่งที่ ศรส. เสนอมาไม่มีรายละเอียดแจกแจงมาเลยว่า ตัวเลขดังกล่าวมาจากไหน อย่างไร สักแต่ว่าปั้นกันมากลมๆ จนกกต.ต้องเรียก “ขี้ข้าเหลิม”มาอธิบายในวันที่ 27 มี.ค. 57
หากอธิบายได้ก็รอดตัว แต่หากดำน้ำออกลูกมั่ว อาจซวยถึงการทำผิดกฎหมายเลือกตั้ง และเรื่องข้อจำกัดของความเป็นรัฐบาลรักษาการ ที่อาจจะกระทำผิดรัฐธรรมนูญได้
ว่าด้วยเรื่องงบประมาณ ศรส. ก้อนโต ที่ขออนุมัติจาก กกต. ดูเป็นเงินมหาศาล แต่กลับสวนทางกับความเป็นจริง โดยเฉพาะประมาณ 90 เปอร์เซ็นต์ของงบดังกล่าว เป็นค่าเบี้ยเลี้ยงของเจ้าหน้าที่ตำรวจ 2 หมื่นกว่านาย ที่มาประจำการตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน คิดต่อหัว ได้ค่าเบี้ยเลี้ยงวันละ 700 บาท ค่าข้าววันละ 300 บาท เหลือเข้ากระเป๋าจริงๆ 400 บาท อยู่กันมาแล้ว 60 วัน คูณกันเข้าไปมันก็พอใกล้เคียงตัวเลขดังกล่าว
**เหลือบไปดูความเป็นอยู่ของนักการเมืองกินฉ้อใน ศรส. ที่เอามาปรนเปรอกันยิ่งน่าสงสัย อาหารมื้อกลางวันระดับเฟิร์สคลาส กินอิ่ม กินหรู หนังท้องตึง ในขณะที่ลูกน้องนั่งซัดข้าวกล่อง มื้อละ 100 บาท
** แว่วว่า บางวันบางคืนยังมีคนเห็นนั่งซดไวน์กันระรื่นลั่นห้อง ไม่รู้เงินเหล่านี้มันเป็นกองงบประมาณก้อนที่ขออนุมัติจาก กกต.ด้วยหรือไม่
เรียกว่า ในช่วงวิกฤติการณ์การเมืองรุมเร้า ใครจะสุข ใครจะเศร้า ไม่รู้ แต่ชีวิตความเป็นอยู่ของ ศรส. อิ่มหนำสำราญไม่อดอยาก แถมปากมันแผลบทุกคน ต้องรอดูถึงวันจริงที่ต้องแจกแจง กกต. ว่าจะปั้นรายละเอียดกันออกมาได้แค่ไหน แต่หากคิดจะทำตัวเป็นโจรปล้นธนาคารแบ่งทรัพย์กันเสร็จแล้วคิดจะหนีนั้นคงยาก ไม่มีใครยอมให้ทำอัปยศอย่างนั้นแน่ ไม่ว่าจะเป็น กกต. หรือ สำนักงานตรวจเงินแผ่นดิน(สตง.) หากเห็นว่า ไม่ชอบมาพากล มิวายโดนสอยล่วง
**คิดจะเขมือบแล้วหนีมุกนี้ปิดประตูได้เลย ใช้งบไม่คุ้มค่า แล้วยังเสือกจะโกง!!!