ASTVผู้จัดการรายวัน -ตลาดน้ำผลไม้ 12,000 ล้านบาท สะดุดโตเพียง 6-7% เหตุกำลังซื้อหด นโยบายรัฐดึงผู้บริโภครัดเข็มขัด "ดีโด้" อัดฉีด 1,100 ล้านบาท บุกเออีซีเต็มสูบ
นางสาวจันทรา พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่ม แบรนด์ ดีโด้ เปิดเผยว่า ตลาดรวมน้ำผลไม้มูลค่า 12,000 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาโต 6-7% เท่านั้น เนื่องจากกำลังซื้อหดตัว และนโยบายภาครัฐ เช่น รถคันแรก ทำให้ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัดระมัดระวังในการใช้จ่าย ซึ่งแนวโน้มในปีนี้น่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่างกันนัก
ทั้งนี้บริษัทจึงปรับกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยปีนี้จะออกสินค้าใหม่กว่า 10 รายการ และตรึงราคาเดิมไว้ และจะรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นในกลุ่ม เออีซี ใน 4 ประเทศ คือ พม่า เวียดนาม ลาว และเขมร
ปีนี้บริษัทใช้งบกว่า 1,100 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ดำเนินการมากว่า 20 ปี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 40% จาก 1 ล้านหีบ เป็น 1.5 ล้านหีบต่อเดือน ด้วยงบ 700 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ และอีก 200 ล้านบาท ตั้งศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง คือ ภาคเหนือ ที่จังหวัดตาก และภาคอีสานที่จังหวัด มหาสารคาม และงบการตลาดอีก 200 ล้านบาท สำหรับทำตลาดในประเทศ 150 ล้านบาท และต่างประเทศ 50 ล้านบาท
บริษัทฯมันใจว่า ปีนี้จะมีรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท โตขึ้น 20% มาจากในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% ซึ่งในส่วนต่างประเทศเพิ่มจาก 20%ในปีที่ผ่านมา พร้อมรักษาส่วนแบ่งในกลุ่มน้ำผลไม้อิโคโนมี่ และซูเปอร์อีโคโนมี ที่ 40% จากปัจจุบันมูลค่าตลาดนี้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ของตลาดรวมน้ำผลไม้ โดยมองว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีรายได้ถึง 5,000 ล้านบาท มาจากต่างประเทศและในประเทศ 50% เท่าๆกัน
นางสาวจันทรา พงศ์ศรี กรรมการผู้จัดการ บริษัท ฟู้ดสตาร์ จำกัด ผู้ผลิตและจำหน่ายผลิตภัณฑ์น้ำผลไม้พร้อมดื่ม แบรนด์ ดีโด้ เปิดเผยว่า ตลาดรวมน้ำผลไม้มูลค่า 12,000 ล้านบาท ปีที่ผ่านมาโต 6-7% เท่านั้น เนื่องจากกำลังซื้อหดตัว และนโยบายภาครัฐ เช่น รถคันแรก ทำให้ผู้บริโภคต้องรัดเข็มขัดระมัดระวังในการใช้จ่าย ซึ่งแนวโน้มในปีนี้น่าจะมีอัตราการเติบโตไม่ต่างกันนัก
ทั้งนี้บริษัทจึงปรับกลยุทธ์เพิ่มความหลากหลายของผลิตภัณฑ์ออกสู่ตลาดมากขึ้น โดยปีนี้จะออกสินค้าใหม่กว่า 10 รายการ และตรึงราคาเดิมไว้ และจะรุกตลาดต่างประเทศมากขึ้นในกลุ่ม เออีซี ใน 4 ประเทศ คือ พม่า เวียดนาม ลาว และเขมร
ปีนี้บริษัทใช้งบกว่า 1,100 ล้านบาท สูงสุดตั้งแต่ดำเนินการมากว่า 20 ปี เพื่อเพิ่มกำลังการผลิตอีก 40% จาก 1 ล้านหีบ เป็น 1.5 ล้านหีบต่อเดือน ด้วยงบ 700 ล้านบาท เพิ่มเครื่องจักร คาดว่าจะแล้วเสร็จปลายปีนี้ และอีก 200 ล้านบาท ตั้งศูนย์กระจายสินค้า 2 แห่ง คือ ภาคเหนือ ที่จังหวัดตาก และภาคอีสานที่จังหวัด มหาสารคาม และงบการตลาดอีก 200 ล้านบาท สำหรับทำตลาดในประเทศ 150 ล้านบาท และต่างประเทศ 50 ล้านบาท
บริษัทฯมันใจว่า ปีนี้จะมีรายได้กว่า 3,000 ล้านบาท โตขึ้น 20% มาจากในประเทศ 70% และต่างประเทศ 30% ซึ่งในส่วนต่างประเทศเพิ่มจาก 20%ในปีที่ผ่านมา พร้อมรักษาส่วนแบ่งในกลุ่มน้ำผลไม้อิโคโนมี่ และซูเปอร์อีโคโนมี ที่ 40% จากปัจจุบันมูลค่าตลาดนี้อยู่ที่ 5,000 ล้านบาท หรือคิดเป็น 52% ของตลาดรวมน้ำผลไม้ โดยมองว่าในอีก 3 ปีข้างหน้าจะมีรายได้ถึง 5,000 ล้านบาท มาจากต่างประเทศและในประเทศ 50% เท่าๆกัน