คำว่า “หน้าด้าน”คงจะน้อยเกินไปสำหรับการเรียกขาน “นังดอกไม้”อย่าง ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกกำมะลอ ที่กำลังจะตกเก้าอี้ในเร็ววันนี้ หลังจากที่เธอให้ทีมงานโพสต์ FB เมื่อวันที่ 5 มีนาคม ที่ผ่านมา อ้างว่า
ได้รับรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า สหภาพยุโรป (อียู) ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการให้สิทธิพิเศษอัตราภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ในปี 2558 โดยจะยกเลิกการให้จีเอสพี กับประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง และระดับบนขึ้นไป ซึ่งรวมถึงประเทศไทย โดยในปัจจุบัน สินค้าไทยหลายรายการที่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว
ได้แก่ กุ้งแปรรูป สัปปะรดกระป๋อง น้ำสัปปะรดกระป๋อง อาหารสุนัข หรืออาหารแมว มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของอียู นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น รถจักรยานยนต์ ถุงมือยาง ยางนอกรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ เลนส์แว่นตา เป็นต้น ซึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมประมาณปีละ 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไปยังอียูทั้งหมด
“นังดอกไม้”อ้างว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากความไม่สงบทางการเมืองทำให้การเจรจาล่าช้าจนไทยเสียประโยชน์ โยนเรื่องมาเป็นบาปให้การเมืองหน้าตาเฉย
ทั้งที่ปัญหาเรื่องการตัดสิทธจีเอสพีไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นกำหนดการที่ชัดเจนมาหลายปีแล้ว หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพิกเฉยไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาตลอดกว่า 2 ปีที่บริหารประเทศ เพราะมุ่งแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ แก้ผ้าเอาหน้ารอด และกู้เงินสร้างหนี้มากกว่าจะบริหารเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง
ความจริงไทยถูกตัดสิทธิจีเอสพี ใน 3 หมวดสินค้าไทย ประกอบด้่วย อาหารปรุงแต่ง น้ำตาลและขนมที่ทำจากน้ำตาล อัญมณีและเครื่องประดับ มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 1 ม.ค. 57 ที่ผ่านมา ไปจนถึง ธ.ค. 59
คำถามคือ ทำไมเพิ่งมากระตือรือร้นหยิบหยกมาเป็นข้ออ้าง สวมรอยปัญหาการเมืองโดยใช้วาทกรรมเสียสวยหรูโกหกประชาชนว่า
"ดิฉันขอให้คนไทยทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง ร่วมมือ สนับสนุนให้กระบวนการการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อไม่ให้ปัญหาทางการเมืองมาฉุดรั้งประเทศจากการก้าวไปข้างหน้า"
ความจริงคือ ที่ประเทศชาติกำลังดิ่งลงเหวในทุกด้าน มิได้เกิดจากปัญหาการเมืองตามที่มีความพยายามกล่าวอ้าง แต่เป็นเพราะการบริหารที่ห่วยแตกของยิ่งลักษณ์และรัฐบาลขี้ข้าทักษิณต่างหาก
เพราะการออกระเบียบ Commission Implementing Regulation (EU) No 1213/2012 เรื่องการระงับสิทธิ GSP เป็นรายหมวดสินค้าจากประเทศไทย 3 หมวดสินค้า เกิดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 18 ธันวาคม 2555 ซึ่งครอบคลุมสินค้าต่างๆ อาทิ ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ น้ำตาล/ขนมที่ทำจากน้ำตาล โกโก้ ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์ธัญพืช มอลต์ พาสต้า ขนมปัง ผัก ผลไม้ อาหารปรุงแต่ง ซอส และของปรุงแต่งสำหรับทำซอสครีม เครื่องดื่ม อาหารสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ โดยการระงับสิทธิฯดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2557 ถึง 31 ธ.ค. 59
ในขณะนั้น ปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ยังออกมาเจื้อยแจ้วว่า การตัดสิทธิดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยและจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในสหภาพยุโรปได้ และไม่เคยมีคำสัมภาษณ์ใด ๆ หลุดจากปาก ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวแม้แต่แอะเดียว
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ยิ่งลักษณ์ โพนทะนา อวดอ้างเสมอว่าการทัวร์รอบโลกของเธอเพื่อสร้างประโยชน์ทางการค้าให้กับประเทศไทย แต่กว่าสองปีที่ผ่านมา เธอเดินทางไปเยือนประเทศในแถบยุโรปถึง 11 ประเทศ ด้วยงบแผ่นดิน จ่ายไม่อั้นในการเหมาเครื่องบินทั้งลำ โดยใช้เวลาบนเครื่องบินมากกว่าในสภาผู้แทนราษฎรเสียอีก
ประเทศในแถบยุโรปที่ “นังดอกไม้”เดินทางไปผลาญภาษีประชาชนมาแล้ว ประกอบด้วย สวีเดน เบลเยี่ยม โปแลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี รัสเซีย อิตาลี มอนเตเนโกร และ นครรัฐวาติกัน
แต่การเดินทางดังกล่าวไร้ค่าหมดความหมาย เพราะนอกจากจะเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนในระดับทวิภาคีไม่ได้แล้ว ยังไม่เคยเห็นความพยายามที่จะเจรจาเกี่ยวกับมาตรการที่ อียูประกาศไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2555 ว่า จะ “ยกเลิก”การให้สิทธิพิเศษจีเอสพี กับประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป ซึ่งจะทำให้ประเทศที่ได้รับสิทธิตามหลักเกณฑ์ใหม่ลดลงเหลือเพียงไม่เกิน 80 ประเทศจากเดิม 176 ประเทศ
ประเทศไทย คือหนึ่งในประเทศที่จะถูกตัดสิทธิจีเอสพีทั้งหมด เนื่องจากตามนิยามของธนาคารโลก ได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป จากเดิมที่ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางต่ำลงมา หรือ Lower Middle Income ส่งผลให้สินค้าส่งออกจากไทยไปยังอียูตั้งแต่ปี 2558 จะต้องเสียภาษีในอดัตราปกติ หรือ MFN เป็นจำนวนหลายร้อยรายการ
และที่มัด “นังดอกไม้” ให้ช้ำจนเน่าว่า เธอกำลังโกหกครั้งที่นับไม่ถ้วนกับคนไทย ราวกับว่าเพิ่งได้รับรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องนี้ ทั้งที่ความจริงมีหลักฐานเป็นคำสัมภาษณ์ของ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ตั้งแต่ปี 55 อ้างว่า มีมาตรการที่จะแก้ปัญหาโดยให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เตรียมเปิดการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี ระหว่างไทย-สหภาพยุโรป ให้ได้ภายในปี 55 เพื่อให้ทันต่อการระงับสิทธิพิเศษจีเอสพี ตามกฎเกณฑ์ใหม่ในปี 2558
ถ้า “นังดอกไม้”เพิ่งรู้เรื่องนี้ เมื่อวันที่ 5 มี.ค.57 ก็แสดงว่า ที่ผ่านมาเธอไม่เคยใส่ใจต่อการบริหารราชการแผ่นดินเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะการตัดสิทธิจีเอสพี มีการเตือนล่วงหน้ามาตั้งแต่ปี 2555 แล้ว
ในขณะที่ บุญทรง ยังอวดอ้างด้วยว่า มีมาตรการรองรับแล้ว ด้วยการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-สหภาพยุโรปให้ได้ ตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่รัฐบาลก็ล้มเหลวไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติได้
และยังนำเรื่องดังกล่าวมาอ้างเป็นเหตุผลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพื่อรวบอำนาจไว้กับฝ่ายบริหาร ลิดรอนอำนาจตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ และประชาชนในการมีส่วนร่วมพิจารณาการลงนามสัญญาระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าเป็นอุปสรรคทำให้เกิดความล่าช้าจนประเทศเสียโอกาสเพราะกรอบการเจรจาต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาก่อน แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากมีการตัดทอนเนื้อหาที่กระทบต่อหลักการถ่วงดุลทางอำนาจและลิดรอนสิทธิของประชาชน
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2557 ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 1 เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ การตัดเนื้อหาส่วนนี้ไปเป็นการตัดสิทธิประชาชน ทำลายความเสมอภาค จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
นี่คือหลักฐานว่า“นังดอกไม้”ถนัดแต่ “แก้ผ้า”ไม่เคยคิดแก้ไขปัญหา มีแต่การแก้ตัว และการแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ เท่านั้น ควรอย่างยิ่งกับฉายาที่ ดร.เสรี วงศ์มณฑา ตั้งให้ว่า “ออง ดอก ที”
ได้รับรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ว่า สหภาพยุโรป (อียู) ได้ประกาศเปลี่ยนแปลงหลักเกณฑ์ในการให้สิทธิพิเศษอัตราภาษีศุลกากร (จีเอสพี) ในปี 2558 โดยจะยกเลิกการให้จีเอสพี กับประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลาง และระดับบนขึ้นไป ซึ่งรวมถึงประเทศไทย โดยในปัจจุบัน สินค้าไทยหลายรายการที่ได้รับสิทธิพิเศษดังกล่าว
ได้แก่ กุ้งแปรรูป สัปปะรดกระป๋อง น้ำสัปปะรดกระป๋อง อาหารสุนัข หรืออาหารแมว มีส่วนแบ่งทางการตลาดเป็นอันดับ 1 ของอียู นอกจากนี้ยังมีสินค้าอื่นๆ ที่สำคัญ เช่น รถจักรยานยนต์ ถุงมือยาง ยางนอกรถยนต์ เครื่องปรับอากาศ เลนส์แว่นตา เป็นต้น ซึ่ง 2-3 ปีที่ผ่านมา มีมูลค่ารวมประมาณปีละ 9,000 ล้านเหรียญสหรัฐฯ หรือคิดเป็นร้อยละ 60 ของมูลค่าการส่งออกสินค้าไปยังอียูทั้งหมด
“นังดอกไม้”อ้างว่า ปัญหาทั้งหมดเกิดจากความไม่สงบทางการเมืองทำให้การเจรจาล่าช้าจนไทยเสียประโยชน์ โยนเรื่องมาเป็นบาปให้การเมืองหน้าตาเฉย
ทั้งที่ปัญหาเรื่องการตัดสิทธจีเอสพีไม่ใช่เรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้น แต่เป็นกำหนดการที่ชัดเจนมาหลายปีแล้ว หากรัฐบาลยิ่งลักษณ์ เพิกเฉยไม่สนใจที่จะแก้ปัญหาตลอดกว่า 2 ปีที่บริหารประเทศ เพราะมุ่งแต่จะแก้รัฐธรรมนูญ แก้ผ้าเอาหน้ารอด และกู้เงินสร้างหนี้มากกว่าจะบริหารเพื่อรักษาผลประโยชน์ของบ้านเมือง
ความจริงไทยถูกตัดสิทธิจีเอสพี ใน 3 หมวดสินค้าไทย ประกอบด้่วย อาหารปรุงแต่ง น้ำตาลและขนมที่ทำจากน้ำตาล อัญมณีและเครื่องประดับ มีผลบังคับใช้แล้วตั้งแต่ 1 ม.ค. 57 ที่ผ่านมา ไปจนถึง ธ.ค. 59
คำถามคือ ทำไมเพิ่งมากระตือรือร้นหยิบหยกมาเป็นข้ออ้าง สวมรอยปัญหาการเมืองโดยใช้วาทกรรมเสียสวยหรูโกหกประชาชนว่า
"ดิฉันขอให้คนไทยทุกคนก้าวข้ามความขัดแย้งทางการเมือง ร่วมมือ สนับสนุนให้กระบวนการการเลือกตั้งเป็นไปด้วยความเรียบร้อย เพื่อไม่ให้ปัญหาทางการเมืองมาฉุดรั้งประเทศจากการก้าวไปข้างหน้า"
ความจริงคือ ที่ประเทศชาติกำลังดิ่งลงเหวในทุกด้าน มิได้เกิดจากปัญหาการเมืองตามที่มีความพยายามกล่าวอ้าง แต่เป็นเพราะการบริหารที่ห่วยแตกของยิ่งลักษณ์และรัฐบาลขี้ข้าทักษิณต่างหาก
เพราะการออกระเบียบ Commission Implementing Regulation (EU) No 1213/2012 เรื่องการระงับสิทธิ GSP เป็นรายหมวดสินค้าจากประเทศไทย 3 หมวดสินค้า เกิดขึ้นตั้งแต่ วันที่ 18 ธันวาคม 2555 ซึ่งครอบคลุมสินค้าต่างๆ อาทิ ของปรุงแต่งจากเนื้อสัตว์ ปลา กุ้ง และสัตว์น้ำ น้ำตาล/ขนมที่ทำจากน้ำตาล โกโก้ ช็อกโกแลต ผลิตภัณฑ์ธัญพืช มอลต์ พาสต้า ขนมปัง ผัก ผลไม้ อาหารปรุงแต่ง ซอส และของปรุงแต่งสำหรับทำซอสครีม เครื่องดื่ม อาหารสัตว์ อัญมณีและเครื่องประดับ โดยการระงับสิทธิฯดังกล่าวจะมีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2557 ถึง 31 ธ.ค. 59
ในขณะนั้น ปราณี ศิริพันธ์ อธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ ยังออกมาเจื้อยแจ้วว่า การตัดสิทธิดังกล่าว ไม่ส่งผลกระทบต่อการส่งออกสินค้าไทยและจะสามารถรักษาส่วนแบ่งการตลาดในสหภาพยุโรปได้ และไม่เคยมีคำสัมภาษณ์ใด ๆ หลุดจากปาก ยิ่งลักษณ์ เกี่ยวกับปัญหาดังกล่าวแม้แต่แอะเดียว
ที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ ยิ่งลักษณ์ โพนทะนา อวดอ้างเสมอว่าการทัวร์รอบโลกของเธอเพื่อสร้างประโยชน์ทางการค้าให้กับประเทศไทย แต่กว่าสองปีที่ผ่านมา เธอเดินทางไปเยือนประเทศในแถบยุโรปถึง 11 ประเทศ ด้วยงบแผ่นดิน จ่ายไม่อั้นในการเหมาเครื่องบินทั้งลำ โดยใช้เวลาบนเครื่องบินมากกว่าในสภาผู้แทนราษฎรเสียอีก
ประเทศในแถบยุโรปที่ “นังดอกไม้”เดินทางไปผลาญภาษีประชาชนมาแล้ว ประกอบด้วย สวีเดน เบลเยี่ยม โปแลนด์ เยอรมัน ฝรั่งเศส สวิตเซอร์แลนด์ ตุรกี รัสเซีย อิตาลี มอนเตเนโกร และ นครรัฐวาติกัน
แต่การเดินทางดังกล่าวไร้ค่าหมดความหมาย เพราะนอกจากจะเพิ่มมูลค่าการค้าการลงทุนในระดับทวิภาคีไม่ได้แล้ว ยังไม่เคยเห็นความพยายามที่จะเจรจาเกี่ยวกับมาตรการที่ อียูประกาศไว้ตั้งแต่เดือนมิถุนายนปี 2555 ว่า จะ “ยกเลิก”การให้สิทธิพิเศษจีเอสพี กับประเทศที่ถูกจัดอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป ซึ่งจะทำให้ประเทศที่ได้รับสิทธิตามหลักเกณฑ์ใหม่ลดลงเหลือเพียงไม่เกิน 80 ประเทศจากเดิม 176 ประเทศ
ประเทศไทย คือหนึ่งในประเทศที่จะถูกตัดสิทธิจีเอสพีทั้งหมด เนื่องจากตามนิยามของธนาคารโลก ได้จัดให้ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ระดับปานกลางขึ้นไป จากเดิมที่ประเทศไทยอยู่ในกลุ่มประเทศที่มีรายได้ปานกลางต่ำลงมา หรือ Lower Middle Income ส่งผลให้สินค้าส่งออกจากไทยไปยังอียูตั้งแต่ปี 2558 จะต้องเสียภาษีในอดัตราปกติ หรือ MFN เป็นจำนวนหลายร้อยรายการ
และที่มัด “นังดอกไม้” ให้ช้ำจนเน่าว่า เธอกำลังโกหกครั้งที่นับไม่ถ้วนกับคนไทย ราวกับว่าเพิ่งได้รับรายงานจากกระทรวงพาณิชย์ ในเรื่องนี้ ทั้งที่ความจริงมีหลักฐานเป็นคำสัมภาษณ์ของ บุญทรง เตริยาภิรมย์ รมว.พาณิชย์ ตั้งแต่ปี 55 อ้างว่า มีมาตรการที่จะแก้ปัญหาโดยให้กรมเจรจาการค้าระหว่างประเทศ เตรียมเปิดการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรี ระหว่างไทย-สหภาพยุโรป ให้ได้ภายในปี 55 เพื่อให้ทันต่อการระงับสิทธิพิเศษจีเอสพี ตามกฎเกณฑ์ใหม่ในปี 2558
ถ้า “นังดอกไม้”เพิ่งรู้เรื่องนี้ เมื่อวันที่ 5 มี.ค.57 ก็แสดงว่า ที่ผ่านมาเธอไม่เคยใส่ใจต่อการบริหารราชการแผ่นดินเลยแม้แต่นิดเดียว เพราะการตัดสิทธิจีเอสพี มีการเตือนล่วงหน้ามาตั้งแต่ปี 2555 แล้ว
ในขณะที่ บุญทรง ยังอวดอ้างด้วยว่า มีมาตรการรองรับแล้ว ด้วยการเจรจาความตกลงเขตการค้าเสรีระหว่างไทย-สหภาพยุโรปให้ได้ ตั้งแต่สองปีที่แล้ว แต่รัฐบาลก็ล้มเหลวไม่สามารถดำเนินการให้บรรลุเป้าหมายเพื่อรักษาผลประโยชน์ของชาติได้
และยังนำเรื่องดังกล่าวมาอ้างเป็นเหตุผลในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา 190 เพื่อรวบอำนาจไว้กับฝ่ายบริหาร ลิดรอนอำนาจตรวจสอบของฝ่ายนิติบัญญัติ และประชาชนในการมีส่วนร่วมพิจารณาการลงนามสัญญาระหว่างประเทศ โดยอ้างว่าเป็นอุปสรรคทำให้เกิดความล่าช้าจนประเทศเสียโอกาสเพราะกรอบการเจรจาต้องได้รับการอนุมัติจากรัฐสภาก่อน แต่ก็ทำไม่สำเร็จ เนื่องจากมีการตัดทอนเนื้อหาที่กระทบต่อหลักการถ่วงดุลทางอำนาจและลิดรอนสิทธิของประชาชน
ศาลรัฐธรรมนูญ จึงมีคำวินิจฉัยเมื่อวันที่ 8 มกราคม 2557 ว่า การแก้ไขรัฐธรรมนูญดังกล่าว ขัดรัฐธรรมนูญ มาตรา 68 วรรค 1 เนื่องจากรัฐธรรมนูญกำหนดให้ประชาชนมีส่วนร่วมตรวจสอบการใช้อำนาจรัฐทุกระดับ การตัดเนื้อหาส่วนนี้ไปเป็นการตัดสิทธิประชาชน ทำลายความเสมอภาค จึงไม่ชอบด้วยรัฐธรรมนูญ
นี่คือหลักฐานว่า“นังดอกไม้”ถนัดแต่ “แก้ผ้า”ไม่เคยคิดแก้ไขปัญหา มีแต่การแก้ตัว และการแก้ผ้าเอาหน้ารอดไปวันๆ เท่านั้น ควรอย่างยิ่งกับฉายาที่ ดร.เสรี วงศ์มณฑา ตั้งให้ว่า “ออง ดอก ที”