ปัญญาพลวัตร
โดย...พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต
ประเทศไทยจะมีสงครามกลางเมืองหรือไม่ และจะมีการแบ่งแยกประเทศหรือไม่ เป็นคำถามที่มีการกล่าวกันมากในช่วงนี้ เรื่องนี้กลายเป็นประเด็นที่ร้อนแรงภายหลังเหตุการณ์ที่กลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) ได้จัดประชุมแกนนำทั่วประเทศ ภายใต้ชื่อ “นปช.ลั่นกลองรบ” ที่ จ.นครราชสีมา เมื่อวันที่ 23 กุมภาพันธ์ 2557
ในการประชุมของกลุ่มแกนนำ นปช. ทั่วประเทศในวันดังกล่าว มีแกนนำหลายคนพูดบนเวทีประกาศความต้องการในการแบ่งแยกดินแดน โดยแยกภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือออกจากประเทศไทย ไปจัดตั้งเป็นประเทศใหม่ การประกาศเจตนารมณ์แบ่งแยกดินแดนเกิดขึ้นท่ามกลางการรู้เห็นและรับรู้ของแกนนำ นปช.ซึ่งเป็นรัฐมนตรีและ อดีต ส.ส.พรรคเพื่อไทยหลายคน พวกเขาฟังราวกับว่าเป็นเรื่องปกติ ไม่มีการระงับยับยั้ง ห้ามปรามแต่อย่างใด ยิ่งกว่านั้นท่วงทำนองการปราศรัยของแกนนำเสื้อแดงคนสำคัญ อย่างนายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย รักษาการรัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยก็ได้ส่งสัญญาณสนับสนุนให้ใช้ความรุนแรงอย่างชัดเจนว่า
“คนไทยมีอาวุธปืนอยู่ในประเทศ 10 ล้านกระบอก เป็นอาวุธปืนที่ใช้สำหรับป้องกันตัวเอง ฉะนั้นใครที่จะดูถูกอำนาจพลังของประชาชนก็ให้มันรู้ไป”
“วันนี้มันสู้กันด้วยเดิมพันด้วยชีวิตสูงสุด มันไม่ได้ต่อสู้แบบฉายหนังแล้วมาดูกันเฉย ๆ แต่สู้คราวนี้ตายจริง แต่ผมเชื่อมั่นว่าเราต้องไม่ตาย และเราต้องชนะ”
อันที่จริงการแสดงความต้องการแยกดินแดนของกลุ่มเสื้อแดงสมุนของทักษิณเกิดขึ้นมาหลายวันแล้ว เหตุการณ์อันเป็นที่รับรู้ต่อสาธารณะมากที่สุดคือ การเขียนป้ายต้องการแยกประเทศติดไว้ที่สะพานลอย ในจังหวัดพะเยา และจังหวัดพิษณุโลก และมีความเป็นไปได้ว่า ป้ายในลักษณะเดียวกันนี้อาจมีอีกหลายแห่งในหลายจังหวัดภาคเหนือและภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
การที่กลุ่มเสื้อแดงกล้าเขียนป้ายแบ่งแยกประเทศติดประกาศในที่สาธารณะย่อมแสดงให้เห็นว่า ความคิดและการปฏิบัติการแยกประเทศของพวกเขาต้องมีการดำเนินงานอย่างเข้มข้นและมีการวางแผนอย่างเป็นระบบพอสมควร มิใช่เกิดจากอารมณ์โกรธหรือไม่พอใจชั่ววูบแต่อย่างใด
การปรากฏตัวและเนื้อหาการปราศรัยของรัฐมนตรีรักษาการในงานดังกล่าวของ นปช. ไม่อาจตีความเป็นอย่างอื่นได้ นอกจากว่าบุคคลเหล่านั้นเห็นด้วยและรู้เห็นเป็นใจกับแนวคิดและการปฏิบัติการณ์ของกลุ่มแกนนำเสื้อแดงในจังหวัดต่างๆ
แต่การแบ่งแยกดินแดนเพื่อตั้งประเทศใหม่นั้นจะเกิดขึ้นได้ก็ต่อเมื่อมีสงครามกลางเมืองที่คู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่ายมีกองกำลังทหารพอๆกัน ต่อสู้กันติดต่อกันหลายปี จนเกิดการสูญเสียชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก และไม่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งเอาชนะกันได้อย่างเด็ดขาด จนกระทั่งทั้งสองฝ่ายเห็นร่วมกันว่าจะต้องยุติสงครามและแบ่งพื้นที่กันปกครอง สำหรับสงครามกลางเมืองที่มีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งชนะอย่างเด็ดขาดนั้นจะไม่มีการแบ่งแยกดินแดนเกิดขึ้น
เงื่อนไขของการพัฒนาการจากการชุมนุมอย่างสงบไปสู่สงครามการเมืองนั้นมีไม่มากนัก เพราะโดยทั่วไปเมื่อประชาชนลุกขึ้นมาต่อต้านรัฐบาลทรราชอย่างยืดเยื้อ ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นก็คือ รัฐบาลทรราชมักถูกโค่นล้มจนพังพินาศไปก่อนที่จะเกิดสงครามกลางเมืองขึ้นมา และเงื่อนไขสำคัญอีกประการที่ทำให้สงครามการเมืองไม่เกิดขึ้นคือ ความเป็นเอกภาพของกองทัพ และโดยส่วนมากชัยชนะของประชาชนที่เหนือรัฐบาลทรราชก็มาจากการได้รับการสนับสนุนจากกองทัพเป็นหลัก
สงครามกลางเมืองจะเกิดขึ้นภายใต้เงื่อนไขที่กองทัพไม่มีเอกภาพ โดยกองกำลังติดอาวุธของกองทัพจะแตกแยกออกเป็นสองหรือหลายฝ่าย และหันกระบอกปืนเข้าหากัน ดังที่เกิดขึ้นในประเทศลิเบีย และซีเรีย แต่กรณีสังคมไทยนั้นมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเกิดสงครามกลางเมือง เพราะว่าทหารยังคงมีความเป็นเอกภาพ มีความตระหนักในบูรณาการของความเป็นชาติ มีความจงรักภักดีต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ ให้ความสำคัญกับความสงบมั่นคงของรัฐ และความปลอดภัยของประชาชน ดังนั้นแม้ว่ากลุ่มแกนนำเสื้อแดงจะพยายามยั่วยุสร้างสถานการณ์อย่างไรก็ตาม ก็ไม่อาจทำให้เกิดสงครามกลางเมืองในประเทศไทยได้
ความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ที่จะเกิดขึ้นในประเทศไทยคือ การเกิดขึ้นของขบวนการโจรก่อการร้ายเสื้อแดง (ขจด,) เพื่อก่อกวนทำลายชีวิตและทรัพย์สินประชาชนผู้บริสุทธิ์ ขจด.ได้ปฏิบัติการณ์ทำร้ายและเข่นฆ่าประชาชนผู้บริสุทธิ์อย่างต่อเนื่องในช่วง 2-3 เดือนที่ผ่านมา มีประชาชนผู้รักความเป็นธรรมที่ต่อสู้กับรัฐบาลทรราชยิ่งลักษณ์-ทักษิณ ถูกทำร้ายเสียชีวิตนับสิบราย และบาดเจ็บอีกหลายร้อยคน
ตั้งแต่ในช่วงปลายเดือนกุมภาพันธ์ ขจด.ได้ยกระดับความชั่วร้ายและความโหดเหี้ยมมากขึ้นไปอีก โดยใช้ระเบิดและอาวุธสงครามยิงเข้าไปในบริเวณที่มีการชุมนุมที่จังหวัดตราด จนมีเด็กเสียชีวิต 2 ราย และหลังจากนั้นก็ยิงระเบิดด้วยปืน เอ็ม 79 ที่บริเวณราชประสงค์ กรุงเทพมหานคร ซึ่งทำให้เด็กเสียชีวิตเพิ่มอีก 2 ราย และมีผู้บาดเจ็บเป็นจำนวนมาก
ความอำมหิตเลือดเย็นของกลุ่มแกนนำเสื้อแดงได้ปรากฏชัดต่อสาธารณะ เมื่อแกนนำ นปช.ชลบุรี ซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้พูดปราศรัยบนเวทีเกี่ยวกับเหตุการณ์ที่มีการยิงและระเบิดที่เวที กปปส. จังหวัดตราดว่า “พี่น้องชาวตราดต้อนรับ ม๊อบไอ้สุเทพอย่างสาสม ตาย 5 เจ็บเพียบ” ปรากฏว่ากลุ่มแกนนำเสื้อแดงที่ร่วมชุมนุมต่างปรบมือโห่ร้องด้วยความยินดีกับการเสียชีวิตของเด็กผู้ไร้เดียงสา อันเป็นการบ่งบอกว่าธรรมชาติและธาตุแท้ของเสื้อแดงย่อมเป็นเยี่ยงเดียวกันตั้งแต่หัวหน้ายันลูกน้อง
การที่ ขจด.มีการกระทำที่รุนแรงและเหี้ยมโหดมากขึ้นและถี่ขึ้น รวมทั้งการประกาศแยกประเทศ มิใช่เกิดจากความบังเอิญหรือเป็นไปเอง หากแต่มีการวางแผน สั่งการล่วงหน้าอย่างเป็นระบบ ภายใต้การสนับสนุนและรู้เห็นเป็นใจของรัฐบาลทรราช หลายคนอาจตั้งคำถามว่าทำไมถึงมีการกระทำกันขนาดนี้ทั้งที่เป็นคนไทยด้วยกัน
ผลคิดว่ามีเหตุผลสำคัญ 3 ประการ ประการแรก สัญชาตญาณดิบดั้งเดิมของผู้สั่งการที่ดูไบเป็นผู้ที่มีที่มีความโหดร้ายและเห็นแก่ตัวอย่างเหลือประมาณ เขาเคยประกาศว่าหากเขาอยู่ไม่ได้ เขาจะไม่ยอมตายคนเดียว การสั่งการให้กลุ่มก่อการร้ายอันเป็นสมุนบริวารของเขาก่อวินาศกรรม ระเบิด และยิงสังหารประชาชน จึงมีเป้าหมายเพื่อสร้างความเสียหาย ทำลายชีวิตของคนไทยและสังคมไทยให้มากที่สุดเท่าที่เขายังมีศักยภาพที่จะกระทำได้
ประการที่สอง เพื่อสร้างเงื่อนไขให้เกิดการเจรจา โดยผู้สั่งการดูไบคาดว่าเมื่อเกิดความรุนแรงบ่อยขึ้นจะทำให้กลุ่มต่างๆในสังคมไทยและสากลเกิดความหวาดวิตกต่อการบานปลายของสถานการณ์ ดังนั้นการสังหารผู้บริสุทธิ์ที่เป็นเด็กอาจไม่ใช่เรื่องบังเอิญ แต่มีความเป็นไปได้สูงที่เป็นการกระทำอย่างจงใจเพื่อเพิ่มน้ำหนักของความรุนแรง จนทำให้เกิดกระแสการเรียกร้องและกดดันให้ฝ่ายมวลมหาประชาชนยอมเจรจากับรัฐบาลทรราช ภายใต้กรอบที่ผู้สั่งการจากดูไบและน้องสาวได้ประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการคืนทรัพย์สิน การรื้อฟื้นทำคดีที่ตนถูกตัดสินจำคุกไปแล้วขึ้นมาพิจารณาใหม่ รวมทั้งการไม่ดำเนินคดีอาญากับน้องสาวตนเอง
ประการที่สาม เป็นการกระตุ้นยั่วยุให้กองทัพเข้ามาแทรกแซงทางการเมืองโดยการรัฐประหาร ประเด็นที่ใช้เป็นการยั่วยุคือ การแยกดินแดนเพื่อตั้งประเทศใหม่ ซึ่งกระทบต่อความรู้สึกของทหารมาก และหากทหารตกลงในหลุมพรางที่ทรราชขุดล่อเอาไว้ ฝ่ายทรราชก็จะเปิดฉากการรุกกลับโดยอาศัยมวลชนเสื้อแดงภายในประเทศและจากเวทีสากลเป็นเครื่องมือ
อย่างไรก็ตามปรากฏว่า สิ่งที่ฝ่ายทรราชกระทำไม่เกิดประสิทธิผลดังที่คาดหวังไว้ เพราะว่าปฏิบัติการณ์ก่อการร้ายทำลายชีวิตผู้บริสุทธิ์นั้นทำได้เพียงสองวันคือวันที่ 23 และ 24 ก.พ. ส่วนการโจมตีผู้ชุมนุมที่กระทำตอนเช้าตรู่วันที่ 25 และ 26 ไม่ประสบความสำเร็จ กลับถูกตอบโต้จนต้องถอนกำลังกลับไปอย่างหมดรูป ยิ่งกว่านั้นทางกองทัพก็ได้ขยายบทบาทเข้าไปเฝ้าระวัง ตรวจตรา ป้องกัน และตอบโต้การก่อการร้ายอย่างเป็นทางการ รวมทั้ง ผบ.ทบ.ในฐานะรอง ผอ. กอ. รมน.ก็ได้สั่งให้ผู้ว่าราชจังหวัดเฝ้าระวังการเคลื่อนไหวและปฏิบัติการณ์ของ ขจด.ด้วย ดังนั้นแผนการสร้างความเสียหายแก่สังคมไทยของชายหน้าเหลี่ยมจากดูไบ จึงอยู่ในขอบเขตที่จำกัดและไม่เกิดผลตามเป้าหมายที่กำหนดเอาไว้
ยิ่งกว่านั้นการชูประเด็นแยกดินแดนและการทำร้ายเด็กก่อให้เกิดผลในมุมกลับ ทำให้เกิดกระแสการปฏิเสธจากสังคมมากขึ้น กลุ่มที่เคยวางตัวเป็นกลางเช่นพวกเสื้อขาว กลุ่มมวลชนเสื้อแดง และผู้สนับสนุนระบอบทักษิณจำนวนมากก็ยังไม่อาจรับได้กับการกระทำที่โหดเหี้ยมผิดมนุษย์ของกลุ่มก่อการร้ายเสื้อแดงเหล่านี้ จึงทำให้จำนวนผู้ที่เคยสนับสนุนทรราชอย่างไม่ลืมหูลืมตาลดลงตามไปด้วย เหลือเพียงพวกเผ่าพันธุ์แดงอำมหิต ซึ่งมีไม่มากและเป็นสายพันธุ์เดียวกับวงศ์ตระกูลของชายดูไบเท่านั้น
ผลกระทบจากการสั่งการอย่างวิปริตของชายดูไบยังทำให้ตำรวจต้องเปลี่ยนจุดยืน จากที่เคยสนับสนุนรัฐบาลทรราช ต้องเคลื่อนไปสู่จุดที่วางเฉย ไม่ฟังคำสั่งอันไม่ชอบธรรมของรัฐบาลทรราชอีกต่อไป ขณะเดียวกันก็มีท่าทีที่เป็นมิตรต่อประชาชนมากขึ้นเพราะตำรวจ โดยเฉพาะ ผบ. ตร. ตระหนักดีแล้วว่า ประชาชนไทยส่วนใหญ่ไม่เอารัฐบาลทรราชย์และระบอบทักษิณแล้ว หากตำรวจยังตกเป็นเครื่องมือของทรราช ตำรวจก็คงจะไม่มีที่ยืนในสังคมตามทรราชไปด้วย ผบ. ตร. จึงต้องปรับจุดยืนและท่าทีของตนเอง แต่จะทำหน้าที่อย่างตรงไปตรงมาและจับกุมกลุ่มก่อการร้ายที่มาสังหารประชาชนได้หรือไม่ ยังเป็นเรื่องที่จะต้องใช้เวลาในการพิสูจน์อีกระยะหนึ่ง
สำหรับเป้าหมายในการยั่วยุให้ทหารรัฐประหารนั้นก็ปรากฏว่า ไม่บรรลุผลเช่นเดียวกัน เพราะกองทัพรู้ทันเล่ห์กลของทรราชเป็นอย่างดี ทหารจึงปฏิบัติหน้าที่โดยอาศัยอำนาจตามรัฐธรรมนูญและกฎหมายเพื่อยับยั้งการก่อการร้ายและการแบ่งแยกประเทศ อีกในไม่ช้ากองทัพก็จะร่วมกับมวลมหาประชาชน และองค์กรอิสระต่างๆ กดดันให้รัฐบาลทรราชออกไป เพื่อเปิดทางให้การปฏิรูปประเทศเกิดขึ้นอย่างแน่นอน
ยิ่งทรราชทักษิณ-ยิ่งลักษณ์ และพลพรรคกลุ่มก่อการร้ายแกนนำเสื้อแดงทั้งหลายดิ้นรนรักษาอำนาจเอาไว้ต่อไปนานเท่าไร พวกเขาก็จะติดอยู่ในบ่วงกรรมที่ตนเองสร้างขึ้นมากขึ้นเท่านั้น ธาตุแท้อันโหดเหี้ยม อำมหิตของพวกเขาก็จะถูกเปิดเผยออกมามากขึ้นเรื่อยๆ ท้ายที่สุดพวกเขาจะอยู่อย่างโดดเดี่ยว และต้องเผชิญกับผลลัพธ์เช่นเดียวกับที่เคยขึ้นกับบรรดาทรราชทั้งหลายในโลกนี้ นั่นคือ ไร้แผ่นดินอยู่ หรือติดคุก หรือถูกประหารชีวิต อย่างใดอย่างหนึ่ง และบางคนอาจจะต้องได้รับกรรมทั้งสามอย่างตามลำดับ