วานนี้ (24 ก.พ.) ศ.เกียรติคุณ นพ.เกษม วัฒนชัย องคมนตรี และอดีตรมว.ศึกษาธิการ กล่าวบรรยายพิเศษ เรื่อง "บทบาทของสถานศึกษากับความรับผิดชอบต่อการดำเนินงานกองทุน" ตอนหนึ่ง ในการสัมมนาพิเศษระดับผู้บริหารบทบาทของสถานศึกษาที่ดำเนินงานกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา (กยศ.) ที่โรงแรม พูลแมน คิงพาวเวอร์ กทม. ว่า กองทุน กยศ. จะมีการเบี่ยงเบนออกจากเป้าหมายเดิมที่ก่อตั้งกองทุนฯ ซึ่งแต่เดิม กยศ.ก่อตั้งขึ้นเพื่อให้โอกาสทางการศึกษาแก่เด็กยากจน แต่ด้วยนโยบายการเมือง จึงมีการขยายให้เด็กที่มีฐานะปานกลาง และร่ำรวย สามารถกู้ยืมเงินได้ด้วย ทั้งๆ ที่คนกลุ่มนี้ถือว่ามีโอกาสทางการศึกษาอยู่แล้ว
ฉะนั้น กยศ.น่าจะกลับไปสู่เป้าหมายเดิม ที่มุ่งให้เด็กยากจนจริงๆได้กู้ยืมเงิน โดยควรแก้ไขเกณฑ์รายได้ของครอบครัวใหม่ ให้มีความเหมาะสม ด้วยการหาค่าเฉลี่ยรายได้ครัวเรือนไทย และให้เด็กที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยได้มีโอกาสได้กู้ยืมเงิน
"กยศ.ควรคิดอัตราดอกเบี้ยที่เพียงพอต่อการบริหารจัดการกองทุน และที่สำคัญ ต้องจัดการกับผู้ที่เบี้ยวหนี้อย่างจริงจัง ต้องเลิกเกรงใจคนโกง เงิน กยศ. เป็นเงินภาษีที่คนไทยทุกคน รวมทั้งคนยากจนจ่ายมา คนที่เบี้ยวหนี้ ก็คือคนโกง นอกจากจะโกงเงินแล้ว ยังโกงโอกาสรุ่นน้อง ฉะนั้นต้องเลิกเกรงใจ และเมื่อเรามีกฎ ก็ต้องรีบจัดการกับคนกลุ่มนี้ เพื่อให้มีเงินมาปล่อยกู้แก่รุ่นต่อไป นอกจากนี้ กยศ. จะต้องพยายามประสานกับสถานศึกษา อบรมจิตสำนึกให้กับผู้รับทุนให้มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และสังคม จะได้ไม่เกิดปัญหาเบี้ยวหนี้" องคมนตรี กล่าว และว่า หาก กยศ. สามารถตามหนี้ส่วนใหญ่กลับมาได้ ถึงแม้จะถูกตัดงบประมาณ กยศ.ไป ก็จะไม่ได้รับผลกระทบมาก ที่ผ่านมากยศ.ปล่อยให้มีผู้ค้างชำระจำนวนมาก
ดังนั้นการที่รัฐบาลตัดงบฯ ส่วนหนึ่ง ก็อาจจะมาจากการบริหารจัดการของกยศ. เอง ที่มีปัญหาในเรื่องของการติดตามหนี้ผู้ที่ค้างชำระ ซึ่งเมื่อรัฐบาลเห็นว่า ตัวเลขในการติดตามหนี้ยังน้อย และจะมาของบฯเพิ่ม ทางรัฐบาลก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาให้
ด้าน ดร.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการ กยศ. กล่าวว่า กยศ.กำลังมีปัญหาเรื่องการติดตามหนี้ค้างชำระ ซึ่งขณะนี้มีเงินครบกำหนดที่จะต้องใช้คืน จำนวน 72,412.13 ล้านบาท มีผู้กู้ค้างชำระ 38,238.93 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53 ของจำนวนผู้กู้ทั้งหมด โดยเมื่อแบ่งตามสังกัด พบว่าจะเป็นผู้กู้ที่เคยศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ค้างชำระมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 65 รองลงมา มหาวิทยาลัยเอกชน คิดเป็นร้อยละ 62 สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) คิดเป็นร้อยละ 60 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คิดเป็นร้อยละ 55 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) คิดเป็นร้อยละ 52 และมหาวิทยาลัยรัฐ คิดเป็นร้อยละ 44
ดังนั้น กยศ. จึงขอให้สถาบันการศึกษาช่วยรณรงค์เรื่องการสร้างจิตสำนึกให้รุ่นพี่ที่เรียนจบ และครบกำหนดการชำระหนี้ เร่งชำระเงิน เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนที่จะให้โอกาสรุ่นน้องได้กู้ยืมต่อไป
"ปีนี้ กยศ. จะเริ่มกระบวนการตรวจสอบผู้ค้างชำระ จากเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก เพื่อให้ทราบที่อยู่ และที่ทำงานของผู้กู้ เพราะที่ผ่านมาบางคนมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ จึงทำให้ไม่สามารถติดตามได้ ขณะเดียวกันได้ลงนามความร่วมมือกับองค์กรนายจ้าง เพื่อให้ตรวจสอบลูกจ้างตนเองที่กู้เงิน กยศ. ให้รีบชำระคืน และในปี 2561 จะเริ่มนำชื่อของผู้ค้างชำระ ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน เข้าสู่ระบบข้อมูลเครดิตบูโร" ดร.ฑิตติมา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรณีที่ถูกตัดงบฯ นั้น กยศ.ได้ดำเนินการของบฯกลางแล้ว แต่บังเอิญที่ขณะนี้อยู่ในช่วงภาวะไม่ปกติ ซึ่งในส่วนของผู้กู้รายเก่า ที่ยังขาดงบฯอยู่ 710 ล้านบาทไม่น่าจะมีปัญหา แต่ในส่วนของผู้กู้รายใหม่ ที่ยังขาดงบฯอยู่ 1,408 ล้านบาทนั้น จะต้องดูว่าเป็นงบฯ ผูกพันไปถึงรัฐบาลใหม่หรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ปีนี้ จะไม่มีงบฯ ให้ผู้กู้รายใหม่เลย
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาในเรื่องนี้นั้น นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สามารถไปกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ส่วนนักเรียนชั้น ม.6 ที่เคยกู้ยืมเงินกยศ. ก็สามารถเปลี่ยนมากู้เงิน กรอ.ได้ ขณะที่ผู้กู้รายใหม่ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น เท่าที่ทราบ ทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีทุนจำนวนมาก จึงคิดว่าทุนเหล่านี้จะช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้าง ซึ่งตนจะนำปัญหาในเรื่องการดำเนินงาน กยศ.ทั้งหมด เข้าหารือในคณะกรรมการ กยศ. วันที่ 27 ก.พ.นี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่า จะได้ข้อสรุป หรือแนวทางแก้ไขปัญหาหรือไม่
ฉะนั้น กยศ.น่าจะกลับไปสู่เป้าหมายเดิม ที่มุ่งให้เด็กยากจนจริงๆได้กู้ยืมเงิน โดยควรแก้ไขเกณฑ์รายได้ของครอบครัวใหม่ ให้มีความเหมาะสม ด้วยการหาค่าเฉลี่ยรายได้ครัวเรือนไทย และให้เด็กที่มาจากครอบครัวที่มีรายได้ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยได้มีโอกาสได้กู้ยืมเงิน
"กยศ.ควรคิดอัตราดอกเบี้ยที่เพียงพอต่อการบริหารจัดการกองทุน และที่สำคัญ ต้องจัดการกับผู้ที่เบี้ยวหนี้อย่างจริงจัง ต้องเลิกเกรงใจคนโกง เงิน กยศ. เป็นเงินภาษีที่คนไทยทุกคน รวมทั้งคนยากจนจ่ายมา คนที่เบี้ยวหนี้ ก็คือคนโกง นอกจากจะโกงเงินแล้ว ยังโกงโอกาสรุ่นน้อง ฉะนั้นต้องเลิกเกรงใจ และเมื่อเรามีกฎ ก็ต้องรีบจัดการกับคนกลุ่มนี้ เพื่อให้มีเงินมาปล่อยกู้แก่รุ่นต่อไป นอกจากนี้ กยศ. จะต้องพยายามประสานกับสถานศึกษา อบรมจิตสำนึกให้กับผู้รับทุนให้มีความรับผิดชอบต่อตนเอง และสังคม จะได้ไม่เกิดปัญหาเบี้ยวหนี้" องคมนตรี กล่าว และว่า หาก กยศ. สามารถตามหนี้ส่วนใหญ่กลับมาได้ ถึงแม้จะถูกตัดงบประมาณ กยศ.ไป ก็จะไม่ได้รับผลกระทบมาก ที่ผ่านมากยศ.ปล่อยให้มีผู้ค้างชำระจำนวนมาก
ดังนั้นการที่รัฐบาลตัดงบฯ ส่วนหนึ่ง ก็อาจจะมาจากการบริหารจัดการของกยศ. เอง ที่มีปัญหาในเรื่องของการติดตามหนี้ผู้ที่ค้างชำระ ซึ่งเมื่อรัฐบาลเห็นว่า ตัวเลขในการติดตามหนี้ยังน้อย และจะมาของบฯเพิ่ม ทางรัฐบาลก็มีสิทธิ์ที่จะไม่พิจารณาให้
ด้าน ดร.ฑิตติมา วิชัยรัตน์ ผู้จัดการ กยศ. กล่าวว่า กยศ.กำลังมีปัญหาเรื่องการติดตามหนี้ค้างชำระ ซึ่งขณะนี้มีเงินครบกำหนดที่จะต้องใช้คืน จำนวน 72,412.13 ล้านบาท มีผู้กู้ค้างชำระ 38,238.93 ล้านบาท คิดเป็นร้อยละ 53 ของจำนวนผู้กู้ทั้งหมด โดยเมื่อแบ่งตามสังกัด พบว่าจะเป็นผู้กู้ที่เคยศึกษาในสังกัดสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการศึกษาเอกชน (สช.) ค้างชำระมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 65 รองลงมา มหาวิทยาลัยเอกชน คิดเป็นร้อยละ 62 สำนักงานส่งเสริมการศึกษานอกระบบ และการศึกษาตามอัธยาศัย (กศน.) คิดเป็นร้อยละ 60 สำนักงานคณะกรรมการการศึกษาขั้นพื้นฐาน (สพฐ.) คิดเป็นร้อยละ 55 สำนักงานคณะกรรมการการอาชีวศึกษา (สอศ.) คิดเป็นร้อยละ 52 และมหาวิทยาลัยรัฐ คิดเป็นร้อยละ 44
ดังนั้น กยศ. จึงขอให้สถาบันการศึกษาช่วยรณรงค์เรื่องการสร้างจิตสำนึกให้รุ่นพี่ที่เรียนจบ และครบกำหนดการชำระหนี้ เร่งชำระเงิน เพื่อให้มีเงินหมุนเวียนที่จะให้โอกาสรุ่นน้องได้กู้ยืมต่อไป
"ปีนี้ กยศ. จะเริ่มกระบวนการตรวจสอบผู้ค้างชำระ จากเลขบัตรประจำตัวประชาชน 13 หลัก เพื่อให้ทราบที่อยู่ และที่ทำงานของผู้กู้ เพราะที่ผ่านมาบางคนมีการเปลี่ยนแปลงที่อยู่ จึงทำให้ไม่สามารถติดตามได้ ขณะเดียวกันได้ลงนามความร่วมมือกับองค์กรนายจ้าง เพื่อให้ตรวจสอบลูกจ้างตนเองที่กู้เงิน กยศ. ให้รีบชำระคืน และในปี 2561 จะเริ่มนำชื่อของผู้ค้างชำระ ตั้งแต่ปี 2539 จนถึงปัจจุบัน เข้าสู่ระบบข้อมูลเครดิตบูโร" ดร.ฑิตติมา กล่าว
อย่างไรก็ตาม ในส่วนของกรณีที่ถูกตัดงบฯ นั้น กยศ.ได้ดำเนินการของบฯกลางแล้ว แต่บังเอิญที่ขณะนี้อยู่ในช่วงภาวะไม่ปกติ ซึ่งในส่วนของผู้กู้รายเก่า ที่ยังขาดงบฯอยู่ 710 ล้านบาทไม่น่าจะมีปัญหา แต่ในส่วนของผู้กู้รายใหม่ ที่ยังขาดงบฯอยู่ 1,408 ล้านบาทนั้น จะต้องดูว่าเป็นงบฯ ผูกพันไปถึงรัฐบาลใหม่หรือไม่ ซึ่งอาจส่งผลกระทบให้ปีนี้ จะไม่มีงบฯ ให้ผู้กู้รายใหม่เลย
สำหรับแนวทางการแก้ปัญหาในเรื่องนี้นั้น นักศึกษาชั้นปีที่ 1 สามารถไปกู้ยืมเงินจากกองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา ที่ผูกกับรายได้ในอนาคต (กรอ.) ส่วนนักเรียนชั้น ม.6 ที่เคยกู้ยืมเงินกยศ. ก็สามารถเปลี่ยนมากู้เงิน กรอ.ได้ ขณะที่ผู้กู้รายใหม่ในระดับการศึกษาขั้นพื้นฐานนั้น เท่าที่ทราบ ทางกระทรวงศึกษาธิการ (ศธ.) มีทุนจำนวนมาก จึงคิดว่าทุนเหล่านี้จะช่วยบรรเทาปัญหาได้บ้าง ซึ่งตนจะนำปัญหาในเรื่องการดำเนินงาน กยศ.ทั้งหมด เข้าหารือในคณะกรรมการ กยศ. วันที่ 27 ก.พ.นี้ แต่ก็ไม่แน่ใจว่า จะได้ข้อสรุป หรือแนวทางแก้ไขปัญหาหรือไม่