xs
xsm
sm
md
lg

"ประยุทธ์"ปัดสวะจี้ยุติความรุนแรงอ้างทหารทำตามกม.ศาลสุดทนถูกถล่มM79

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - ผบ.ทบ.แถลงผ่านช่อง 5 เผยคนก่อเหตุรุนแรงเอี่ยวการชุมนุมปี 53 กำลังหาหลักฐานเอาผิดตามกฎหมาย ศาลยกคำร้อง! ไม่ออกหมายจับ 13 แกนนำ กปปส.ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ -นปช.เหิมโทรข่มขู่ศาล ด้านเลขาฯ สำนักงานศาลยุติธรรม เผย ยอมไม่ได้ มือมืดใช้อาวุธสงครามยิงข่มขู่ศาล พร้อมให้รวบรวมหลักฐานเอาผิดพวกโพสต์ข้อความหมิ่นและคุกคามผู้พิพากษา ยันไม่กระทบการพิจารณาคดี เพราะทำตามอำนาจหน้าที่ โดยไม่หวั่นไหว หรือหวาดกลัวอันตราย

พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) ได้อ่านแถลงการณ์ ชี้แจงจุดยืนของกองทัพบก ต่อสถานการณ์ทางการเมือง ผ่านสถานีวิทยุโทรทัศน์กองทัพบกช่อง 5 (ททบ.5) ว่า ในนามของผบ.ทบ. และรองผู้อำนวยการรักษาความมั่นคงภายในราชอาณาจักร (รองผอ.รมน.) อยากชี้แจงและแสดงความคิดเห็นในฐานะที่ดูแลงานด้านความมั่นคง ซึ่งตนได้ให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนไปบ้างแล้ว แต่เกรงว่า ข้อมูลที่ได้รับอาจไม่ชัดเจน จึงอยากชี้แจงในรายละเอียด เพราะวันนี้สถานการณ์ความรุนแรงมีมากขึ้น มีการบาดเจ็บสูญเสียมากขึ้น ซึ่งเป็นความห่วงใยจากตน และคนในกองทัพ ขอแสดงความเสียใจกับผู้ที่บาดเจ็บ และสูญเสียชีวิต ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับประชาชนผู้บริสุทธิ์ และเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ในการปฏิบัติหน้าที่

วันนี้ทางกองทัพบกพยายามหารือไปยังนายกรัฐมนตรี ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ ศูนย์รักษาความสงบ (ศรส.) และทุกกลุ่มผู้ชุมนุม ในการจะร่วมกันยุติความรุนแรงที่เกิดขึ้นให้ได้ รวมถึงหาตัวผู้กระทำความผิด ใช้อาวุธสงครามอย่างอุกอาจ ไม่ว่าจะเกิดจากฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด โดยถือเป็นความรับผิดชอบของรัฐและเจ้าหน้าที่ทหาร ตำรวจ ทุกภาคส่วนที่ต้องพิสูจน์ทราบ เพื่อดำเนินการป้องกันปราบปราม ตามกระบวนการทางกฎหมายให้ได้โดยเร็วที่สุด เพราะหากยังคงมีอยู่ นับวันสถานการณ์จะมีความรุนแรงมากขึ้น จนไม่สามารถควบคุม หรือ ยุติได้ และจะทำให้เกิดความสูญเสียต่อประเทศชาติอย่างมหาศาลในโอกาสต่อไป

สำหรับกลุ่มผุ้ก่อเหตุรุนแรง จากข้อมูลงานด้านการข่าว พบว่า มีหลายกลุ่มด้วยกัน ส่วนใหญ่จะมีส่วนกับการชุมนุมในปี 2553 ขณะนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนการพิสูจน์ทราบ และหาหลักฐานให้ชัดเจน เพื่อดำเนินคดีตามกฎหมายให้ได้เร็วที่สุด กองทัพไม่กลัวการปฏิบัติหน้าที่ เพื่อแก้ไขสถานการณ์ แต่เกรงว่า จะเกิดการบาดเจ็บ สูญเสีย ของประชาชนเพิ่มขึ้นอีกจำนวนมาก เนื่องจากยังมีหลายพวก หลายฝ่ายไม่เข้าใจ และยังต่อต้านการปฏิบัติหน้าที่ของทหาร

การปฏิบัติหน้าที่ของตำรวจ ทหาร และข้าราชการในปัจจุบัน ไม่ได้หมายความว่า จะสนับสนุนฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด ทั้งหมดเป็นการทำหน้าที่ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่มีผลบังคับใช้ ในสถานการณ์ปัจจุบัน ส่วนการใช้อาวุธต่อผู้ชุมนุม และเจ้าหน้าที่ ไม่ว่า จะเกิดจากฝ่ายใด ถือเป็นความผิดร้ายแรง ตามกฎหมายชัดเจน เจ้าหน้าที่และรัฐบาลจำเป็นจะต้องยุติให้ได้โดยเร็ว โดยการจับกุมดำเนินคดีให้ได้ และให้ความเป็นธรรมกับทุกฝ่าย เช่นเดียวกับการใช้อาวุธต่อศาล องค์กรอิสระ สถานที่ราชการ เจ้าหน้าที่รัฐ ก็เป็นความผิดร้ายแรงเช่นกัน

“ขอร้องให้ทุกกลุ่มของผู้ชุมนุม ไม่ให้เกิดการบุกรุก ยึดสถานที่ราชการ หรือใช้อาวุธต่อเจ้าหน้าที่ เพื่อหลีกเลี่ยงการบังคับใช้กฎหมายของเจ้าหน้าที่ ซึ่งเป็นไปตามรัฐธรรมนูญ สถานการณ์ที่มีเหตุการณ์ร้ายแรง จะต้องมีผู้รับผิดชอบ ไม่ได้หมายความว่า ทหารจะสามารถใช้กำลังคลี่คลายสถานการณ์ได้ โดยไม่ยึดถือหลักกฎ กติกา หรือกฎหมาย เพราะความขัดแย้งในปัจจุบันเกิดขึ้นในหลายระดับ ทั้งกับเจ้าหน้าที่ และประชาชนหลายกลุ่ม หากมีการใช้กำลังแก้ไขที่ปลายเหตุย่อมหมายความว่า กฎหมายและรัฐธรรมนูญที่มีอยู่ในปัจจุบัน จะต้องถูกยกเลิก ไม่ได้รับการยึดถืออีกต่อไป หลายพวกหลายฝ่ายที่อยากให้ใช้วิธีการดังกล่าว ขอให้กลับมาพิจารณา และมาตั้งสติว่า ปัญหาเหล่านี้จะยุติได้ด้วยวิธีการอันสงบหรือไม่ หากเรากระทำไปในลักษณะนั้น จะขยายความรุนแรงออกไปหรือไม่ ในเมื่อยังคงมีการปลุกระดมประชาชนทุกกลุ่ม ทุกพวก ในทุกวงการให้มาต่อสู้ ซึ่งกันและกัน”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สิ่งที่กองทัพดำเนินการในเวลานี้ จำเป็นต้องยึดถือกฎหมายรัฐธรรมนูญ โดยการจัดกำลังออกมาดูแลประชาชนในพื้นที่ที่มีการประกาศกฎหมายพิเศษเป็นจำนวนมาก ตลอด 24 ชั่วโมง หากเราดำเนินการไม่ถูกวิธี หรือใช้กำลังทหารเต็มรูปแบบ เราจะแน่ใจได้หรือว่า สถานการณ์จะยุติลงได้โดยสงบ ขณะที่ทุกฝ่ายยังไม่พยายามลดเงื่อนไข ไม่พยายามพิสูจน์หาข้อเท็จจริง และยอมรับกฎ กติกา กฎหมายของสังคม สิ่งที่น่ากระกระทำในเวลานี้คือ ให้ทุกฝ่ายได้ทำงานตามความรับผิดชอบของตนอย่างเต็มสติกำลัง อย่างครบถ้วนด้วยความเป็นธรรม อำนวยความยุติธรรมได้อย่างถูกต้อง และสมบูรณ์ โดยไม่ถูกกดดันโดยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด และหาทางลดความขัดแย้งให้ได้โดยเร็ว

ประการสำคัญคือ การใช้กำลังทหารคลี่คลายสถานการณ์อย่างเต็มรูปแบบนั้น จะได้รับการยอมรับจากประชาชน ที่อยู่นอกเหนือจากความขัดแย้งนี้หรือไม่ เรื่องนี้ต้องพิจารณาด้วยความระมัดระวัง ประกอบกับขณะนี้ สภาวะแวดล้อมทางเศรษฐกิจ สังคม ของประเทศไทยในสายตาของต่างชาติยังมีความสำคัญ สำหรับความขัดแย้งในครั้งนี้เป็นไปอย่างกว้างขวาง มากกว่าปี 2553 เพราะในปี 53 เกิดจากคู่ขัดแย้งไม่มากนัก แต่ในปัจจุบันมีหลายกลุ่ม และมีเงื่อนไขสลับซับซ้อน

“สิ่งที่ต้องดำเนินการเร่งด่วน คือ ให้ทุกพวก ทุกกลุ่ม มาพูดคุย หารือกันเพื่อให้เชื่อได้ว่า จะได้รับความเป็นธรรม ความชอบธรรมอย่างเท่าเทียม และช่วยกันก้าวเดินนำพาไปสู่การแก้ปัญหาที่เป็นระบบอย่างสันติวิธี การแก้ไขดังกล่าว ต้องอาศัยประชาชนทั้งประเทศเรียกร้องให้เกิดขึ้น อย่าคิดว่า ธุระไม่ใช่ หรือการถือพวก ถือฝ่าย ต้องเอาผลประโยชน์ของชาติ ทั้งปัจจุบันและอนาคต มาเป็นหลักในการแก้ปัญหาวิกฤติการณ์ในปัจจุบันให้ได้ จนได้รับการยอมรับในข้อเท็จจริงจากคู่ขัดแย้ง และประชาชนทุกหมู่เหล่าที่เป็นคนไทย และเป็นเจ้าของประเทศอย่างแท้จริง ทหารไม่ต้องการใช้กำลังและอาวุธมาต่อสู้กับคนไทยด้วยกันที่เห็นต่างโดยไม่จำเป็น เนื่องจากสถานการณ์ในปัจจุบันยังมีกฎหมายรัฐธรรมนูญบังคับใช้ หากมีการสูญเสียเกิดขึ้นอีกต่อไป ประเทศชาติจะล่มสลายอย่างแน่นอน และจะไม่มีใครชนะ หรือแพ้อีกต่อไป สิ่งที่เราคาดหวังคือ อยากให้ทุกฝ่ายได้นำเงื่อนไขทั้งหมดมาชี้แจง พิสูจน์ทราบในข้อเท็จจริงให้ชัดเจนขึ้น เพื่อไม่ให้เกิดความสับสน ความไม่เข้าใจ และขยายความขัดแย้งไปมากกว่านี้ เมื่อข้อเท็จจริงปรากฏ แล้วก็จะทำให้ได้รับการยอมรับ และจะได้หาทางแก้ปัญหาด้วยการบังคับใช้กฎหมาย เพื่อไปสู่ความสงบสุขอย่างยั่งยืน โดยไม่ให้มวลชนออกมาต่อสู้กัน ซึ่งผลสุดท้ายผู้ที่ได้รับบาดเจ็บ สูญเสีย คือ ประชาชน และเจ้าหน้าที่ ตลอดจนกฎหมายทุกฉบับ จะถูกทำลายอย่างยับเยิน”พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว

พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวว่า สรุปคือ การใช้รัฐธรรมนูญและกฎหมายของทุกฝ่ายมาต่อสู้กัน เพื่อความถูกต้อง ความชอบธรรม ความยุติธรรม มาตรฐานที่ทัดเทียม ที่แต่ละฝ่ายกล่าวอ้างว่า ไม่ได้รับ ความโปร่งใส การทุจริตในโครงการต่างๆ ทั้งอดีตและปัจจุบัน การปฏิบัติของเจ้าหน้าที่ภายใต้รัฐธรรมนูญและกฎหมายที่เกี่ยวข้อง การปฏิบัติของกระบวนการยุติธรรม และองค์กรอิสระ ที่ไม่ได้รับการยอมรับโดยสมบูรณ์ ซึ่งจะต้องกระทำได้โดยไม่ถูกกดดัน และไม่ปลอดภัย รวมถึงการปฏิบัติงานของข้าราชการ พลเรือน ตำรวจ ทหาร ตามกฎหมายรัฐธรรมนูญที่ไม่ต้องถูกบังคับให้เลือกข้าง การว่ากล่าวให้ร้ายปลุกระดมทางสื่อและโซเชี่ยลมีเดียที่ไม่เป็นข้อเท็จจริง และขยายความขัดแย้งให้มากขึ้น ทั้งหมดคือ เหตุผลและความจำเป็นที่ตนต้องออกมาชี้แจงในวันนี้ เพื่อไม่ให้เกิดการสูญเสียกับคนไทยอีกต่อไป ทุกพวกทุกฝ่ายที่เป็นคนไทย ต้องออกมาร่วมกันแสวงหาทางออกให้ได้โดยเร็วที่สุด ก่อนที่ทุกระบบในการขับเคลื่อนระบอบประชาธิปไตยจะสูญเสียไปอย่างถาวร

ประการสำคัญคือ กองทัพ ถูกว่ากล่าว ให้ร้าย ถูกดึงเข้าไปในความขัดแย้งอย่างต่อเนื่อง ซึ่งกองทัพพยายามใช้ความอดทน อดกลั้น มาโดยตลอด ขณะที่กองทัพกำลังรับผิดชอบงานด้านอื่นอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง ตนมุ่งหวังให้การแก้ไขปัญหาของประเทศชาติ ดำเนินการไปอย่างสันติวิธี และรวดเร็วและไม่สร้างความขัดแย้งอีกต่อไป

ศาลยกคำร้อง! ไม่ออกหมายจับ 13 แกนนำ กปปส.

ที่้ห้องพิจารณาคดี 814 ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษก วานนี้ (24 ก.พ.) เมื่อเวลา 11.00 น. ศาลนัดฟังคำสั่งคำร้องขอออกหมายจับคดีฝ่าฝืน พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ที่. พ.ต.ต.ยุทธนา แพรดำ ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านคดีพิเศษ กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ยื่นคำร้องขออนุมัติหมายจับ นายสมเกียรติ พงษ์ไพบูลย์ , นายสมศักดิ์ โกศัยสุข , น.ส.จิตภัสร์ กฤษดากร , นายสกลธี ภัททิยกุล ,นายสมบัติ ธำรงธัญญวงศ์ , ดร.เสรี วงษ์มณฑา ,นายถนอม อ่อนเกตุพล ,หลวงปู่พุทธอิสระ เจ้าอาวาส วัดอ้อน้อย จ.นครปฐม ,นายสาวิทย์ เเก้วหวาน, นายคมสันต์ ทองศิริ , นายสุชาติ ศรีสังข์, นพ.ระวี มาศฉมาดล เเละนายนพพร เมืองเเทน ฝ่าฝืนพ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ มาตรา 11 (1) และมาตรา 12 โดยก่อนหน้านี้เมื่อวันที่ 21 ก.พ.ที่ผ่านมา นายสุเมธ แผลงประพันธ์ ทนายความ ก็ได้นำคำพิพากษาศาลแพ่งเมื่อวันที่ 19 ก.พ. ในคดีที่ นาถาวร เสนเนียม แกนนำ กปปส. ยื่นฟ้องเพิกถอนประกาศ พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน พ.ศ.2548 ซึ่งสั่งห้าม น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี , ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง ผอ.ศูนย์รักษาความสงบ ( ศรส.) และ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ในฐานะ รอง ผอ.ศรส. นำประกาศและข้อกำหนด ที่ออกตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ รวม 9 ข้อ เช่น การห้ามเข้าอาคาร - ใช้เส้นทางจราจร มาบังคับใช้กับผู้ชุมนุม กปปส. รวมถึงการ ห้ามใช้กำลังและอาวุธ สลายการชุมนุม มายื่นต่อศาลอาญา เพื่อคัดค้านการขอออกหมายจับด้วย

ทั้งนี้ศาลไม่อนุญาตให้ผู้ไม่เกี่ยวข้องเข้าฟังในห้องพิจารณา เนื่องจากหมายจับเป็นเรื่องระหว่างศาลกับผู้ร้องและผู้คัดค้านเท่านั้น ซึ่งศาลพิจารณาคำร้องประกอบคำคัดค้านแล้ว จึงมีคำสั่งให้ยกคำร้องของพนักงานสอบสวนดีเอสไอ ดังกล่าว

ภายหลังนายวิโรจน์ ภูมิศิริสวัสดิ์ ทีมทนายความ ได้เปิดเผยว่า ศาลพิจารณาแล้วเห็นว่า ศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาห้าม ศรส.ใช้ประกาศและข้อกำหนดตาม พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ แล้ว กรณีจึงไม่มีความจำเป็นเร่งด่วนอีก ประกอบกับหากผู้ต้องหากระทำผิดและจะมีการกล่าวหาสอบสวนคดี ก็สามารถใช้กฎหมายอาญาดำเนินการได้

นายวิโรจน์ ทนายความ กล่าวต่อว่า ส่วนที่ได้ยื่นคำร้องขอให้ศาลอาญา พิจารณาเพิกถอนหมายจับนายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ กปปส. กับพวกแกนนำ กปปส. รวม 18 คนข้อหาฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ฯ นั้น ศาลอาญา นัดฟังคำสั่งในวันที่ 27 ก.พ.นี้ เวลา 14.00 น.

พ.ต.ท.เทพพิทักษ์ แสงกล้า พนักงานสอบสวนผู้ชำนาญพิเศษ สน.พญาไท หนึ่งในทีมพนักงานสอบสวน กล่าวว่า จะมีการยื่นอุทธรณ์หรือไม่นั้น ต้องรายงานให้ผู้บังคับบัญชาทราบเพื่อพิจารณาต่อไป

นปช.เหิมแจกเบอร์ข่มขู่ครอบครัวผู้พิพากษา

มีรายงานข่าวแจ้งว่า ก่อนเกิดเหตุการณ์ระเบิดอย่างต่อเนื่องและศาลแพ่งได้มีคำพิพากษาไม่ยกเลิก พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ แต่ไม่ให้รัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมนั้น องค์คณะผู้พิพากษาทั้ง 5 ของศาลแพ่งได้ถูกแกนนำ นปช.นำรายชื่อพร้อมที่อยู่และเบอร์โทรศัพท์ติดต่อทั้งที่บ้านและมือถือ แจกจ่ายไปให้สมาชิก นปช.ทั่วประเทศ พร้อมกับยั่วยุให้เกิดความเกลียดชังในตัวองค์คณะผู้พิพากษาศาลแพ่งทั้ง 5 ราย โดยองค์คณะผู้พิพากษาศาลแพ่งและครอบครัว ได้ถูกโทรศัพท์ลึกลับโทร.ข่มขู่มาโดยตลอดอย่างไม่เกรงกลัวต่อกฎหมาย ซึ่งสอดคล้องกับเหตุการณ์ความรุนแรงอย่างต่อเนื่องในช่วงเใวลาที่ผ่านมา ทำให้เห็นว่ากลุ่ม นปช.ไม่เกรงกลัวต่ออำนาจศาลและกฎหมายแต่อย่างใด ซึ่งขณะนี้องค์คณะผู้พิพากษาศาลแพ่งอยู่ระหว่างรววบรวมหลักฐานเพื่อดำเนินการต่อไป

เลขาฯศาลลั่นยอมไม่ได้ทำตามหน้าที่

นายภัทรศักดิ์ วรรณแสง เลขาธิการสำนักงานศาลยุติธรรม แถลงถึงเหตุรุนแรงคนร้ายลอบยิงระเบิด เอ็ม 79 เข้าใส่อาคารศาลอาญาและลานจอดรถของศาลแพ่ง และเหตุการณ์กลุ่มผู้ชุมนุมมาวางพวงหรีด จุดธูป และชูป้ายข้อความประท้วงต่างๆ ว่าไม่สามารถทำให้องค์กรศาลหวั่นไหวได้ และขอให้กลุ่มผู้ไม่หวังดียุติการกระทำด้วย การพิจารณาคดีของศาลนั้น กระทำไปตามพยานหลักฐานที่คู่ความได้เสนอขึ้นมา และยืนยันว่า ศาลไม่ได้เข้าข้างฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง โดยยึดหลักฐานที่ทั้งสองฝ่ายนำเสนอเป็นหลัก

“เรื่องดังกล่าวมันไม่ได้เป็นประโยชน์กับใคร มีแต่จะทำให้เรื่องเลวร้ายขึ้น และไม่ได้เป็นการช่วยแก้ปัญหา แต่กลับเป็นการก่อปัญหาขึ้นใหม่ ขอให้เห็นแก่ประเทศชาติเป็นหลัก ยืนยันว่าสิ่งที่ผู้ก่อเหตุทำไม่ได้สร้างความหวั่นไหวต่อการพิจารณาคดีของผู้พิพากษา ตนได้สั่งให้เร่งดำเนินคดีกับผู้ที่เกี่ยวข้องแล้ว ทั้งผู้กระทำผิดและผู้จ้างวานเพื่อนำตัวมาลงโทษให้ได้ ซึ่งขณะนี้คดีมีความคืบหน้าไปมากพอสมควร แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยได้” เลขาฯสำนักงานศาลยุติธรรม กล่าว
กำลังโหลดความคิดเห็น