xs
xsm
sm
md
lg

ดั่งกันและกัน

เผยแพร่:   โดย: ไพรัตน์ แย้มโกสุม

“หนึ่งคือทั้งหมด...ทั้งหมดคือหนึ่ง” ลึกซึ้ง งดงาม เปี่ยมรัก อิสระ โลกทั้งผองพี่น้องกันจากมหาวิทยาลัยมหาสารคาม กำลังปฏิบัติหน้าที่ต่อผู้ป่วยที่ฉันไปเยี่ยม และผู้ป่วยอื่นๆ ด้วยความตระหนักรู้และเข้าใจต่อเพื่อนมนุษย์ยามทุกข์โศกโรคภัยมาเยือน

“พาฝัน” และ “สรรค์สร้าง” คือชื่อของนักศึกษาคู่นั้น เธอทั้งสองปฏิบัติต่อผู้ป่วยด้วยความงดงาม มีเมตตา กรุณา ตั้งใจจริง ปราศจากความรังเกียจเดียดฉันท์ ให้คำแนะนำแก่ญาติผู้ป่วยเป็นอย่างดี ให้กำลังใจแก่ผู้ป่วยดั่งลูกหลาน

ภาพนักศึกษาฝึกงานหนุ่มสาวสองคนดังกล่าวนั้น ทำให้ฉันนึกถึงแก่นหลักแลต้นตอที่ก่อเกิดดอกไม้ผลิบานในวันนี้...

สมเด็จพระราชบิดา (สมเด็จพระมหิตลาธิเบศร อดุลยเดชวิกรม พระบรมราชชนก) พระบิดาแห่งการแพทย์ไทย ทรงสอนว่า “ขอให้ถือประโยชน์ส่วนตน เป็นกิจที่สอง ประโยชน์ของเพื่อนมนุษย์เป็นกิจที่หนึ่ง ลาภทรัพย์และเกียรติยศจะตกแก่ท่านเอง ถ้าท่านทรงธรรมะแห่งอาชีพไว้ให้บริสุทธิ์”... “ฉันไม่ต้องการให้พวกเธอมีความรู้เพียงอย่างเดียว ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นบุคคลที่ถึงพร้อมแล้วด้วย หมายความว่า ฉันต้องการให้พวกเธอเป็นทั้งนายแพทย์ และเป็นผู้ที่อยู่ในสังคมและศีลธรรมอันดีด้วย จึงจะสามารถทำประโยชน์ให้แก่ประเทศชาติได้”

สมเด็จย่า (สมเด็จพระศรีนครินทราบรมราชชนนี) ทรงสอนว่า... “ผู้ใดสมัครเลือกวิชาชีพพยาบาล เป็นผู้ที่สมควรได้รับการยกย่อง เพราะมิเพียงแต่เป็นผู้ประกอบวิชาชีพ โดยใช้กำลังแรงกำลังกายเท่านั้น แต่ต้องใช้กำลังใจอย่างแรงกล้าในการปฏิบัติงานอีกด้วย ท่านควรสำนึกในหน้าที่ที่ท่านรับผิดชอบอยู่ตลอดเวลา และปฏิบัติงานด้วยความกล้าหาญ อดทน พร้อมทั้งรักษาความซื่อสัตย์ และมีเมตตา คุณสมบัติต่างๆ เหล่านี้ นับเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่งสำหรับพยาบาล”

ฟลอเรนซ์ ไนติงเกล นางฟ้าในสนามรบ กล่าวว่า... “การพยาบาลคืองานของพระเจ้า”... “เราจะดำรงชีวิตอย่างผู้บริสุทธิ์ และกระทำในสิ่งที่ถูกต้อง เราจะปฏิบัติหน้าที่ด้วยความรักและศรัทธา เราจะช่วยงานแพทย์ด้วยความตั้งใจจริง เพื่อผู้ป่วยในความดูแลของเรา เราจะยอมเอาชีวิตแลกเพื่อพวกเขา โดยมีเทียนไขในมือ”

โอ...อมิตพุทธ (สติปัญญาเป็นแสงสว่างไม่มีที่สิ้นสุด) สรรพสิ่งล้วนสัมพันธ์กัน อิงอาศัยกัน สรรพสิ่งล้วนเป็น “ดั่งกันและกัน” ฉันกำลังดื่มชาอย่างมีสติ ฉันมีสมาธิกับการดื่มชา ฉันเห็นก้อนเมฆในน้ำชาของฉัน (ฉันฝันเพ้อมากไปหรือเปล่า?)

ไถ่ (ภาษาเวียดนาม แปลว่า พระอาจารย์) ติช นัท ฮันห์ ธรรมาจารย์แห่งสติแบบเรียบง่าย ความรัก ความสุข เบิกบาน และศานติ กล่าวว่า... “มีคำพูดที่ว่า ความสุขนั้น ไม่สามารถจะเกิดขึ้นได้ ขณะนี้ และที่นี่ แต่ความสุขนั้นจะหาได้ในอนาคต คนส่วนใหญ่จึงแสวงหาความสุขที่จะเกิดขึ้นในอนาคต มีคนไม่มากนักหรอก ที่สามารถมีความสุขเบิกบานกับขณะปัจจุบันได้ พระพุทธองค์ทรงตรัสว่า อดีตได้ผ่านไปแล้ว และอนาคตยังมาไม่ถึง มีเพียงชั่วขณะเดียวเท่านั้น ที่จะเป็นชั่วขณะที่เราจะมีชีวิตได้อย่างแท้จริง นั่นก็คือ ปัจจุบันขณะ หากเธอสามารถนำใจกลับมาหากายได้ เธอจะสามารถสัมผัสถึงความมหัศจรรย์ของชีวิตที่ดำรงอยู่ในปัจจุบันขณะ”

คำว่า “ปัจจุบันขณะ” ใช่ว่าจะมีกล่าวถึงเฉพาะท่านไถ่ ติช นัท ฮันห์ ท่านผู้รู้ และท่านผู้ใฝ่ในธรรมทั้งหลายต่างก็กล่าวถึงคำนี้ เพราะอยากดำรงอยู่กับชีวิตที่แท้จริง

โลกใบนี้เคลื่อนที่ การดำรงอยู่ของสรรพสิ่งทั้งมวลก็เคลื่อนที่ การเคลื่อนที่มีสองแนว คือแนวราบ เป็นการเคลื่อนที่ของจิตที่ชอบคิดกับแนวดิ่ง เป็นการเคลื่อนที่ของความรู้สึกตัว

ทั้งสองแนวมาบรรจบกัน ณ จุดๆ หนึ่ง ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขน ทั้งแนวดิ่งและแนวราบต่างมาบรรจบกัน ณ จุดๆ หนึ่ง และจุดนั้นคือ ณ ที่นี่ และขณะนี้จาก ณ ที่นี่และขณะนี้ เราเดินทางต่อไปได้สองเส้นทาง เส้นทางแรก คือเดินไปในโลก และไปสู่อนาคต และอีกเส้นทางคือ เดินไปสู่ความรู้สึกตัวอันบริสุทธิ์ และไปสู่ความลุ่มลึก แล้วตระหนักรู้ให้มากขึ้น ตื่นตัวให้มากขึ้น และรับรู้ต่อปัจจุบันขณะอย่างว่องไว

ปัญหาทุกอย่างที่เกิดขึ้น จะมีอยู่เฉพาะแนวราบเท่านั้น ส่วนแนวดิ่งไม่มีปัญหาอะไร มีแต่ความปีติยินดีอย่างที่สุด

ท่านผู้รู้เปรียบเทียบแนวราบกับแนวดิ่งไว้อย่างน่าสนใจว่า...แนวราบ เปรียบเหมือนอูฐ สิงโต ส่วนแนวดิ่งเปรียบเหมือนเด็ก

อูฐ สิงโต และเด็ก จึงเป็นการเดินทางสู่ความเป็นมนุษย์ มนุษย์ที่ชอบคิดกับมนุษย์ที่รู้สึกตัว

คนส่วนใหญ่หมายถึงประชาชนโดยทั่วไป ติดอยู่ที่สภาวะความเป็นอูฐ ไม่กล้าปฏิเสธอะไร จึงชอบพูดว่า ใช่ๆๆ เยสๆๆ และคนส่วนน้อยก็ติดอยู่ที่ความเป็นสิงโต มักเป็นเอกเทศ กล้าที่จะปฏิเสธ มักพูดว่า ไม่ๆๆ โนๆๆ คนส่วนน้อยหมายถึงปัญญาชน เช่น ศิลปิน นักกวี จิตรกร นักดนตรี นักคิด นักเขียน นักหนังสือพิมพ์ นักปราชญ์ นักปฏิวัติ ฯลฯ พวกเขาไปไกลกว่าอูฐ แต่ยังไม่จบสมบูรณ์ ยังไม่ได้กลับบ้านซึ่งเป็นสภาวะที่สามในความเป็นเด็ก

คนในแนวเดียวกัน ช่วยกันแก้ปัญหาก็พอใช้ได้ ถ้าเชื่อคนอย่างสิงโตที่มีความคิดสร้างสรรค์มากกว่าอูฐ แต่จะให้สมบูรณ์พูนสุขก็ยากอยู่

คนต่างแนวที่สูงกว่า มองเห็นแนวต่ำกว่าได้ชัดเจน กลับเห็นว่า ไม่เป็นปัญหา เพราะทุกอย่างเป็นไปตามเหตุปัจจุบันที่เรียกว่า “ตถตา-เช่นนั้นเอง”

นกเล็กที่หากินตามพื้นดินบินได้ต่ำๆ ใกล้ๆ ไยเล่าจะเข้าใจนกใหญ่ที่บินได้สูงๆ ไกลๆ แต่นกใหญ่ก็เข้าใจนกเล็ก ที่เป็นเช่นนั้น แม้จะต่างความคิด ต่างการดำรงอยู่ แต่เราก็เป็น “ดั่งกันและกัน” อาศัยกัน สัมพันธ์กัน

คุณอุทัย ยอดมณี นักศึกษาม.รามคำแหง เป็นผู้ประสานงาน คปท. (เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย) ทุกครั้งที่ขึ้นเวทีไม่เคยลืมวลีโดนใจของใครๆ เสมอว่า... “พี่น้องกัน รักกัน ไม่ทิ้งกัน” เรียบง่าย สบายใจ ลุ่มลึกในความเป็นหนึ่งเดียว ตอบโจทย์คำว่า “หนึ่งคือทั้งหมด-ทั้งหมดคือหนึ่ง” ได้ดีทีเดียว

คุณอุทัยก็ดี คปท.ก็ดี เป็นส่วนหนึ่งในสถานการณ์สู้รบแบบสันติ อหิงสา ปราศจากอาวุธ ซึ่งเป็นฝ่ายมวลมหาประชาชนกับฝ่ายระบอบทักษิณ-รัฐบาลยิ่งลักษณ์ (ที่มีกำลังคนกำลังอาวุธเพียบ)

ฝ่ายมวลมหาประชาชนนำโดย กำนันสุเทพ เทือกสุบรรณ เห็นว่ารัฐบาลชุดนี้ไม่ชอบธรรม ล้มเหลว จึงชุมนุมขับไล่ให้ลาออกไป มวลมหาประชาชนที่ลุกขึ้นสู้จะได้จัดตั้งรัฐบาลใหม่ ปฏิรูปประเทศไทยให้เป็นธรรม เพื่อคนส่วนใหญ่ของประเทศเสียที ฝ่ายรัฐบาลไม่ยอมลาออก ต่างก็ยื้อกันไปยื้อกันมา

ยิ่งนานวันความเสียหายและหายนะก็จะเกิดแก่ประเทศไทยของเรามากขึ้นๆ เกินจะแก้ไข

ที่เขาไล่ “ออกไปๆๆ” นั้น ลองพลิกมุมใหม่อาจจะเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น

ที่เขาไล่ เพราะเขารัก เขาสงสาร ไม่อยากจะให้ทำความผิดต่อเนื่อง มันเป็นบาปเป็นกรรมทำความผิดเท่าไหร่ โทษก็เป็นเงาตามตัวเท่านั้น ตอนนี้เหมือนไม่มีอะไร ยังสุขสบายดี เป็นสวรรค์น้อยใหญ่ลอยไปลอยมา นั่นเพราะผลกรรมยังมาไม่ถึง หากมาถึงเมื่อไหร่ เมื่อนั้นก็จะรู้สึกเองว่า นรกมีจริง (ช่วยด้วยๆๆ ไม่ทำอีกแล้ว)

ถ้าหยุด ความผิดก็หยุด โทษก็หยุด หยุดเพียงคำเดียว องคุลิมาล จอมโจรฆ่าคน ก็กลายเป็นพระอรหันต์ ผู้บริสุทธิ์ผุดผ่องได้

คุณยิ่งลักษณ์ลองสวมวิญญาณสิงโตหน่อย ไม่ๆๆ โนๆๆ รู้จักปฏิเสธคนที่สั่งเราให้ทำโน่นทำนี่ รู้จักดูใจตัวเองว่ามันเคลื่อนไปในแนวไหน ราบหรือดิ่ง อาฆาตหรืออภัย แล้วก็ “มีตาจงดู มีหูจงเกา เอ้ยไม่ใช่ มีหูจงฟัง” บ้างนะ

“หยุด” เพียงคำเดียว โลกเปลี่ยน ตัวเราเปลี่ยน ประเทศไทยเปลี่ยน ถึงอย่างไร ไม่ว่าฝ่ายไหน ดีหรือชั่ว หากมองต่างระดับที่สูงกว่า (ฝันมากไปหรือเปล่า) ก็จะเห็นเด่นชัดว่า เราทั้งหลายต่างก็เป็น “ดั่งกันและกัน” ที่ต้องอาศัยกัน สัมพันธ์กัน รักกัน โลกทั้งผองพี่น้องกัน เอาใจเขามาใส่ใจเรา ฉันคือเธอ เธอคือฉัน ฉันคือสรรพสิ่ง สรรพสิ่งคือฉัน
กำลังโหลดความคิดเห็น