ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า สหรัฐอเมริกาคือ “มหามิตร” ที่แนบแน่นเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับระบอบทักษิณและรัฐบาลรักษาการยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มิได้เป็นมหามิตรกับมวลมหาประชาชนหลายล้านคนที่พร้อมใจกันออกจากบ้านเพื่อขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดให้พ้นไปจากอำนาจการบริหารราชการแผ่นดิน
รัฐบาลยิ่งลักษณ์แห่งระบอบทักษิณและรัฐบาลของประธานาธิบดีบารัค โอบามา ท่องคาถาเดียวกันคือ Respect My Vote โดยเชื่ออย่างสนิทใจว่า การเลือกตั้งคือประชาธิปไตย การเลือกตั้งคือคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง การเลือกตั้งคือพระเจ้าของระบอบประชาธิปไตย ไม่ว่ารัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งจะโกง จะทุจริตมโหฬารสักเพียงใด รัฐบาลสหรัฐฯ ก็มิเคยสนใจ
ใบเสร็จที่ยืนยันชัดเจนว่า สหรัฐฯ คือพันธมิตรอันดับหนึ่งของระบอบทักษิณก็คือ ถ้อยแถลงของ “เจนนิเฟอร์ ปซากี” โฆษกกระทรวงการต่างประเทศ สหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 27 มกราคม 2557 ซึ่งเกิดขึ้นหลังจากการเลือกตั้งล่วงหน้าที่เต็มไปด้วยความโกลาหลในวันที่ 26 มกราคม 2557 และจบลงด้วยการที่กลุ่มคนเสื้อแดงซึ่งสนับสนุนรัฐบาลไล่ยิง “นายสุทิน ธราทิน” หนึ่งในแกนนำคนสำคัญของกองทัพประชาชนโค่นระบอบทักษิณ(กปท.) หนึ่งในองค์กรแนวร่วมของ คณะกรรมการเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข(กปปส.)จนเสียชีวิตกลางวันแสกๆ
“สหรัฐอเมริการู้สึกกังวลอย่างมากกับความพยายามปิดกั้นหน่วยเลือกตั้งซึ่งเป็นการขัดขวางการเลือกตั้งในประเทศไทย ตลอดจนเหตุการณ์รุนแรงทางการเมืองที่เกิดขึ้นล่าสุด สหรัฐอเมริกาไม่เข้าข้างฝ่ายใดในความขัดแย้งทางการเมืองนี้และสนับสนุนเสรีภาพในการแสดงความคิดเห็นรวมทั้งสิทธิในการชุมนุมอย่างสงบ ทว่า การขัดขวางไม่ให้พลเมืองใช้สิทธิในการลงคะแนนเสียงถือเป็นการละเมิดสิทธิสากลของพลเมืองเหล่านั้นและไม่สอดคล้องกับค่านิยมแห่งประชาธิปไตย สหรัฐอเมริกาขอย้ำถึงข้อเรียกร้องของสหรัฐฯ ให้ทุกฝ่ายระงับการใช้ความรุนแรง พยายามอดทน อดกลั้นและมุ่งมั่นที่จะเจรจาอย่างจริงใจเพื่อแก้ปัญหาความคิดต่างทางการเมืองอย่างสันติในแนวทางประชาธิปไตย”
นั่นคือคำแถลงอย่างเป็นทางการของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐฯ
และแน่นอน คำแถลงของกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐได้ถูกรัฐบาลรักษาการนำไปขยายผลต่ออย่างเอิกเกริกเพื่อสร้างความชอบธรรมให้แก่ตนเอง เฉกเช่นเดียวกับสื่อในเครือข่ายคนเสื้อแดงที่พาดหัวไม้ตัวใหญ่เท่าหม้อแกงในวันถัดมา
อย่างไรก็ตาม คงต้องบอกว่า นี่ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกอันใดกับท่าทีของประธานาธิบดีโอบามา เพราะเป็นที่รับรู้กันว่า ระบอบทักษิณกับโอบามามีความสัมพันธ์ที่ลึกซึ้งเพียงใด ไม่เช่นนั้น ประธานาธิบดีโอบามาคงไม่เดินทางมาเยือนประเทศไทยและส่งสายตาหวานเยิ้มเข้าใส่นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งสนองตอบด้วย Women’s touch ที่เธอมีความเชี่ยวชาญเป็นพิเศษ
หรือย้อนกลับไปก่อนหน้านี้ สังคมคงได้เห็นการเข้ามาร่อนแร่แส่เสือกของ นางคริสตี้ เคนนีย์ เอกอัครราชทูตสหรัฐประจำประเทศไทย ซึ่งชัดเจนว่า มีความสัมพันธ์อันดีกับระบอบทักษิณ โดยเฉพาะอย่างยิ่งการแสดงความเห็นจากกรณีมาตรา 112 ว่า “สหรัฐฯ เคารพสถาบันพระมหากษัตริย์ของไทยอย่างสูง แต่ขณะนี้มีความกังวลต่อการตัดสินที่ไม่สอดคล้องกับมาตรฐานสากลในเรื่องสิทธิเสรีภาพการแสดงความคิดเห็น” กระทั่งทำให้คนไทยจำนวนมากเกิดความไม่พอใจที่สหรัฐฯ เข้ามาจุ้นจ้านและเกิดการประท้วงมาแล้วครั้งหนึ่ง
หรือกรณีที่ The Washington Post ได้เปิดฉากเรียกร้องให้ สหรัฐฯ ออกมาประณามผู้ชุมนุมและสนับสนุนให้ระบอบทักษิณ เดินหน้าสู่การเลือกตั้ง ในบทบรรณาธิการ “กลุ่มผู้ชุมนุมต่อต้านประชาธิปไตย ควรได้รับการตำหนิอย่างรุนแรงจากสหรัฐ” ( Thailand’s anti-democracy protests should provoke a harsh rebuke from the U.S.) และบทบรรณาธิการดังกล่าวได้ถูกอ้างในจดหมายของ นายไมเคิล เทอร์นเนอร์ สมาชิกสภาคองเกรส พรรครีพับลิกัน เขต 10 รัฐโอไฮโอ สหรัฐอเมริกาที่อ้อนวอนให้ นายบารัค โอบามา ประธานาธิบดีสหรัฐ ประณามผู้ประท้วง และหนุนให้ระบอบทักษิณได้เดินหน้าสู่การเลือกตั้งอัปยศในวันที่ 2 ก.พ.นี้
และแน่นอนว่า เหล่านี้คือผลตอบแทนที่คุ้มค่าจากการที่ทุ่มเทเงินทองมากมายมหาศาลเพื่อจ้าง “ล็อบบี้ยิสต์” ระดับโลกมาทำงานเพื่อสร้างภาพลักษณ์ให้กับตัวเองตามยุทธศาสตร์ “โลกล้อมประเทศ” ซึ่งหนึ่งในล็อบบี้ยิสต์ชื่อดังที่คนไทยรู้จักกันดีก็คือ “นายโรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม”
ทั้งนี้ เหตุที่สหรัฐฯ นิยมชมชอบระบอบทักษิณก็น่าจะหนีไม่พ้นผลประโยชน์ที่มีร่วมกัน โดยเฉพาะในเรื่องพลังงาน ซึ่งแน่นอนว่า ด้วยความที่เป็นทุนนิยมสามานย์เหมือนกัน ทำให้การพูดจาหรือตกลงทางธุรกิจดำเนินไปด้วยความราบรื่นมากกว่า
นายโทนี คาร์ตาลุกซี นักวิจัยอิสระด้านภูมิศาสตร์การเมือง ได้เขียนบทความที่ทำให้เกิดความเข้าใจชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับความความสัมพันธ์ระหว่างทักษิณ ชินวัตรกับอเมริกา เอาไว้อย่างหมดเปลือกว่า หลังจากที่ทักษิณ ชินวัตร ถูกรัฐประหารโค่นล้มระบอบทักษิณ ในปี 2549 ทักษิณก็มีกลุ่มนักลงทุนระดับสูงของอเมริกาเป็นตัวแทนให้เขามากมายผ่านกลุ่มทุนชั้นนำและบริษัทล็อบบี้ยิสต์ต่าง ๆ เช่น เคนเน็ธ เอเดลแมน จาก เอเดลแมน พีอาร์, เจมส์ เบเกอร์ จาก เบเกอร์ บ็อตตส์, โรเบิร์ต แบล็ควิลล์ จาก บาร์บูร์ กริฟฟิธ แอนด์ โรเจอร์ส, โคบร์ แอนด์ คิม และล่าสุด คือ โรเบิร์ต อัมสเตอร์ดัม จาก อัมสเตอร์ดัม แอนด์ แพรอฟ
“ระหว่างช่วงวิกฤตการเมืองที่เกิดขึ้นอยู่ขณะนี้ สื่อตะวันตกต่างให้การสนับสนุนระบอบทักษิณอย่างเต็มที่และต่อต้านผู้ชุมนุมอย่างชัดเจน ไม่ว่าจะเป็น BBC, Reuters, t New York Times, CNN, Wall Street Journal, และตอนนี้ the Washington Post. เห็นได้ชัดเจนว่าผลประโยชน์ของสหรัฐในประเทศไทย ไม่ได้มีอะไรที่โยงกับการ “ปกป้องประชาธิปไตย” และไม่ได้กังวลกับการถูกข่มขู่คุกคามของประชาชนที่เกิดในสมัยทักษิณ ชินวัตร ซึ่งมีการละเมิดสิทธิมนุษยชนมากที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติ ผลประโยชน์ของสหรัฐฯมีแค่เรื่องทางการเงินและการเมืองเท่านั้น การสนับสนุนของสหรัฐฯได้ทำให้ระบอบทักษิณเข้มแข็งขึ้น ทั้งที่เวลาของระบอบทักษิณน่าจะหมดลงและออกไปจากระบอบการเมืองไทยอย่างสงบ
“แต่ตรงกันข้าม สหรัฐฯกลับสนับสนุนให้มีการเลือกตั้งอัปยศ รวมถึงการใช้ความรุนแรงในการต่อต้านกลุ่มตรงข้ามจนเลือดตกยางออกและมีผู้ได้รับบาดเจ็บและผู้เสียชีวิตลงทุกวัน ขณะที่สื่อตะวันตกกลับปกปิดความโหดร้ายอำมหิตของระบอบทักษิณในข่าวต่างๆด้วยการเสนอข่าวของระบอบทักษิณที่แถลงเรื่องต่างๆเหมือนในการ์ตูนซึ่งตรงข้ามกลับความเป็นจริงและหลักฐานต่างๆอย่างสิ้นเชิง ทุกวันนี้คนไทยถูกทิ้งให้ถามตัวเองว่าพวกเขาควรจะหันไปหาใคร เมื่อตำรวจเสียเองที่ขัดขวางความยุติธรรมและยังมีส่วนในการปกป้องกลุ่มผู้ก่อการร้ายที่ลงมือโจมตีเข่นฆ่าผู้ชุมนุมที่มีการประท้วงอย่างสงบ ทั้งนี้การโจมตีทุกครั้งได้ทำให้ทหารต้องลงมาทำหน้าที่บนถนนมากขึ้น เพราะตำรวจไม่เต็มใจที่จะทำงานของตัวเอง และนั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมประชาชนคนไทยจึงยอมรับบทบาทกองทัพ ระบอบทักษิณ ถูกทิ้งไว้กับการพนันว่าความรุนแรงที่เกิดขึ้นในแต่ละวัน ทหารจะมีการตอบโต้อย่างไรบ้าง ซึ่งก็ขึ้นอยู่กับว่าประเทศตะวันตกได้มีการให้คำสัญญาและให้การสนับสนุนอย่างไร เหมือนกับกรณีของกลุ่มมุสลิมภราดรภาพในประเทศอียิปต์และกลุ่มก่อการร้ายในประเทศซีเรียที่สหรัฐฯหนุนหลัง ซึ่งน่าจะเป็นการเล่นพนันที่ระบอบทักษิณต้องพิจารณาให้มากๆ”โทนี คาร์ตาลุกซี แจกแจง
นั่นคือบทวิเคราะห์ที่กระชากหน้ากากมหามิตรทั้งสองออกมาอย่างไม่มีชิ้นดี
ที่สำคัญคือเป็นบทวิเคราะห์ที่ทำให้เห็นว่า ทำไมสหรัฐฯ และสื่อตะวันตกถึงเข้าข้างรัฐบาลยิ่งลักษณ์และระบอบทักษิณได้แบบไม่ต้องการคำอธิบายใดๆ เพิ่มเติม