ASTVผู้จัดการรายวัน - สบน.รอกฤษฏีกาตีความก่อนกู้จำนำข้าว ชาวนารออีกอย่างน้อย 30 วัน ด้าน ธ.ก.ส.เตรียม 4-5 หมื่นล้าน ช่วยลูกค้าถือใบประทวน พร้อมผ่อนปรนหลักเกณฑ์ให้กู้ 80% และลดดอกเบี้ยเหลือ 3-5%
แหล่งข่าวจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติ ให้กู้เงินเพื่อใช้ในโครงการจำนำข้าววงเงิน 1.3 แสนล้านบาทแล้ว ทาง สบน.ได้มีหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาอีกครั้งเพื่อดูให้รอบครอบก่อนจะทำการกู้เงินคาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 30 วันนี้ หลังจากนั้น สบน.จึงจะดำเนินการกู้เงินให้โดยทยอยกู้สัปดาห์ละหมื่นล้าน ทั้งในรูปแบบของการกู้จากสถาบันการเงินและการออกพันธบัตร
"ที่ต้องถามกฤษฏีกาก็เพื่อความรอบครอบเพราะเป็นเงินจำนวนมากและคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งรวมทั้งการทยอยกู้ด้วย"
ด้านนายส่งเสริม ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่าคณะกรรมการธนาคารมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่ถือใบประทวนแต่ยังไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าวกว่า 1.4 ล้านราย ในระหว่างที่รอเงินกู้จำนวน 1.3 แสนล้านบาท
เบื้องต้น ธ.ก.ส.ได้เห็นชอบในหลักการให้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อรอการขายผลิตใหมให้เกษตรกรสามารถมาขอใช้วงเงินกู้ได้มากขึ้นโดยเบื้องต้นตั้งวงเงินไว้ 4-5 หมื่นล้านบาทและขยายวงเงินต่อรายจากให้วงเงินไม่เกิน 20% ของมูลค่าผลผลิตตามใบประทวนเป็นให้กู้ได้ถึง80%แต่จะพิจารณาตามราคาตลาดไม่ใช่ราคารับจำนำ
อีกทั้งยังลดหย่อนการใช้หลักประกันให้ด้วยที่สำคัญยังพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ด้วยจากเดิมที่อยู่ในระดับ 7% จะลดลงมาเหลือ 3-5% เท่านั้น นอกจากนี้ส่วนขอลูกค้าที่มีกำหนดครบชำระหนี้ในเดือนมีนาคมนี้หลายแสนราย ธ.ก.ส.ก็จะขยายเวลาการชำระหนี้ออกไป 6-12 เดือนโดยไม่คิดเบี้ยปรับในอัตรา3%อีกด้วย
"ธ.ก.สพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรระหว่างที่รอเงินกู้โดยก่อนหน้านี้ตั้งวงเงินช่วยเหลือไว้ 5 พันบาทแต่ชาวนาไม่สนใจมากู้เพราะดอกเบี้ยสูงและให้วงเงินน้อยแต่เมื่อมีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ก็เชื่อว่าลูกค้าจะให้ความสนใจมาขึ้นเพราะบางรายหันไปกู้เงินนอกระบบมาเพื่อใช้หนี้ธนาคารหากมากู้โครงการนี้ดอกเบี้ยถูกกว่ามากและยังนำมาชำระหนี้เดิมได้ด้วยหรือจะเอาไปลงทุนใหม่ก็ได้ส่วนการใช้วงเงินมากแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับธ.ก.ส.จะได้เงินมาจ่ายค่าจำนำข้าวได้หมดเมื่อใด"
นายส่งเสริมเชื่อว่าภายในเดือนมีนาคมนี้น่าจะจ่ายเงินได้เป็นส่วนใหญ่ทำให้มั่นใจว่าลูกค้าจะชำระหนี้คืนได้ตามปกติจากปีก่อนจ่ายเข้ามา 90%ปีนี้อาจลดลงบ้างแต่เกินครึ่งอย่างแน่นอนโดยมองว่าหนี้เสียจะเพิ่มจากปีก่อน4% มาอยู่ที่ 4.3% เท่านั้น.
แหล่งข่าวจากสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ (สบน.) เปิดเผยว่า หลังจากคณะรัฐมนตรี (ครม.) มีมติ ให้กู้เงินเพื่อใช้ในโครงการจำนำข้าววงเงิน 1.3 แสนล้านบาทแล้ว ทาง สบน.ได้มีหนังสือสอบถามไปยังสำนักงานคณะกรรมการกฤษฏีกาอีกครั้งเพื่อดูให้รอบครอบก่อนจะทำการกู้เงินคาดว่าจะมีความชัดเจนภายใน 30 วันนี้ หลังจากนั้น สบน.จึงจะดำเนินการกู้เงินให้โดยทยอยกู้สัปดาห์ละหมื่นล้าน ทั้งในรูปแบบของการกู้จากสถาบันการเงินและการออกพันธบัตร
"ที่ต้องถามกฤษฏีกาก็เพื่อความรอบครอบเพราะเป็นเงินจำนวนมากและคงต้องใช้เวลาระยะหนึ่งรวมทั้งการทยอยกู้ด้วย"
ด้านนายส่งเสริม ศักดิ์สิทธิ์ ผู้ช่วยผู้จัดการธนาคารเพื่อการเกษตรและสหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) กล่าวว่าคณะกรรมการธนาคารมีมติเห็นชอบมาตรการช่วยเหลือเกษตรกรลูกค้าที่ถือใบประทวนแต่ยังไม่ได้รับเงินค่าจำนำข้าวกว่า 1.4 ล้านราย ในระหว่างที่รอเงินกู้จำนวน 1.3 แสนล้านบาท
เบื้องต้น ธ.ก.ส.ได้เห็นชอบในหลักการให้ผ่อนปรนหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อรอการขายผลิตใหมให้เกษตรกรสามารถมาขอใช้วงเงินกู้ได้มากขึ้นโดยเบื้องต้นตั้งวงเงินไว้ 4-5 หมื่นล้านบาทและขยายวงเงินต่อรายจากให้วงเงินไม่เกิน 20% ของมูลค่าผลผลิตตามใบประทวนเป็นให้กู้ได้ถึง80%แต่จะพิจารณาตามราคาตลาดไม่ใช่ราคารับจำนำ
อีกทั้งยังลดหย่อนการใช้หลักประกันให้ด้วยที่สำคัญยังพิจารณาปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้ด้วยจากเดิมที่อยู่ในระดับ 7% จะลดลงมาเหลือ 3-5% เท่านั้น นอกจากนี้ส่วนขอลูกค้าที่มีกำหนดครบชำระหนี้ในเดือนมีนาคมนี้หลายแสนราย ธ.ก.ส.ก็จะขยายเวลาการชำระหนี้ออกไป 6-12 เดือนโดยไม่คิดเบี้ยปรับในอัตรา3%อีกด้วย
"ธ.ก.สพร้อมช่วยเหลือเกษตรกรระหว่างที่รอเงินกู้โดยก่อนหน้านี้ตั้งวงเงินช่วยเหลือไว้ 5 พันบาทแต่ชาวนาไม่สนใจมากู้เพราะดอกเบี้ยสูงและให้วงเงินน้อยแต่เมื่อมีการปรับหลักเกณฑ์ใหม่ก็เชื่อว่าลูกค้าจะให้ความสนใจมาขึ้นเพราะบางรายหันไปกู้เงินนอกระบบมาเพื่อใช้หนี้ธนาคารหากมากู้โครงการนี้ดอกเบี้ยถูกกว่ามากและยังนำมาชำระหนี้เดิมได้ด้วยหรือจะเอาไปลงทุนใหม่ก็ได้ส่วนการใช้วงเงินมากแค่ไหนคงขึ้นอยู่กับธ.ก.ส.จะได้เงินมาจ่ายค่าจำนำข้าวได้หมดเมื่อใด"
นายส่งเสริมเชื่อว่าภายในเดือนมีนาคมนี้น่าจะจ่ายเงินได้เป็นส่วนใหญ่ทำให้มั่นใจว่าลูกค้าจะชำระหนี้คืนได้ตามปกติจากปีก่อนจ่ายเข้ามา 90%ปีนี้อาจลดลงบ้างแต่เกินครึ่งอย่างแน่นอนโดยมองว่าหนี้เสียจะเพิ่มจากปีก่อน4% มาอยู่ที่ 4.3% เท่านั้น.