**เข้าสู่โหมดตาต่อตาฟันต่อฟัน สู้กันให้รู้แพ้รู้ชนะกันไปเลย ระหว่างมวลมหาประชาชนในนาม กปปส. กับรัฐบาลเครือข่ายชินวัตร
เมื่อทั้ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ”เลขาธิการ กปปส. ประกาศกร้าว เดินหน้าจัดชุมนุมต่อ ไม่หวั่นเกรงเสียงระเบิด-เสียงปืน ที่ดังขึ้นทุกวัน “กำนัน” ยังคงพาลูกบ้านเดินขบวนไปตามท้องถนนแบบไม่ยี่หระกับ "ของแข็ง" ที่ถูกประเคนให้แบบไม่ยั้ง
ฝั่ง“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ยังเสียงแข็งไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง “รักษาการนายกฯ” ตามใบสั่งที่ “พี่แม้ว”เขียนมาให้เสร็จสรรพแล้วว่า ต้องอยู่รักษาประชาธิปไตย จะถอยไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เมื่อทั้ง 2 ขั้วอำนาจเผชิญหน้ากัน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความสูญเสีย ชั่วโมงนี้ ประชาชนจึงเปรียบเสมือนตัวประกันที่รอวันโดนกระสุน
หากย้อนกลับไปเปิดตำราทำสงครามเต็มรูปแบบ เคลื่อนเกมใต้ดินไปพร้อมๆเล่นทั้งเกมบนดินของ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ”(นปช.) ในเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 จะพบว่ามีความต่างกันอยู่มาก
เพราะก่อนที่จะมีการชุมนุม "คนเสื้อแดง"แตกออกเป็น 2 สาย สายหนึ่งคือ “แดงนปช.”มีแก๊งสามเกลอ “วีระกานต์ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”เป็นแกนนำ สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ทิศทางการเคลื่อนของคนเสื้อแดงได้ทั้งหมด
สายหนึ่งคือ “แดงฮาร์ดคอร์”มีทั้ง อดีตนายพล-อดีตพลทหาร-อดีตทหารพราน เข้าร่วมกระบวนการมากมายหลายหน้า แต่ที่ออกฉากเปิดหน้าให้เห็น อาทิ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล”(เสธ.แดง) อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบก ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุม หรือ“พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี”ก็มีบทบาทไม่น้อย
ซึ่งรายชื่อของ“นายทหารสายแดง”รู้กันดีว่า เป็นพวกที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน พูดจริง-ทำจริง-ยิงจริง
เสธ.แดง พูดไว้ก่อนการชุมนุมจะมีการฝึกทหารพราน-อดีตทหารพราน อย่างดี เพื่อให้มาช่วยงานเป็นการ์ดคนเสื้อแดงควบคุมการชุมนุม
พล.อ.พัลลภ พูดไว้ชัดเจนว่า เชี่ยวชาญการรบในเมือง ซึ่งหากจะชนะต้องสร้างสถานการณ์ให้เกิดเหตุวุ่นวาย เหมือนพฤษภาทมิฬ ที่ พล.อ.พัลลภ สั่งให้ทำ โรโมตอฟ (ระเบิดเพลิง) ขว้างเข้าใส่ เจ้าหน้าที่รัฐจนเกิดเหตุโกลาหล
หากยังจำกันได้ก่อนการชุมนุมปี 2553 “เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ”เดินทางไปเสนอไอเดียในการจัดตั้งกองกำลังปกป้องคนเสื้อแดง ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงเมืองดูไบ
ซึ่ง“นายใหญ่”ก็ตกปากรับคำอย่างดี เพราะคิดอ่านแล้วว่า หากยังชุมนุมแบบไร้ยุทธศาสตร์ ปล่อยให้คนเสื้อแดง สู้กับ “รัฐบาลอภิสิทธิ์”มือเปล่ามีหวัง มีแต่แพ้กับแพ้
ในทางลับทักษิณไฟเขียวให้ “เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ”ดำเนินการ โดยมี “อดีตนายพล”มากหน้าหลายตา คอยช่วยวางหมาก-เกณฑ์กองกำลังอยู่เบื้องหลัง
อีกด้าน“จตุพร”ก็ทำทีออกมากันท่า ไม่ให้ “เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ”เข้ามาชุบมือเปิบ เลยเถิดไปถึงขั้นด่ากันรุนแรงเปรียบ“เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ”เสมือนขอนไม้แก่ลอยน้ำมีแค่“หมา”เท่านั้นที่จะเกาะเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่ก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่ นปช. ต้องการกันตัวเองออกจาก“แดงฮาร์ดคอร์” ตรงกันข้ามในทางปฏิบัติทั้ง แดงนปช. และ แดงฮาร์ดคอร์ ต่างเดินคู่ขนานไปด้วยกัน
**จึงปรากฏภาพของ“ชายชุดดำ”ออกมาอาละวาดไล่ยิง คนเสื้อแดง เพื่อสร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่า มีความรุนแรงเกิดขึ้น เพื่อใส่ร้าย รัฐบาลอภิสิทธิ์ ให้เป็น“รัฐบาลมือเปื้อนเลือด”
**ดิสเครดิตโยนความรับผิดชอบให้ “อภิสิทธิ์-สุเทพ”
อีกทั้งยังไล่ยิง “ทหาร”ที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ“ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน”(ศอฉ.) เนื่องจาก ทหาร คือ“ศัตรู” ลำดับต้นๆ ของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะ “แดงสายอดีตนายทหาร”เพราะแดงสายนี้อกหัก ไม่ได้ขึ้นตำแหน่งหลักในกองทัพ จึงถือโอกาสแก้แค้น
หากเปรียบเทียบสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 53 กับการชุมนุมของ กปปส. ในปีนี้ มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นั่นเพราะ กปปส.ไม่ได้จัดเตรียม กองกำลังติดอาวุธไว้ก่อนล่วงหน้า หรือมีการฝึกกองกำลังติดอาวุธไว้เลย การชุมนุมที่ผ่านมา ยืนยันได้อย่างดีว่าแทบจะไม่มีการใช้อาวุธ
จะมีการปะทะกันบ้าง หัวหมู่ทะลวงฟันอย่าง“เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ”(คปท.) แต่ก็เป็นการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มี “ชายชุดดำ”มาอิงแอบ
ดังนั้นการที่ “ขี้ข้าแม้ว”อย่าง “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล”รองนายกรัฐมนตรี รมว.ต่างประเทศ ในฐานะกำกับดูแล ศอ.รส. ออกมาโจมตีว่า กปปส.สร้างสถานการณ์ให้เกิดระเบิด เพื่อใส่ร้าย“รัฐบาลปูแดง”มีเปอร์เซ็นต์เป็นได้น้อยมาก
การออกมากันท่าของ สุรพงษ์ น่าสงสัยเสียมากกว่า เพราะมันผิดสังเกตอยู่ที่ว่า รัฐบาลยังไม่มีหลักฐานบ่งบอกเลยว่า เป็นฝีมือของฝั่งไหน แต่ สุรพงษ์ กลับรีบสรุป เหมือนปิดช่องไม่ให้มุ่งโจมตี“ชายชุดดำ”
เพราะในช่วงเหตุการณ์ที่ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”ผบ.ทบ. ออกมาระบุด้วยตัวเองว่า “ชายชุดดำ”กลับมาแล้ว พร้อมเตือนให้ระวังสถานการณ์จะรุนแรง
การออกมาดิสเครดิต กปปส.ของ สุรพงษ์ จึงอดสังสัยไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ???
อีกทั้งก่อนหน้านี้ ก็เคยมีการเอ่ยอ้างถึง "แก๊งกาละแม" ที่จัดกองกำลังเตรียมปั่นป่วนการชุมนุมของ กปปส. ซึ่งมีข่าวว่า กลุ่มที่ว่าตุนอาวุธสังหารไว้หลายขนาน ทั้ง เอ็ม16 หรือ เอ็ม 79 ที่ฝ่ายต่อต้านระบอบแม้ว คุ้นเคยกันดี แถมยังมีระเบิดสังหารเมดอินไชน่า และรัสเซีย อีกเป็นกุรุส ๆ
ไม่เท่านั้นยังปรากฏชื่อตัวละครมากหน้าหลายตา นอกเหนือจาก 2 สามีภรรยา "กาละแม-เปี๊ยก" ที่มีชื่อเป็นตัวตั้งตัวตี ยังมี "เสงี่ยม สำราญรัตน์" แกนนำแดง ที่ไปชูคอมีตำแหน่งในทำเนียบ ในฐานะคนส่งท่อน้ำเลี้ยง
**ที่ขาดไม่ได้ "มือทำงาน" ทั้งที่เปิดหน้าและซุ่มอยู่ในเงามืด มีชื่อ "โกตี๋ แดงปทุมฯ" หรือ "วุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ" ที่หลังๆ ทำตัวกร่าง คอยป่วนทุกที่ ที่มีฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอยู่ ด้วยอุปนิสัยบ้าดีเดือด จึงได้รับหน้าที่แนวหน้าที่จะเข้าชนกับฝ่ายตรงข้าม เพื่อสร้างสถานการณ์ ก่อนที่ทีมปฏิบัติการจะเข้าซ้ำ
อีกรายถือเป็นคีย์แมนสำคัญ ได้แก่ "จ่าดำ" นายทหารนอกราชการ ม.พัน 3 ซึ่งเป็นมือขวาของ "เสธ.แดง" สมัยยังมีชีวิตอยู่ รายนี้ทำหน้าที่ฝึกการใช้อาวุธให้แก่กองกำลังที่จัดตั้งขึ้น โดยใช้สถานที่ฝึก แถวคลอง 7 จ.ปทุมธานี และเมื่อถึงเวลา ก็จะมาคอยกำกับการแสดงด้วยตัวเองถึงหน้างาน
เป็นร่องรอยสำคัญที่ชี้ว่า "ชายชุดดำ" กลับมาแล้ว มาหนนี้ไม่ได้ฟาดฟันกับรัฐบาลเหมือนเมื่อหลายปีก่อน แต่เป็นตัวช่วยชั้นดีของ "รัฐบาลชินวัตร" ในการห้ำหั่นกับ กปปส.
หลังจากนี้ การชุมนุมของ กปปส. ที่เคย สงบ-เงียบ-ไม่วุ่นวาย มากว่า 3 เดือน คงจะไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว เพราะดูเหมือน“รัฐบาลปูแดง” ต้องการปิดเกมเร็ว ด้วยเหตุผลที่ว่า วันที่ 2 ก.พ. ซึ่งเป็นนัดหมายเลือกตั้ง ใกล้จะถึงเข้ามาทุกที
**สถานการณ์ก่อนวันที่ 2ก.พ. จึงล่อแหลมเต็มที่ จุดเปลี่ยนอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา
เมื่อทั้ง “สุเทพ เทือกสุบรรณ”เลขาธิการ กปปส. ประกาศกร้าว เดินหน้าจัดชุมนุมต่อ ไม่หวั่นเกรงเสียงระเบิด-เสียงปืน ที่ดังขึ้นทุกวัน “กำนัน” ยังคงพาลูกบ้านเดินขบวนไปตามท้องถนนแบบไม่ยี่หระกับ "ของแข็ง" ที่ถูกประเคนให้แบบไม่ยั้ง
ฝั่ง“ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร”ยังเสียงแข็งไม่ยอมลาออกจากตำแหน่ง “รักษาการนายกฯ” ตามใบสั่งที่ “พี่แม้ว”เขียนมาให้เสร็จสรรพแล้วว่า ต้องอยู่รักษาประชาธิปไตย จะถอยไปมากกว่านี้ไม่ได้แล้ว
เมื่อทั้ง 2 ขั้วอำนาจเผชิญหน้ากัน ก็หลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะเกิดความสูญเสีย ชั่วโมงนี้ ประชาชนจึงเปรียบเสมือนตัวประกันที่รอวันโดนกระสุน
หากย้อนกลับไปเปิดตำราทำสงครามเต็มรูปแบบ เคลื่อนเกมใต้ดินไปพร้อมๆเล่นทั้งเกมบนดินของ “แนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ”(นปช.) ในเหตุการณ์เมษายน-พฤษภาคม ปี 2553 จะพบว่ามีความต่างกันอยู่มาก
เพราะก่อนที่จะมีการชุมนุม "คนเสื้อแดง"แตกออกเป็น 2 สาย สายหนึ่งคือ “แดงนปช.”มีแก๊งสามเกลอ “วีระกานต์ มุสิกพงศ์-จตุพร พรหมพันธุ์-ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ”เป็นแกนนำ สามารถกำหนดยุทธศาสตร์ทิศทางการเคลื่อนของคนเสื้อแดงได้ทั้งหมด
สายหนึ่งคือ “แดงฮาร์ดคอร์”มีทั้ง อดีตนายพล-อดีตพลทหาร-อดีตทหารพราน เข้าร่วมกระบวนการมากมายหลายหน้า แต่ที่ออกฉากเปิดหน้าให้เห็น อาทิ “พล.ต.ขัตติยะ สวัสดิผล”(เสธ.แดง) อดีตผู้ทรงคุณวุฒิ กองทัพบก ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ชุมนุม หรือ“พล.อ.พัลลภ ปิ่นมณี”ก็มีบทบาทไม่น้อย
ซึ่งรายชื่อของ“นายทหารสายแดง”รู้กันดีว่า เป็นพวกที่ผ่านสนามรบมาอย่างโชกโชน พูดจริง-ทำจริง-ยิงจริง
เสธ.แดง พูดไว้ก่อนการชุมนุมจะมีการฝึกทหารพราน-อดีตทหารพราน อย่างดี เพื่อให้มาช่วยงานเป็นการ์ดคนเสื้อแดงควบคุมการชุมนุม
พล.อ.พัลลภ พูดไว้ชัดเจนว่า เชี่ยวชาญการรบในเมือง ซึ่งหากจะชนะต้องสร้างสถานการณ์ให้เกิดเหตุวุ่นวาย เหมือนพฤษภาทมิฬ ที่ พล.อ.พัลลภ สั่งให้ทำ โรโมตอฟ (ระเบิดเพลิง) ขว้างเข้าใส่ เจ้าหน้าที่รัฐจนเกิดเหตุโกลาหล
หากยังจำกันได้ก่อนการชุมนุมปี 2553 “เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ”เดินทางไปเสนอไอเดียในการจัดตั้งกองกำลังปกป้องคนเสื้อแดง ต่อ พ.ต.ท.ทักษิณ ถึงเมืองดูไบ
ซึ่ง“นายใหญ่”ก็ตกปากรับคำอย่างดี เพราะคิดอ่านแล้วว่า หากยังชุมนุมแบบไร้ยุทธศาสตร์ ปล่อยให้คนเสื้อแดง สู้กับ “รัฐบาลอภิสิทธิ์”มือเปล่ามีหวัง มีแต่แพ้กับแพ้
ในทางลับทักษิณไฟเขียวให้ “เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ”ดำเนินการ โดยมี “อดีตนายพล”มากหน้าหลายตา คอยช่วยวางหมาก-เกณฑ์กองกำลังอยู่เบื้องหลัง
อีกด้าน“จตุพร”ก็ทำทีออกมากันท่า ไม่ให้ “เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ”เข้ามาชุบมือเปิบ เลยเถิดไปถึงขั้นด่ากันรุนแรงเปรียบ“เสธ.แดง-พล.อ.พัลลภ”เสมือนขอนไม้แก่ลอยน้ำมีแค่“หมา”เท่านั้นที่จะเกาะเพื่อเอาชีวิตรอด
แต่ก็เป็นแค่ละครฉากหนึ่งที่ นปช. ต้องการกันตัวเองออกจาก“แดงฮาร์ดคอร์” ตรงกันข้ามในทางปฏิบัติทั้ง แดงนปช. และ แดงฮาร์ดคอร์ ต่างเดินคู่ขนานไปด้วยกัน
**จึงปรากฏภาพของ“ชายชุดดำ”ออกมาอาละวาดไล่ยิง คนเสื้อแดง เพื่อสร้างสถานการณ์ให้ดูเหมือนว่า มีความรุนแรงเกิดขึ้น เพื่อใส่ร้าย รัฐบาลอภิสิทธิ์ ให้เป็น“รัฐบาลมือเปื้อนเลือด”
**ดิสเครดิตโยนความรับผิดชอบให้ “อภิสิทธิ์-สุเทพ”
อีกทั้งยังไล่ยิง “ทหาร”ที่ออกมาปฏิบัติหน้าที่ตามคำสั่งของ“ศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน”(ศอฉ.) เนื่องจาก ทหาร คือ“ศัตรู” ลำดับต้นๆ ของคนเสื้อแดง โดยเฉพาะ “แดงสายอดีตนายทหาร”เพราะแดงสายนี้อกหัก ไม่ได้ขึ้นตำแหน่งหลักในกองทัพ จึงถือโอกาสแก้แค้น
หากเปรียบเทียบสถานการณ์การชุมนุมของคนเสื้อแดง เมื่อปี 53 กับการชุมนุมของ กปปส. ในปีนี้ มีความแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง
นั่นเพราะ กปปส.ไม่ได้จัดเตรียม กองกำลังติดอาวุธไว้ก่อนล่วงหน้า หรือมีการฝึกกองกำลังติดอาวุธไว้เลย การชุมนุมที่ผ่านมา ยืนยันได้อย่างดีว่าแทบจะไม่มีการใช้อาวุธ
จะมีการปะทะกันบ้าง หัวหมู่ทะลวงฟันอย่าง“เครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ”(คปท.) แต่ก็เป็นการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุม กับ เจ้าหน้าที่ตำรวจ ไม่มี “ชายชุดดำ”มาอิงแอบ
ดังนั้นการที่ “ขี้ข้าแม้ว”อย่าง “สุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล”รองนายกรัฐมนตรี รมว.ต่างประเทศ ในฐานะกำกับดูแล ศอ.รส. ออกมาโจมตีว่า กปปส.สร้างสถานการณ์ให้เกิดระเบิด เพื่อใส่ร้าย“รัฐบาลปูแดง”มีเปอร์เซ็นต์เป็นได้น้อยมาก
การออกมากันท่าของ สุรพงษ์ น่าสงสัยเสียมากกว่า เพราะมันผิดสังเกตอยู่ที่ว่า รัฐบาลยังไม่มีหลักฐานบ่งบอกเลยว่า เป็นฝีมือของฝั่งไหน แต่ สุรพงษ์ กลับรีบสรุป เหมือนปิดช่องไม่ให้มุ่งโจมตี“ชายชุดดำ”
เพราะในช่วงเหตุการณ์ที่ สนามกีฬาไทย-ญี่ปุ่น ดินแดง “พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา”ผบ.ทบ. ออกมาระบุด้วยตัวเองว่า “ชายชุดดำ”กลับมาแล้ว พร้อมเตือนให้ระวังสถานการณ์จะรุนแรง
การออกมาดิสเครดิต กปปส.ของ สุรพงษ์ จึงอดสังสัยไม่ได้ด้วยประการทั้งปวง ???
อีกทั้งก่อนหน้านี้ ก็เคยมีการเอ่ยอ้างถึง "แก๊งกาละแม" ที่จัดกองกำลังเตรียมปั่นป่วนการชุมนุมของ กปปส. ซึ่งมีข่าวว่า กลุ่มที่ว่าตุนอาวุธสังหารไว้หลายขนาน ทั้ง เอ็ม16 หรือ เอ็ม 79 ที่ฝ่ายต่อต้านระบอบแม้ว คุ้นเคยกันดี แถมยังมีระเบิดสังหารเมดอินไชน่า และรัสเซีย อีกเป็นกุรุส ๆ
ไม่เท่านั้นยังปรากฏชื่อตัวละครมากหน้าหลายตา นอกเหนือจาก 2 สามีภรรยา "กาละแม-เปี๊ยก" ที่มีชื่อเป็นตัวตั้งตัวตี ยังมี "เสงี่ยม สำราญรัตน์" แกนนำแดง ที่ไปชูคอมีตำแหน่งในทำเนียบ ในฐานะคนส่งท่อน้ำเลี้ยง
**ที่ขาดไม่ได้ "มือทำงาน" ทั้งที่เปิดหน้าและซุ่มอยู่ในเงามืด มีชื่อ "โกตี๋ แดงปทุมฯ" หรือ "วุฒิพงษ์ กชธรรมคุณ" ที่หลังๆ ทำตัวกร่าง คอยป่วนทุกที่ ที่มีฝ่ายต่อต้านรัฐบาลอยู่ ด้วยอุปนิสัยบ้าดีเดือด จึงได้รับหน้าที่แนวหน้าที่จะเข้าชนกับฝ่ายตรงข้าม เพื่อสร้างสถานการณ์ ก่อนที่ทีมปฏิบัติการจะเข้าซ้ำ
อีกรายถือเป็นคีย์แมนสำคัญ ได้แก่ "จ่าดำ" นายทหารนอกราชการ ม.พัน 3 ซึ่งเป็นมือขวาของ "เสธ.แดง" สมัยยังมีชีวิตอยู่ รายนี้ทำหน้าที่ฝึกการใช้อาวุธให้แก่กองกำลังที่จัดตั้งขึ้น โดยใช้สถานที่ฝึก แถวคลอง 7 จ.ปทุมธานี และเมื่อถึงเวลา ก็จะมาคอยกำกับการแสดงด้วยตัวเองถึงหน้างาน
เป็นร่องรอยสำคัญที่ชี้ว่า "ชายชุดดำ" กลับมาแล้ว มาหนนี้ไม่ได้ฟาดฟันกับรัฐบาลเหมือนเมื่อหลายปีก่อน แต่เป็นตัวช่วยชั้นดีของ "รัฐบาลชินวัตร" ในการห้ำหั่นกับ กปปส.
หลังจากนี้ การชุมนุมของ กปปส. ที่เคย สงบ-เงียบ-ไม่วุ่นวาย มากว่า 3 เดือน คงจะไม่มีให้เห็นอีกต่อไปแล้ว เพราะดูเหมือน“รัฐบาลปูแดง” ต้องการปิดเกมเร็ว ด้วยเหตุผลที่ว่า วันที่ 2 ก.พ. ซึ่งเป็นนัดหมายเลือกตั้ง ใกล้จะถึงเข้ามาทุกที
**สถานการณ์ก่อนวันที่ 2ก.พ. จึงล่อแหลมเต็มที่ จุดเปลี่ยนอาจเกิดขึ้นได้ทุกเวลา