นอกจากคำก่นด่าพวกบ้าอำนาจและทรชนโดยเฉพาะบุคคลที่อยู่ในที่ให้การสนับสนุนรัฐบาลรักษาการแล้ว ในช่วงนี้คงไม่มีคำไหนถูกใช้บ่อยเกิน “ปฏิรูป” คำนี้มีความหมายกว้างมากจนยากแก่การเจาะจงลงไปว่าครอบคลุมอะไรบ้างสำหรับบริบทของสังคมไทยในปัจจุบัน แต่เป้าหมายของการปฏิรูปคงหนีไม่พ้นการเปิดทางให้ประเทศพัฒนาต่อไปได้อย่างมั่นคงและชาวไทยโดยทั่วไปดำเนินชีวิตได้อย่างสงบสุข
ประสบการณ์อันยาวนานในด้านการพัฒนาชี้ชัดว่า อุปสรรคหมายเลขหนึ่งของการพัฒนาได้แก่ปัญหาความฉ้อฉล โดยทั่วไป ประเทศที่พัฒนาได้ก้าวหน้ามีระดับความฉ้อฉลต่ำกว่าประเทศล้าหลัง ประเด็นนี้ มีการวิเคราะห์อย่างจะแจ้งอยู่ในหนังสือชื่อ “ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ” ซึ่งอาจดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของคลังเอกสารสาธารณะ www.OpenBase.in.th การละเมิดกฎเกณฑ์ของสังคมทุกอย่างเป็นความฉ้อฉลไม่ว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมาย หรือการละเมิดศีลธรรมจรรยา
เรื่องความฉ้อฉลร้ายแรงอันเป็นปัญหาสังคมของไทยในเชิงเปรียบเทียบกับสังคมอื่นโดยองค์กรความโป่งใสสากล (Transparency International) คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ล่าสุดไทยได้ 35 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 เทียบเมื่อปีที่ผ่านมา ไทยได้ 37 คะแนน ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่า เมืองไทยมีความโปร่งใสต่ำ หรือความฉ้อฉลสูง ในสายตาชาวโลกและความฉ้อฉลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเพราะรัฐบาลมีคนฉ้อฉลปะปนอยู่จำนวนมากนั่นเอง
จากมุมมองของด้านเศรษฐกิจ ความฉ้อฉลเป็นการเพิ่มต้นทุนของการผลิต หรือลดระดับประสิทธิภาพของสังคม ยกตัวอย่างเรื่องการจ่ายใต้โต๊ะ 30% ของราคาโครงการรัฐบาลซึ่งองค์กรเอกชนตีแผ่ออกมาแล้วว่าเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายจนแทบไม่มีกรณียกเว้น เงินใต้โต๊ะนั้นเป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่โครงการอย่างแจ้งชัดอยู่แล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ ความฉ้อฉลยังครอบคลุมไปถึงการทำงานซึ่งขาดมาตรฐานแต่รัฐบาลรับว่าใช้ได้อีกด้วย เช่น การสร้างถนนและสนามบิน การก่อสร้างที่มีมาตรฐานต่ำกว่าที่น่าจะเป็นนำไปสู่ความชำรุดทรุดโทรมเร็วกว่าปกติส่งผลให้ต้องใช้งบประมาณซ่อมแซมก่อนกำหนดเวลา ยิ่งกว่านั้น ผู้รับเหมาซ่อมแซมยังต้องจ่ายใต้โต๊ะอีก 30% ของราคางานอีกขั้นหนึ่งด้วย ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมเวลาที่ผู้รับเหมาทั้งหลายต้องใช้ไปในการวิ่งเต้น หรือในการหาทางฮั้วกันในโครงการรัฐบาลแทนที่จะใช้เวลานั้นทำงานตามปกติ
ความฉ้อฉลในด้านการเมืองของไทยที่แพร่หลายและสร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดในปัจจุบันได้แก่การซื้อสิทธิ์ขายเสียงและการใช้อิทธิพลในกระบวนการเลือกตั้งซึ่งหลายฝ่ายคลั่งนักคลั่งหนาว่าต้องทำเพราะมันเป็นครรลองของระบอบประชาธิปไตย แต่พวกเขาดูจะลืมไปอย่างง่ายดาย หรือแกล้งลืมไปก็ได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยจะต้องไม่มีการใช้ความฉ้อฉลเช่นนั้น หากพวกเขาเชื่อว่าการเลือกตั้งทุกครั้งบริสุทธิ์ผุดผ่องตามครรลองของประชาธิปไตย พวกเขาคงตาบอด หรือถูกปิดตาด้วยอวิชชา หรือไม่ก็ด้วยอามิส ฉะนั้น ถ้าจะมีการเลือกตั้งในกระบวนการเมือง เรื่องความฉ้อฉลผ่านการใช้อิทธิพลและการซื้อสิทธิ์ขายเสียงต้องไม่มี
ด้วยเหตุที่อ้างถึงเหล่านี้ การปฏิรูปประเทศไทยจะต้องมุ่งไปที่จะทำอย่างไรจึงจะลดระดับความฉ้อฉลของคนไทยลงได้อย่างมีนัยสำคัญเป็นอันดับแรก โจทย์เร่งด่วนทางการเมืองได้แก่จะปฏิรูปอย่างไรให้ความฉ้อฉลในการเลือกตั้งหมดไปอย่างแน่นอนก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า การหาคำตอบให้ได้ก่อนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปีหน้าคงยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ฉะนั้น การเลือกตั้งจะต้องไม่เกิดขึ้นตามกำหนดนั้นเพราะมันจะสูญทั้งทรัพย์และเวลาในขณะที่ปัญหาเดิมยังคงเดิม
การลดความฉ้อฉลอาจเกิดได้สองทาง นั่นคือ ทางจิตสำนึกของสมาชิกในสังคมและทางการใช้กฎหมาย ทันทีที่พูดถึงจิตสำนึกมักมีผู้เสนอให้ไปใช้บริการของวัดในพุทธศาสนา ข้อเสนอแนวนั้นเป็นการใช้กำปั้นทุบดินโดยไม่ได้มองว่า หนึ่งในตัวเจ้าปัญหาของสังคมไทยได้แก่วัดและกระบวนการทางศาสนานั่นแหละ ลองถามดูซิว่า พระร้อยละเท่าไรที่แตกฉานในด้านแก่นของพระคัมภีร์? พระร้อยละเท่าไรทำได้แค่พิธีกรรมเท่านั้น? พระร้อยละเท่าไรที่ใช้วัดเป็นฐานของการหารายได้? พระร้อยละเท่าไรที่แสวงหาสมณศักดิ์ด้วยการให้สินบน? พระร้อยละเท่าไรที่มุ่งเน้นไปในทางสร้างวัตถุสารพัดอย่างรวมทั้งพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดในโลก? ในเมื่อความฉ้อฉลสูงก็มีอยู่ทั่วไปในวงการศาสนา วัดจะช่วยแก้ปัญหาโดยการปลูกจิตสำนึกไม่ได้หากไม่มีการปฏิรูปวัดและกระบวนทางศาสนาด้วย
กฎหมายเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้สมาชิกในสังคมไม่กล้าฉ้อฉล หรือลดความฉ้อฉลลง เรื่องนี้มีข้อเสนอดีๆ อยู่นานแล้วว่า คดีความฉ้อฉลจะต้องไม่หมดอายุความและความฉ้อฉลขั้นร้ายแรงต้องมีโทษถึงประหาร แต่ ณ วันนี้ ปัจจัยที่ไม่มีการตรากฎหมายเช่นออกมาได้แก่นักการเมืองเป็นหัวเรือใหญ่ในด้านการทำความฉ้อฉลเสียเอง นอกจากนั้น ในขณะนี้ยังมีข้อน่าสงสัยหลายอย่างทางด้านกฎหมายอีกด้วย เช่น ในเมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพราะอะไรผู้ละเมิดรัฐธรรมนูญตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจึงยังลอยนวลอยู่ได้ในสังคมดังกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น? เพราะอะไรผู้ที่ออกมาบอกว่าตนไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีความผิดฐานละเมิดศาล? เพราะอะไรผู้ที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาลไทยเช่นนักโทษที่หนีคดีไปอยู่ในต่างประเทศจึงยังฟ้องผู้อื่นในศาลไทยได้?
ข้อสงสัยเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างในกระบวนการยุติธรรมของไทยซึ่งทำให้กฎหมายไร้ หรือใกล้ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ รัฐที่กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์เป็นรัฐล้มเหลว รัฐที่กฎหมายใกล้ไร้ความศักดิ์สิทธิ์เป็นรัฐกึ่งล้มเหลว โดยทั่วไป เมืองไทยเป็นรัฐใกล้กึ่งล้มเหลวแล้ว ในภาวะที่กฎหมายไร้บทลงโทษอย่างหนัก ไม่มีการบังคับใช้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย หรือการบังคับใช้เป็นไปแบบไร้มาตรฐานดังที่เห็นๆ กันอยู่เพราะนักการเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญ กระบวนการปฏิรูปประเทศไทยจะต้องไม่มีนักการเมืองร่วมด้วย
เมื่อรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน การปฏิรูปจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายหากไม่ขจัดความฉ้อฉลให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเริ่มจากในหมู่ชนชั้นผู้นำทางด้านการเมืองเป็นอันดับแรก
ประสบการณ์อันยาวนานในด้านการพัฒนาชี้ชัดว่า อุปสรรคหมายเลขหนึ่งของการพัฒนาได้แก่ปัญหาความฉ้อฉล โดยทั่วไป ประเทศที่พัฒนาได้ก้าวหน้ามีระดับความฉ้อฉลต่ำกว่าประเทศล้าหลัง ประเด็นนี้ มีการวิเคราะห์อย่างจะแจ้งอยู่ในหนังสือชื่อ “ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ ไอเอ็มเอฟ” ซึ่งอาจดาวน์โหลดได้จากเว็บไซต์ของคลังเอกสารสาธารณะ www.OpenBase.in.th การละเมิดกฎเกณฑ์ของสังคมทุกอย่างเป็นความฉ้อฉลไม่ว่าจะเป็นการละเมิดกฎหมาย หรือการละเมิดศีลธรรมจรรยา
เรื่องความฉ้อฉลร้ายแรงอันเป็นปัญหาสังคมของไทยในเชิงเปรียบเทียบกับสังคมอื่นโดยองค์กรความโป่งใสสากล (Transparency International) คงเป็นที่ทราบกันดีอยู่แล้ว ล่าสุดไทยได้ 35 คะแนนจากคะแนนเต็ม 100 เทียบเมื่อปีที่ผ่านมา ไทยได้ 37 คะแนน ตัวเลขเหล่านี้บ่งชี้ว่า เมืองไทยมีความโปร่งใสต่ำ หรือความฉ้อฉลสูง ในสายตาชาวโลกและความฉ้อฉลมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ทั้งนั้นคงเพราะรัฐบาลมีคนฉ้อฉลปะปนอยู่จำนวนมากนั่นเอง
จากมุมมองของด้านเศรษฐกิจ ความฉ้อฉลเป็นการเพิ่มต้นทุนของการผลิต หรือลดระดับประสิทธิภาพของสังคม ยกตัวอย่างเรื่องการจ่ายใต้โต๊ะ 30% ของราคาโครงการรัฐบาลซึ่งองค์กรเอกชนตีแผ่ออกมาแล้วว่าเกิดขึ้นอย่างแพร่หลายจนแทบไม่มีกรณียกเว้น เงินใต้โต๊ะนั้นเป็นการเพิ่มต้นทุนให้แก่โครงการอย่างแจ้งชัดอยู่แล้ว แต่เท่านั้นยังไม่พอ ความฉ้อฉลยังครอบคลุมไปถึงการทำงานซึ่งขาดมาตรฐานแต่รัฐบาลรับว่าใช้ได้อีกด้วย เช่น การสร้างถนนและสนามบิน การก่อสร้างที่มีมาตรฐานต่ำกว่าที่น่าจะเป็นนำไปสู่ความชำรุดทรุดโทรมเร็วกว่าปกติส่งผลให้ต้องใช้งบประมาณซ่อมแซมก่อนกำหนดเวลา ยิ่งกว่านั้น ผู้รับเหมาซ่อมแซมยังต้องจ่ายใต้โต๊ะอีก 30% ของราคางานอีกขั้นหนึ่งด้วย ทั้งหมดนี้ยังไม่รวมเวลาที่ผู้รับเหมาทั้งหลายต้องใช้ไปในการวิ่งเต้น หรือในการหาทางฮั้วกันในโครงการรัฐบาลแทนที่จะใช้เวลานั้นทำงานตามปกติ
ความฉ้อฉลในด้านการเมืองของไทยที่แพร่หลายและสร้างความเสียหายร้ายแรงที่สุดในปัจจุบันได้แก่การซื้อสิทธิ์ขายเสียงและการใช้อิทธิพลในกระบวนการเลือกตั้งซึ่งหลายฝ่ายคลั่งนักคลั่งหนาว่าต้องทำเพราะมันเป็นครรลองของระบอบประชาธิปไตย แต่พวกเขาดูจะลืมไปอย่างง่ายดาย หรือแกล้งลืมไปก็ได้ว่า ระบอบประชาธิปไตยจะต้องไม่มีการใช้ความฉ้อฉลเช่นนั้น หากพวกเขาเชื่อว่าการเลือกตั้งทุกครั้งบริสุทธิ์ผุดผ่องตามครรลองของประชาธิปไตย พวกเขาคงตาบอด หรือถูกปิดตาด้วยอวิชชา หรือไม่ก็ด้วยอามิส ฉะนั้น ถ้าจะมีการเลือกตั้งในกระบวนการเมือง เรื่องความฉ้อฉลผ่านการใช้อิทธิพลและการซื้อสิทธิ์ขายเสียงต้องไม่มี
ด้วยเหตุที่อ้างถึงเหล่านี้ การปฏิรูปประเทศไทยจะต้องมุ่งไปที่จะทำอย่างไรจึงจะลดระดับความฉ้อฉลของคนไทยลงได้อย่างมีนัยสำคัญเป็นอันดับแรก โจทย์เร่งด่วนทางการเมืองได้แก่จะปฏิรูปอย่างไรให้ความฉ้อฉลในการเลือกตั้งหมดไปอย่างแน่นอนก่อนการเลือกตั้งครั้งหน้า การหาคำตอบให้ได้ก่อนวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปีหน้าคงยากกว่าเข็นครกขึ้นภูเขา ฉะนั้น การเลือกตั้งจะต้องไม่เกิดขึ้นตามกำหนดนั้นเพราะมันจะสูญทั้งทรัพย์และเวลาในขณะที่ปัญหาเดิมยังคงเดิม
การลดความฉ้อฉลอาจเกิดได้สองทาง นั่นคือ ทางจิตสำนึกของสมาชิกในสังคมและทางการใช้กฎหมาย ทันทีที่พูดถึงจิตสำนึกมักมีผู้เสนอให้ไปใช้บริการของวัดในพุทธศาสนา ข้อเสนอแนวนั้นเป็นการใช้กำปั้นทุบดินโดยไม่ได้มองว่า หนึ่งในตัวเจ้าปัญหาของสังคมไทยได้แก่วัดและกระบวนการทางศาสนานั่นแหละ ลองถามดูซิว่า พระร้อยละเท่าไรที่แตกฉานในด้านแก่นของพระคัมภีร์? พระร้อยละเท่าไรทำได้แค่พิธีกรรมเท่านั้น? พระร้อยละเท่าไรที่ใช้วัดเป็นฐานของการหารายได้? พระร้อยละเท่าไรที่แสวงหาสมณศักดิ์ด้วยการให้สินบน? พระร้อยละเท่าไรที่มุ่งเน้นไปในทางสร้างวัตถุสารพัดอย่างรวมทั้งพระพุทธรูปขนาดใหญ่ที่สุดในโลก? ในเมื่อความฉ้อฉลสูงก็มีอยู่ทั่วไปในวงการศาสนา วัดจะช่วยแก้ปัญหาโดยการปลูกจิตสำนึกไม่ได้หากไม่มีการปฏิรูปวัดและกระบวนทางศาสนาด้วย
กฎหมายเป็นแรงจูงใจที่จะทำให้สมาชิกในสังคมไม่กล้าฉ้อฉล หรือลดความฉ้อฉลลง เรื่องนี้มีข้อเสนอดีๆ อยู่นานแล้วว่า คดีความฉ้อฉลจะต้องไม่หมดอายุความและความฉ้อฉลขั้นร้ายแรงต้องมีโทษถึงประหาร แต่ ณ วันนี้ ปัจจัยที่ไม่มีการตรากฎหมายเช่นออกมาได้แก่นักการเมืองเป็นหัวเรือใหญ่ในด้านการทำความฉ้อฉลเสียเอง นอกจากนั้น ในขณะนี้ยังมีข้อน่าสงสัยหลายอย่างทางด้านกฎหมายอีกด้วย เช่น ในเมื่อรัฐธรรมนูญเป็นกฎหมายสูงสุดของประเทศ เพราะอะไรผู้ละเมิดรัฐธรรมนูญตามคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจึงยังลอยนวลอยู่ได้ในสังคมดังกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น? เพราะอะไรผู้ที่ออกมาบอกว่าตนไม่ยอมรับคำตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญจึงไม่มีความผิดฐานละเมิดศาล? เพราะอะไรผู้ที่ไม่ยอมรับอำนาจของศาลไทยเช่นนักโทษที่หนีคดีไปอยู่ในต่างประเทศจึงยังฟ้องผู้อื่นในศาลไทยได้?
ข้อสงสัยเหล่านี้เป็นเพียงตัวอย่างในกระบวนการยุติธรรมของไทยซึ่งทำให้กฎหมายไร้ หรือใกล้ไร้ความศักดิ์สิทธิ์ รัฐที่กฎหมายไร้ความศักดิ์สิทธิ์เป็นรัฐล้มเหลว รัฐที่กฎหมายใกล้ไร้ความศักดิ์สิทธิ์เป็นรัฐกึ่งล้มเหลว โดยทั่วไป เมืองไทยเป็นรัฐใกล้กึ่งล้มเหลวแล้ว ในภาวะที่กฎหมายไร้บทลงโทษอย่างหนัก ไม่มีการบังคับใช้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย หรือการบังคับใช้เป็นไปแบบไร้มาตรฐานดังที่เห็นๆ กันอยู่เพราะนักการเมืองเป็นอุปสรรคสำคัญ กระบวนการปฏิรูปประเทศไทยจะต้องไม่มีนักการเมืองร่วมด้วย
เมื่อรวมทุกสิ่งทุกอย่างเข้าด้วยกัน การปฏิรูปจะไม่มีทางบรรลุเป้าหมายหากไม่ขจัดความฉ้อฉลให้ลดลงอย่างมีนัยสำคัญโดยเริ่มจากในหมู่ชนชั้นผู้นำทางด้านการเมืองเป็นอันดับแรก