ASTVผู้จัดการรายวัน- “บีโอไอ”เผยการยื่นขอรับส่งเสริมการลงทุน 11 เดือนแรกปีนี้มีทั้งสิ้น 1,696 รายมูลค่า 7.91 แสนล้านบาทโดยมูลค่าลดลง 7.3หมื่นล้านบาทจากช่วงเดียวกันปีก่อน คาดทั้งปีแตะแค่ 9 แสนล้านบ.พลาดเป้าหมาย 1 ล้านลบ. และปี 2557 คาดการขอลงทุนจะอยู่ในช่วง 9 แสนล้านบาท
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)แจ้งว่า ยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุน 11 เดือนแรกของปี 2556 (ม.ค.-พ.ย.) มีผู้ยื่นขอทั้งสิ้น 1,696 รายเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีผู้ยื่นขอทั้งสิ้น 1,696 รายหรือลดลง 181 โครงการ ส่วนเงินลงทุนมีทั้งสิ้น 7.91 แสนล้านบาท หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุน 8.64 แสนล้านบาทหรือลดลง 7.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้ทั้งปีการยื่นขอการลงทุนไม่ถึงเป้า1ล้านล้านบาทที่ตั้งไว้
สำหรับโครงการที่ยื่นขอพบว่าเป็นกิจการคนไทยถือหุ้น 100% จำนวน 621 โครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีทั้งสิ้น 562 โครงการ ส่วนต่างชาติถือหุ้น 100% มี 643 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีการยื่น 805 โครงการและกิจการที่ร่วมทุนระหว่างคนไทยกับต่างชาติ 432 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่น 510 โครงการ
ทั้งนี้การยื่นขอส่งเสริมฯญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนสูงสุดยื่นทั้งสิ้น 551 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 710 โครงการ อันดับ 2 เป็นการลงทุนจากยุโรป 150 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่น 199 โครงการ อันดับ 3 สิงคโปร์ยื่นทั้งสิ้น 89 กิจการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 141 โครงการ อันดับ 4 สหัฐอเมริกายื่นขอ 72 โครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 57 โครงการ เป็นต้น
สำหรับกิจการที่นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมฯยังกระจายอยู่ใน 7 ประเภทกิจการหลักๆ โดยกิจการบริการและสาธารณูปโภคมีการยื่นขอรับส่งเสริมฯสูงสุดที่ 486 กิจการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยื่นขอ 501 โครงการ อันดับ 2 เป็นการลงทุนประเภทกิจการผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง 389 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยื่นขอ 478 โครงการ อันดับ 3
เป็นเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร 296 กิจการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 229 โครงการ เป็นต้น
นายอุดม วงษ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ทั้งปีคาดว่ายอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนคงจะอยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเป็นสำคัญและคาดว่าจะมีผลถึงปี 2557 ที่ยอดขอส่งเสริมน่าจะอยู่ที่ 9 แสนล้านบาทเช่นเดียวกับปีนี้ ส่วนกรณีปัญหาการเมืองไทยขณะนี้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนแต่อย่างใดแต่ยอมรับว่าหากปัญหายืดเยื้อก็อาจจะมีผลบ้างสำหรับนักลงทุนใหม่ๆ
รายงานข่าวจากสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน(บีโอไอ)แจ้งว่า ยอดการขอรับส่งเสริมการลงทุน 11 เดือนแรกของปี 2556 (ม.ค.-พ.ย.) มีผู้ยื่นขอทั้งสิ้น 1,696 รายเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อนมีผู้ยื่นขอทั้งสิ้น 1,696 รายหรือลดลง 181 โครงการ ส่วนเงินลงทุนมีทั้งสิ้น 7.91 แสนล้านบาท หากเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน เงินลงทุน 8.64 แสนล้านบาทหรือลดลง 7.3 หมื่นล้านบาท ซึ่งทำให้ทั้งปีการยื่นขอการลงทุนไม่ถึงเป้า1ล้านล้านบาทที่ตั้งไว้
สำหรับโครงการที่ยื่นขอพบว่าเป็นกิจการคนไทยถือหุ้น 100% จำนวน 621 โครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีทั้งสิ้น 562 โครงการ ส่วนต่างชาติถือหุ้น 100% มี 643 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่มีการยื่น 805 โครงการและกิจการที่ร่วมทุนระหว่างคนไทยกับต่างชาติ 432 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่น 510 โครงการ
ทั้งนี้การยื่นขอส่งเสริมฯญี่ปุ่นยังคงเป็นนักลงทุนสูงสุดยื่นทั้งสิ้น 551 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 710 โครงการ อันดับ 2 เป็นการลงทุนจากยุโรป 150 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่น 199 โครงการ อันดับ 3 สิงคโปร์ยื่นทั้งสิ้น 89 กิจการลดลงจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 141 โครงการ อันดับ 4 สหัฐอเมริกายื่นขอ 72 โครงการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 57 โครงการ เป็นต้น
สำหรับกิจการที่นักลงทุนยื่นขอรับส่งเสริมฯยังกระจายอยู่ใน 7 ประเภทกิจการหลักๆ โดยกิจการบริการและสาธารณูปโภคมีการยื่นขอรับส่งเสริมฯสูงสุดที่ 486 กิจการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยื่นขอ 501 โครงการ อันดับ 2 เป็นการลงทุนประเภทกิจการผลิตภัณฑ์โลหะ เครื่องจักรและอุปกรณ์ขนส่ง 389 โครงการลดลงจากช่วงเดียวกันของปีก่อนที่ยื่นขอ 478 โครงการ อันดับ 3
เป็นเกษตรกรรมและผลิตผลจากการเกษตร 296 กิจการเพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันปีก่อนที่ยื่นขอ 229 โครงการ เป็นต้น
นายอุดม วงษ์วิวัฒน์ไชย เลขาธิการคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (บีโอไอ) กล่าวว่า ทั้งปีคาดว่ายอดการขอรับส่งเสริมการลงทุนคงจะอยู่ประมาณ 9 แสนล้านบาท เนื่องจากภาวะเศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัวเป็นสำคัญและคาดว่าจะมีผลถึงปี 2557 ที่ยอดขอส่งเสริมน่าจะอยู่ที่ 9 แสนล้านบาทเช่นเดียวกับปีนี้ ส่วนกรณีปัญหาการเมืองไทยขณะนี้ยังไม่ได้ส่งผลกระทบต่อการตัดสินใจลงทุนแต่อย่างใดแต่ยอมรับว่าหากปัญหายืดเยื้อก็อาจจะมีผลบ้างสำหรับนักลงทุนใหม่ๆ
