-----
แน่นอนแล้วว่าเป้าหมายของ “ระบอบทักษิณ” ที่มีรัฐบาล “หุ่นเชิด” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นผู้ดำเนินการก็คือทำทุกทางเพื่อให้เกิดการ “เลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์”ปีหน้าให้ได้ เพราะการเลือกตั้งคือ “พิธีกรรม” ของพวก “ทรราช”กลุ่มนี้นำมาใช้อ้างอิงสร้างความชอบธรรมมาตลอด ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นควบคู่กันไปในเวลานี้ก็คือพยายามหาช่องทางผ่านทาง “กลไกขี้ข้า”ที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทั้งพวก “ขุนทหาร”ในกองทัพ และกลไกข้าราชการอื่นๆ รวมไปถึงภาคธุรกิจเอกชนบางกลุ่มที่ “ขี้ขลาด” กล้าๆกลัวๆเสนอตัว เสนอหน้าแย่งกันตั้ง “เวทีเสวนา” อ้างว่าเป็นการระดมความเห็นเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ ทั้งที่นี่คือ “ปาหี่” เป็นเกมซื้อเวลาเพื่อให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นตามกำหนดดังกล่าวตามที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ดีหมากกล หรือเล่ห์เหลี่ยมดังกล่าวของรัฐบาลใช้ไม่ได้ผลกับ “มวลมหาประชาชน” ที่ “ตื่นรู้” และได้ลุกขึ้นมาแล้ว เพราะพวกเขารู้ทันเกมกระจอกดังกล่าวและ ไม่อดทนและ “ทนไม่ไหว”อีกต่อไปแล้วและได้ยืนยันหนักแน่นแบบไม่มีการประนีประนอมกับความชั่วอีกต่อไปนั่นคือ “ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ไม่ใช่เลือกตั้งแล้วได้รัฐบาลได้นักการเมืองแบบเดิมแล้วค่อยมาปฏิรูป เพราะนั่นไม่มีทางสำเร็จและที่ผ่านมาก็ได้เห็น “สันดาน” นักการเมืองกระจอกพวกนี้มาจนอ๊วกอยู่แล้ว สะอิดสะเอียนน่ารังเกียจพอแล้ว
ที่สำคัญการปฏิรูปต้องไม่มีนักการเมืองมาเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของประชาชนที่เป็นเจ้าของอธิปไตยล้วน ที่เขียนกรอบกติกาอย่างเข้มงวด มีระบบการตรวจสอบอย่างเข้มข้นตลอดเวลา จากนั้นค่อยเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ “เสียสละ” เข้ามา หากใครคิดว่า “ลำบาก” ตรวจสอบกันทุกฝีก้าวแบบนั้นทนไม่ไหวก็ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามา ให้ไปหาอาชีพอื่น หรือไปทำธุรกิจอย่างอื่น เพราะชาวบ้านเขาไม่ต้องการเห็น “ธุรกิจการเมือง” ต่อยอดอำนาจและความร่ำรวยของคนบางครอบครัวเท่านั้น
แน่นอนว่า มวลมหาประชาชนที่รวมพลังกันออกมามากมายมหาศาล มากมายเป็นประวัติศาสตร์ มีคนออกมามากมายที่สุดเท่าที่เคยมีประเทศไทยมาก็ว่าได้ และมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่ต้องการ “กำจัดระบอบทักษิณ” และขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกไป ล่าสุดไม่ต้องการให้ทำหน้าที่แม้แต่จะรักษาการ เพราะถือว่าหมดความชอบธรรม ไม่มีสภาพทางกฎหมายรองรับแล้วหลังจากที่ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภามิชอบด้วยกฎหมาย มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่มีเจตนาล้างผิดให้คนโกงและฆาตกร ซึ่งเป้าหมายเพียงคนเดียวคือ ทักษิณ ชินวัตร ประกอบกับการบริหารที่ “ล้มเหลวผิดพลาด” และ “ทรยศต่อความไว้วางใจ” ของประชาชน ก็สมควรที่ต้องพ้นไปสถานเดียวเท่านั้น ไม่ต้องมาเสียเวลามาต่อรองเจรจา
แต่นี่กลายเป็นว่ารัฐบาลและระบอบทักษิณ นอกจากไม่รู้สำนึก ไม่รู้จักรับผิดชอบใดๆแล้ว ตรงกันข้ามยังพยายามหาทาง “ดื้อด้าน” รักษาอำนาจ รักษาผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องอยู่ตลอดเวลา พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อ “ตบตา” เพื่อซื้อเวลาอยู่ตลอดเวลา และวิธีการที่กำลังระดมนำมาใช้เพื่อเอาตัวรอดก็คือ การเสนอระดมความเห็นในเรื่องการปฏิรูปประเทศ และใช้ “พิธีกรรม” การเลือกตั้งภายใต้กลไกเดิม ภายใต้ข้าราชการขี้ข้า และกฎหมายเลือกตั้งแบบเดิมๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามัน “ล้มเหลว” เพราะเต็มไปด้วยการซื้อเสียงทั้งเกิดขึ้นล่วงหน้าจากโครงการ “ประชานิยม”สารพัด และการข่มขู่สารพัด เพื่อให้ระบอบทักษิณ ได้รับชัยชนะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลคุมอำนาจรัฐ และทุจริตกันในหมู่คนในครอบครัวเหมือนเดิม
ถามว่าที่ผ่านมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ เคยคิดที่จะปฏิรูปประเทศหรือไม่ นอกจากคิดแต่แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรวบอำนาจ นำไปสู่การผูกขาดอำนาจ ตัดทอนอำนาจของประชาชนอยู่ตลอดเวลา และที่ผ่านมาพอมีเสียงโวยวายก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาชุดหนึ่งเพื่อซื้อเวลา แล้วก็เงียบหายไปทุกครั้ง และเชื่อว่าจนบัดนี้คณะกรรมการสารพัดชุดที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาตบตา จนเชื่อว่าแม้แต่ ยิ่งลักษณ์ ก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองได้ลงนามแต่งตั้งคณะใดชุดใดไปบ้างแล้ว เพราะไม่เคยรับฟัง ไม่เคยมีเจตนานำมาใช้ประโยชน์ นอกจากต้องการเบี่ยงเบนซื้อเวลาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ล่าสุดเมื่อเห็นประชาชนตื่นรู้รวมพลังกันออกมาขับไล่กันมากมายเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ระบอบทักษิณ ก็ยุบสภา อ้างว่าเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนโดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปีหน้า แต่การเลือกตั้งภายใต้กติกาแบบเดิม กลไกแบบเดิม ชาวบ้านเขาไม่เชื่อถือ และที่สำคัญรัฐบาลขาดความชอบธรรม ต้องลาออกให้พ้นไปสถานเดียวไม่ต้องมารักษาการ คาอำนาจอยู่แบบนี้ อย่างไรก็ดีสิ่งที่รัฐบาลพยายามดิ้นรนไม่เลิก เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ เมื่อเห็นว่ามวลมหาประชาชนต้องการปฏิรูปก็มามุกใหม่อีกนั่นคือ เสนอให้ระดมความเห็นเพื่อการปฏิรูปในวันหน้า แต่นาทีนี้ชาวบ้านที่ออกมาพวกเขาไม่เอาด้วย เนื่องจากยืนยันหนักแน่นเหมือนเดิมว่าต้อง “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งและรัฐบาลนี้ต้องไม่รักษาการ” เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อระบอบทักษิณ ยังยื้อยังดื้อด้านไม่ยอมไป และข้าราชการทั้งบรรดาขุนทหารและแม่ทัพนายกองที่ยังได้รับประโยชน์ รวมไปถึงนายตำรวจระดับสูงที่ต้องเสียประโยชน์หากการปฏิรูปเกิดผลสำเร็จคนพวกนี้ยังกัดฟันรับใช้ไม่เลิก ก็คงต้องถึงเวลาที่ต้องระดมมวลมหาประชาชนออกมา “แสดงพลังยืนยันอีกรอบ” และคราวนี้ต้อง “บังคับ”ให้ออกไปให้หมด เชื่อว่าจะต้องทำก่อนถึงวันเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้ “พิธีกรรมโจร” เกิดขึ้น
อีกไม่นานเกินรอ สำหรับการระดมมวลมหาประชาชนแสดงพลังอีกรอบเพื่อสั่งสอนให้รัฐบาลและบรรดาข้าราชการที่ยังรับใช้ระบอบทักษิณ ได้สำนึก และต้องบังคับให้เลือกข้างประชาชน ไม่ใช่รับใช่โจร !!
แน่นอนแล้วว่าเป้าหมายของ “ระบอบทักษิณ” ที่มีรัฐบาล “หุ่นเชิด” ยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นผู้ดำเนินการก็คือทำทุกทางเพื่อให้เกิดการ “เลือกตั้งวันที่ 2 กุมภาพันธ์”ปีหน้าให้ได้ เพราะการเลือกตั้งคือ “พิธีกรรม” ของพวก “ทรราช”กลุ่มนี้นำมาใช้อ้างอิงสร้างความชอบธรรมมาตลอด ขณะเดียวกันสิ่งที่เห็นควบคู่กันไปในเวลานี้ก็คือพยายามหาช่องทางผ่านทาง “กลไกขี้ข้า”ที่มีอยู่ไม่ว่าจะเป็นข้าราชการ ทั้งพวก “ขุนทหาร”ในกองทัพ และกลไกข้าราชการอื่นๆ รวมไปถึงภาคธุรกิจเอกชนบางกลุ่มที่ “ขี้ขลาด” กล้าๆกลัวๆเสนอตัว เสนอหน้าแย่งกันตั้ง “เวทีเสวนา” อ้างว่าเป็นการระดมความเห็นเพื่อนำไปสู่การปฏิรูปประเทศ ทั้งที่นี่คือ “ปาหี่” เป็นเกมซื้อเวลาเพื่อให้การเลือกตั้งเกิดขึ้นตามกำหนดดังกล่าวตามที่หมายมั่นปั้นมือเอาไว้ตั้งแต่แรก
อย่างไรก็ดีหมากกล หรือเล่ห์เหลี่ยมดังกล่าวของรัฐบาลใช้ไม่ได้ผลกับ “มวลมหาประชาชน” ที่ “ตื่นรู้” และได้ลุกขึ้นมาแล้ว เพราะพวกเขารู้ทันเกมกระจอกดังกล่าวและ ไม่อดทนและ “ทนไม่ไหว”อีกต่อไปแล้วและได้ยืนยันหนักแน่นแบบไม่มีการประนีประนอมกับความชั่วอีกต่อไปนั่นคือ “ต้องปฏิรูปก่อนเลือกตั้ง” ไม่ใช่เลือกตั้งแล้วได้รัฐบาลได้นักการเมืองแบบเดิมแล้วค่อยมาปฏิรูป เพราะนั่นไม่มีทางสำเร็จและที่ผ่านมาก็ได้เห็น “สันดาน” นักการเมืองกระจอกพวกนี้มาจนอ๊วกอยู่แล้ว สะอิดสะเอียนน่ารังเกียจพอแล้ว
ที่สำคัญการปฏิรูปต้องไม่มีนักการเมืองมาเกี่ยวข้อง เป็นเรื่องของประชาชนที่เป็นเจ้าของอธิปไตยล้วน ที่เขียนกรอบกติกาอย่างเข้มงวด มีระบบการตรวจสอบอย่างเข้มข้นตลอดเวลา จากนั้นค่อยเปิดโอกาสให้นักการเมืองที่ “เสียสละ” เข้ามา หากใครคิดว่า “ลำบาก” ตรวจสอบกันทุกฝีก้าวแบบนั้นทนไม่ไหวก็ไม่ต้องเสนอหน้าเข้ามา ให้ไปหาอาชีพอื่น หรือไปทำธุรกิจอย่างอื่น เพราะชาวบ้านเขาไม่ต้องการเห็น “ธุรกิจการเมือง” ต่อยอดอำนาจและความร่ำรวยของคนบางครอบครัวเท่านั้น
แน่นอนว่า มวลมหาประชาชนที่รวมพลังกันออกมามากมายมหาศาล มากมายเป็นประวัติศาสตร์ มีคนออกมามากมายที่สุดเท่าที่เคยมีประเทศไทยมาก็ว่าได้ และมีเจตนารมณ์ร่วมกันที่ต้องการ “กำจัดระบอบทักษิณ” และขับไล่รัฐบาลหุ่นเชิดที่นำโดย ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกไป ล่าสุดไม่ต้องการให้ทำหน้าที่แม้แต่จะรักษาการ เพราะถือว่าหมดความชอบธรรม ไม่มีสภาพทางกฎหมายรองรับแล้วหลังจากที่ไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ ที่ระบุการแก้ไขรัฐธรรมนูญเกี่ยวกับที่มาของสมาชิกวุฒิสภามิชอบด้วยกฎหมาย มิชอบด้วยรัฐธรรมนูญ รวมไปถึงการเสนอร่างพระราชบัญญัตินิรโทษกรรมที่มีเจตนาล้างผิดให้คนโกงและฆาตกร ซึ่งเป้าหมายเพียงคนเดียวคือ ทักษิณ ชินวัตร ประกอบกับการบริหารที่ “ล้มเหลวผิดพลาด” และ “ทรยศต่อความไว้วางใจ” ของประชาชน ก็สมควรที่ต้องพ้นไปสถานเดียวเท่านั้น ไม่ต้องมาเสียเวลามาต่อรองเจรจา
แต่นี่กลายเป็นว่ารัฐบาลและระบอบทักษิณ นอกจากไม่รู้สำนึก ไม่รู้จักรับผิดชอบใดๆแล้ว ตรงกันข้ามยังพยายามหาทาง “ดื้อด้าน” รักษาอำนาจ รักษาผลประโยชน์ของตัวเองและพวกพ้องอยู่ตลอดเวลา พยายามทำทุกวิถีทางเพื่อ “ตบตา” เพื่อซื้อเวลาอยู่ตลอดเวลา และวิธีการที่กำลังระดมนำมาใช้เพื่อเอาตัวรอดก็คือ การเสนอระดมความเห็นในเรื่องการปฏิรูปประเทศ และใช้ “พิธีกรรม” การเลือกตั้งภายใต้กลไกเดิม ภายใต้ข้าราชการขี้ข้า และกฎหมายเลือกตั้งแบบเดิมๆ ซึ่งพิสูจน์ให้เห็นแล้วว่ามัน “ล้มเหลว” เพราะเต็มไปด้วยการซื้อเสียงทั้งเกิดขึ้นล่วงหน้าจากโครงการ “ประชานิยม”สารพัด และการข่มขู่สารพัด เพื่อให้ระบอบทักษิณ ได้รับชัยชนะนำไปสู่การจัดตั้งรัฐบาลคุมอำนาจรัฐ และทุจริตกันในหมู่คนในครอบครัวเหมือนเดิม
ถามว่าที่ผ่านมารัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร และระบอบทักษิณ เคยคิดที่จะปฏิรูปประเทศหรือไม่ นอกจากคิดแต่แก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อรวบอำนาจ นำไปสู่การผูกขาดอำนาจ ตัดทอนอำนาจของประชาชนอยู่ตลอดเวลา และที่ผ่านมาพอมีเสียงโวยวายก็มีการตั้งคณะกรรมการขึ้นมาศึกษาชุดหนึ่งเพื่อซื้อเวลา แล้วก็เงียบหายไปทุกครั้ง และเชื่อว่าจนบัดนี้คณะกรรมการสารพัดชุดที่รัฐบาลตั้งขึ้นมาตบตา จนเชื่อว่าแม้แต่ ยิ่งลักษณ์ ก็จำไม่ได้แล้วว่าตัวเองได้ลงนามแต่งตั้งคณะใดชุดใดไปบ้างแล้ว เพราะไม่เคยรับฟัง ไม่เคยมีเจตนานำมาใช้ประโยชน์ นอกจากต้องการเบี่ยงเบนซื้อเวลาชั่วครั้งชั่วคราวเท่านั้น
ล่าสุดเมื่อเห็นประชาชนตื่นรู้รวมพลังกันออกมาขับไล่กันมากมายเป็นประวัติการณ์อย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนในประวัติศาสตร์ ระบอบทักษิณ ก็ยุบสภา อ้างว่าเพื่อคืนอำนาจให้ประชาชนโดยกำหนดให้มีการเลือกตั้งในวันที่ 2 กุมภาพันธ์ ปีหน้า แต่การเลือกตั้งภายใต้กติกาแบบเดิม กลไกแบบเดิม ชาวบ้านเขาไม่เชื่อถือ และที่สำคัญรัฐบาลขาดความชอบธรรม ต้องลาออกให้พ้นไปสถานเดียวไม่ต้องมารักษาการ คาอำนาจอยู่แบบนี้ อย่างไรก็ดีสิ่งที่รัฐบาลพยายามดิ้นรนไม่เลิก เพื่อเอาตัวรอดให้ได้ เมื่อเห็นว่ามวลมหาประชาชนต้องการปฏิรูปก็มามุกใหม่อีกนั่นคือ เสนอให้ระดมความเห็นเพื่อการปฏิรูปในวันหน้า แต่นาทีนี้ชาวบ้านที่ออกมาพวกเขาไม่เอาด้วย เนื่องจากยืนยันหนักแน่นเหมือนเดิมว่าต้อง “ปฏิรูปก่อนการเลือกตั้งและรัฐบาลนี้ต้องไม่รักษาการ” เท่านั้น
ดังนั้นเมื่อระบอบทักษิณ ยังยื้อยังดื้อด้านไม่ยอมไป และข้าราชการทั้งบรรดาขุนทหารและแม่ทัพนายกองที่ยังได้รับประโยชน์ รวมไปถึงนายตำรวจระดับสูงที่ต้องเสียประโยชน์หากการปฏิรูปเกิดผลสำเร็จคนพวกนี้ยังกัดฟันรับใช้ไม่เลิก ก็คงต้องถึงเวลาที่ต้องระดมมวลมหาประชาชนออกมา “แสดงพลังยืนยันอีกรอบ” และคราวนี้ต้อง “บังคับ”ให้ออกไปให้หมด เชื่อว่าจะต้องทำก่อนถึงวันเลือกตั้ง เพื่อไม่ให้ “พิธีกรรมโจร” เกิดขึ้น
อีกไม่นานเกินรอ สำหรับการระดมมวลมหาประชาชนแสดงพลังอีกรอบเพื่อสั่งสอนให้รัฐบาลและบรรดาข้าราชการที่ยังรับใช้ระบอบทักษิณ ได้สำนึก และต้องบังคับให้เลือกข้างประชาชน ไม่ใช่รับใช่โจร !!