กปปส. เคลื่อนทัพดาวกระจายก่อนปิดล้อมทำเนียบ-บชน. สถานการณ์เดือด "สีกากีขี้ข้า" ถล่มยิงแก๊สนำตา ฉีดน้ำผสมสารเคมีเข้าใส่ จนมวลชนต้องถอยมาตั้งหลักรอจังหวะ เผยผบ.ทบ.ประสาน ศอ.รส.ให้หยุดยิงแก๊สน้ำตา แต่ ศอ.รส.ไม่สน "สุเทพ"แถลงการณ์ออกฟรีทีวีเกือบทุกช่องยกเว้น NBT ย้ำมวลมหาประชาชนแสดงพลังตามสิทธิ ถ่ายทอดคำแถลงของ กปปส. ประกาศให้ 2 ธ.ค. เป็นวันหยุดราชการ ด้าน "ประชา" โต้ยังเป็นรัฐบาล ขรก.ต้องทำงานตามปกติ เคอร์ฟิวห้ามออกนอกบ้าน 4 ทุ่มถึงตี 5 อ้างมือที่สามจ้องป่วน "เทือก" เผยพบ "ปู-ผบ.เหล่าทัพ" แต่ยันเดินหน้า
เมื่อเช้าวานนี้ (1 ธ.ค.) นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการ คณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข" หรือ กปปส. ขึ้นเวทีศูนย์ราชการซักซ้อมความเข้าใจกับผู้ชุนนุมว่า มวลชนที่อยู่ที่ราชดำเนิน จะเป็นมวลชนหลักในการเคลื่อนไปตามหน่วยงานราชการต่างๆ ที่กำหนดไว้ เนื่องจากอยู่ใกล้ ขณะที่มวลชนในศูนย์ราชการ จะแบ่งกำลังเป็น 2 ส่วน ส่วนหนึ่งให้ปักหลักรอรักษาฐานที่มั่นที่ศูนย์ราชการเอาไว้ และส่วนหนึ่งจะเดินเท้าร่วมกับนักธุรกิจชาวสีลม และนายสกลธี ภัทธิยกุล แกนนำเดินเท้าไปกระทรวงพาณิชย์ และที่เหลือจะขอให้ประชาชนขึ้นรถยนต์ไปส่วนกลาง เพื่อไปเติมจำนวนให้้กับมวลชน โดยจะเดินสายไปสถานีโทรทัศน์ช่องต่างๆ ซึ่งได้ฝากให้เจ้าหน้าที่ลองประสานงานดูว่าใครที่มีรถกระบะที่พอจะให้ประชาชนอาศัยไปได้ ให้นำรถกระบะมาจอดขนานกับเวที พร้อมกันนี้ยังย้ำกับมวลชนให้เตรียมเสบียง คือข้าวกล่อง และน้ำไว้ให้พร้อมด้วย และจะเคลื่อนขบวนในเวลา 10.45 น. โดยก่อนจะ
เคลื่อนขบวน หลวงปู่พุทธอิสระ ได้นำสวดมนต์ชัยมงคลนำทัพและชัย มงคลสะกดทัพ เพื่อความเป็นสิริมงคล และได้รับชัยชนะตามที่ประกาศไว้
สำหรับบรรยากาศที่ศูนย์ราชการ มวลชนยังคงปักหลักอยู่ในพื้นที่ ขณะที่มวลชนส่วนหนึ่งเดินทางมาสมทบอย่างต่อเนื่อง เพื่อร่วมขบวนไปกระทรวงพาณิชย์ และไปสมทบกับส่วนกลาง จากนั้นเวลา 09.45น. นายสุเทพ ก็ได้มีการปล่อยขบวนผู้ชุมนุมไปกระพาณิชย์
**"สาทิตย์" ประกาศเคลื่อน 8 ขบวนทัพ
เวลา 10.15 น. ที่เวทีราชดำเนิน นายสาทิตย์ วงศ์หนองเตย แกนนำผู้ชุมนุมที่เวทีราชดำเนิน ได้ขึ้นเวทีให้แกนนำแต่ละขบวนมีการจัดสายเคลื่อนเดิน 8 ขบวน ให้เคลื่อนพลในเวลา
10.45 น. โดยขบวนที่ 1 ไปยังกองบัญชาการตำรวจนครบาล มีนายชุมพล จุลใส เป็นแกนนำ ขบวนที่ 2 สมาพันธ์แรงงานรัฐวิสาหกิจไปกระทรวงมหาดไทย ขบวนที่ 3 ไปยังกระทรวงแรงงาน มีนายอิสระ
สมชัย เป็นแกนนำ ขบวนที่ 4 ไปยังช่อง 3 มีนางทยา ทีปสุวรรณ เป็นแกนนำ ขบวนที่ 5 ไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 5 มี น.ส.จิตภัสร์ ภิรมย์ภักดี เป็นแกนนำ ขบวนที่ 6 ไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 7 มีนาย
ณัฐพล ทีปสุวรรณ เป็นแกนนำ ขบวนที่ 7 ไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 9 มี นายถนอม อ่อนเกตุพล เป็นแกนนำ และ ขบวนที่ 8 ไปยังสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 มีนายถาวร เสนเนียม เป็นผู้นำทัพ
**"ยิ่งลักษณ์"เตรียมเผ่นแอฟริกาใต้
นายสาทิตย์ กล่าวด้วยว่า ตนทราบมาว่า เที่ยวบิน TG 8880 บ่ายวันที่ 1 ธ.ค. ที่จะออกจากกรุงเทพมหานคร ไป โจฮันเนสเบิร์ก แอฟริกาใต้ มีชื่อ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร โดยอ้างว่าได้รับเทเล็กซ์ จากผู้บริหารระดับสูงของการบินไทย ว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีตั๋วเครื่องบิน บินไปที่แอฟริกาใต้ เวลาออก 12.00 น. ถึง 18.15 น. ระบุกลับ วันที่ 4 ธ.ค. ทีจี 8881 เวลา 01.15 น.
อย่างไรก็ตาม มีรายงานว่าเมื่อเวลา 09.40 น. น.ส.ยิ่งลักษณ์ ได้เดินทางออกจากบ้านพัก ซอยโยธินพัฒนา 3 มายังกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.) เพื่อติดตามและประเมินสถานการณ์การชุมนุม โดยมี พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกรัฐมนตรี นายสุรพงษ์ โตวิจักษณ์ชัยกุล รองนายกรัฐมนตรี และรมว.ต่างประเทศ นายจารุพงศ์ เรืองสุวรรณ รมว.มหาดไทย น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร นายสุรนันทน์ เวชชาชีวะ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี และ นายพิชิต ชื่นบาน ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย โดยมีกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจ บช.ปส. และเจ้าหน้าที่ตำรวจภูธร จ.สุรินทร์ 1 กองร้อย รักษาความปลอดภัยตั้งแต่บริเวณทางเข้าสโมสรตำรวจ จนถึง บช.ปส.
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เมื่อนายกฯ เดินทางถึงกองบัญชาการตำรวจปราบปรามยาเสพติด (บช.ปส.)ได้ประมาณ 30 นาที ปรากฏว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้เดินทางเข้าบุกสถานีโทรทัศน์ไทยทีบีเอส ซึ่งติดกับ บช.ปส. ทำให้ทีมรักษาความปลอดภัยรีบนำตัวนายกฯ ออกจาก บช.ปส. มายังสำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ทันที ซึ่งเวลานั้นมีรายงานข่าวว่า จะมีการล็อกตัวนายกฯ และขณะเดียวกันมีกระแสข่าวนายกฯเตรียมเดินทางออกนอกประเทศไปแอฟริกา ด้วยเที่ยวบิน ทีจี 8880 ทั้งนี้ ภารกิจนายกฯ ถูกปิดเป็นความลับในทุกจุด โดยนายกฯ เดินทางถึงสตช. ในเวลา 11.00 น.
ขณะเดียวกัน แฟนเพจไทยคู่ฟ้า ได้นำบันทึกการบินโดยอ้างว่า วันนี้ไม่มีเที่ยวบินไปที่แอฟริกาใต้ ในช่วงบ่าย ตามที่แกนนำเวทีราชดำเนินอ้างว่า ได้รับเทเล็กซ์จากผู้บริหารระดับสูงของการบินไทยว่า น.ส.ยิ่งลักษณ์ มีตั๋วเครื่องบิน บินไปที่แอฟริกาใต้ เวลาออก 12.00 น.ถึง 18.15 น. ระบุกลับ วันที่ 4 ธ.ค. ทีจี 8881 เวลา 01.15 น.
ต่อมาฝ่ายการตลาดและบริหารลูกค้าดิจิทัล บริษัท การบินไทย จำกัด ได้ชี้แจงว่า ตามที่ได้มีการเผยแพร่ภาพ เอกสารกำหนดการเดินทางเยือนต่างประเทศของนายกรัฐมนตรี และคณะ ซึ่งเป็นกำหนดออกเดินทางจากกรุงเทพฯ ในวันที่ 21ธ.ค.) ทางสื่อออนไลน์ต่างๆ นั้น บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ขอชี้แจงว่า นายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกการเดินทางในเที่ยวบินดังกล่าวแล้ว
นายสรจักร เกษมสุวรรณ กรรมการผู้อำนวยการใหญ่ บริษัท การบินไทย จำกัด (มหาชน) ชี้แจงว่า เป็นตารางการบินที่การบินไทยจองเที่ยวบินชัตเตอร์ไฟลท์ ไว้ให้กับนายกรัฐมนตรี และคณะ เพื่อเดินทางเยือนเมืองโจฮันเนสเบิร์ก ตามคำเชิญของรัฐบาลแอฟริกาใต้ ตั้งแต่ช่วงกลางปีที่ผ่านมา แต่นายกรัฐมนตรี ได้ยกเลิกกำหนดการเดินทางนี้ไปแล้ว เมื่อ 2-3 เดือนที่ผ่านมา
**ทำเนียบฯเสริมทหาร 3 กองร้อย
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศจากทำเนียบรัฐบาลว่า เมื่อเวลาประมาณ 02.30 น. ของวันที่ 1ธ.ค. ได้มีการเสริมกำลังทหารจากกองทัพไทย เข้ามาอีก3 กองร้อย หรือประมาณ 600 นาย มาประจำการอยู่ด้านใน ส่วนบริเวณรอบนอก มีการตึงกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจอย่างเข้มงวด และมีการวางแท่นแบริเออร์ 3 ชั้น พร้อมกับลวดหนาม ในทุกแยกรอบนอกทำเนียบฯ โดยอนุญาตให้เดินทางเข้า-ออก ได้เพียงจุดเดียว ตรงสี่แยกพล.1 รักษาพระองค์ (พล.1 รอ.) ติดกับกองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) เท่านั้น ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจบางส่วนได้ติดกระป๋องแก๊สน้ำตาที่หน้าอกซ้าย - ขวา พร้อมปฏิบัติงานได้ตลอดเวลา และอีกส่วนหนึ่งยืนเรียงแถวหน้ากระดานตลอดแนวคลองเปรมประชากร เพื่อป้องกัน ผู้ชุมนุมข้ามคลองเพื่อบุกเข้ามาในทำเนียบฯ
อย่างไรก็ตาม เวลาประมาณ 10.00 น. มีกลุ่มผู้ชุมนุม คปท.จำนวน หนึ่งมารวมตัวอยู่เลียบคลองเปรมประชากร ตรงบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ มีการพูดจายั่วยุกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาความปลอดภัยบริเวณนั้นพูดผ่านเครื่องขยาย เสียงว่า “ชุดจับกุมเตรียมความพร้อมเอาไว้ จับมัน เล็งที่แกนนำ เราเป็นฝ่ายราชการ เรามีงานทำ ขอให้ท่านที่มากลับไปเวทีของท่าน ไปนั่งแบบอารยะ อดทนหน่อยพี่น้อง ท่านว่าผม ผมยังทนได้ ใครฝ่าฝืนเข้ามา เราจะดำเนินการด้วยวิธีการละมุนละม่อม ผมอดทนไม่ไหวแล้ว ไม่ต้องไปมัฆวานฯ มาทางนี้เลย ผมอยู่ลพบุรี มีอะไรไปพบกันที่ลพบุรีได้ ” ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการเคาะโล่ และโห่ร้องเป็นระยะ
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่ตำรวจที่ยืนประจำการอยู่บนรถขยายเสียง ยังได้ย้ำเตือนหลักการปฏิบัติให้กับเจ้าหน้าที่ว่า “เราต้องรักษาพื้นที่เราเอาไว้ ซึ่งเราทำตามหน้าที่ เราต้องทำเต็มที่ เพราะทำเนียบฯ เป็นพื้นที่ที่สำคัญ โดยขอให้ใช้วิธีการละมุนละม่อม”พร้อมกันนี้ ยังได้หันหน้ามาบริเวณจุดที่สื่อมวลชนยืนเฝ้าสังเกตการณ์อยู่ในลักษณะเตือนด้วยว่า “สำหรับพี่น้องสื่อ อาจจะมีการใช้แก๊สน้ำตา ระวังตัวด้วย ดูแลตัวเองดีๆ”
** สตช.ตรึงกำลังขึงลวดหนาม 10 ชั้น
สำหรับที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เมื่อเวลา 08.00 น.ได้มีการรวมพลนับกำลังตำรวจควบคุมฝูงชนที่รักษาการณ์ภายในสำนักงานตำรวจแห่งชาติ พร้อมกำชับการปฏิบัติของกำลังตำรวจที่ปฏิบัติหน้าที่ นอกจากนี้มีการตรึงกำลังตำรวจที่บริเวณประตูเข้า-ออก ด้าน ถ.พระราม 1 พร้อมสั่งการให้ปิดตายประตูเข้า-ออกทุกด้าน โดยนำแทงบริเออร์ขนาดใหญ่มาวางกั้น พร้อมตรึงลวดหนามกว่า 10 ชั้น ตลอดแนวรั้ว
ขณะเดียวกัน มีการเตรียมรถน้ำจากกรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยกว่า 10 คัน มาประจำบริเวณด้านหน้าอาคาร 1 กองรักษาการณ์และแนวรั้วด้านถ.พระราม 1นำรถควบคุมผู้ต้องหาแยกชาย-หญิง มาเตรียมไว้กว่า 20 คัน เพื่อใช้ควบคุมตัวกรณีผู้ชุมนุมบุกเข้ามา นอกจากนี้ได้มีการเตรียมรถพยาบาลจาก รพ.ตำรวจ มารอไว้เพื่อรองรับกรณีการปะทะและมีผู้บาดเจ็บ
**ผบช.น.ท้ากลุ่มผู้ชุมนุมให้เข้ามายึด
เมื่อเวลา 09.30 น. ที่กองบัญชาการตํารวจนครบาล (บช.น.) พล.ต.ท.คํารณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผบช.น. กล่าวถึงสถานการณ์การชุมนุม และการเคลื่อตัวของมวลชนที่จะเข้ามายึดบชน.ว่า ขอยืนยันว่าทางเจ้าหน้าที่จะอยู่ภายในที่ตั้งของตนเอง ไม่มีการพกอาวุธ ไม่มีการสลายการชุมนุมแน่นอน และเชื่อว่าสถานการณ์ วันนี้จะไม่รุนแรง อยากให้จบลงด้วยการเจรจากันทุกฝ่าย ไม่อยากให้ใช้ความรุนแรง ที่บอกว่ากลุ่มผู้ ชุมนุมจะบุกเข้ามายึด บช.น. ก็ให้เข้ามาได้ อีกทั้งในประเด็นที่บอกว่า เมื่อวานเจ้าหน้าทึ่ไม่ได้เข้าระงับเหตุที่หน้า ม.รามคําแหงนั้น ไม่เป็นความจริง เรามีการส่งกําลังเจ้าหน้าที่เข้าไปควบคุมเหตุ โดยไม่พกอาวุธ ส่วนผู้ที่ก่อเหตุนั้นยังบอกไม่ได้ว่าเป็นฝ่ายใด เมื่อช่วงเช้าที่ผ่านมา พล.ต.อ.วรพงษ์ ชิวปรีชา รอง ผบ.ตร. ยังได้เข้าไปดูแลในการส่งประชาชนที่มาร่วมชุมนุมในสนามราชมังคลาฯ กลับบ้าน
นอกจากนี้ ยังกําชับผู้สื่อข่าวให้อยู่ในที่ที่ปลอดภัย เนื่องจากทางเจ้าหน้าที่ห่วงการทํางานของสื่อ ขอให้อยู่ในที่ตั้งที่ตํารวจสามารถดูแลได้
**คปท.บุกเคลียร์แนวป้องกันทำเนียบฯ
เวลา 11.00น. ที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ผู้สื่อข่าวรายงานว่าการชุมนุมของเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฎิรูปประเทศไทย(คปท.) นำโดย นายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท. และนายอุทัย ยอดมณี ผู้ประสานงาน คปท. พร้อมมวลชนกว่า 5,000 คน ได้เดินมาตั้งขบวนประจันหน้ากับแนวแท่นคอนกรีตเชิงสะพานชมัยมรุเชฐ โดยให้การ์ดอาสายืนคล้องมือนำหน้าขบวน
ทั้งนี้ ทางกลุ่มผู้ชุมนุมได้มีการเตรียมถังบรรจุน้ำไว้ตลอดเส้นทาง ถนนพิษณุโลก เพื่อเตรียมพร้อมหากมีการยิงแก๊สน้ำตา โดย นายนิติธร ได้ประกาศบนรถบรรทุกติดเครื่องขยายเสียงว่าวันนี้จะขอเข้าพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลให้ได้อย่างแน่นอน แต่จะไม่ใช้อาวุธ เพื่อให้เป็นไปตามแนวทางสันติวิธี ขณะที่เจ้าหน้าที่ตำรวจได้ชี้แจงข้อกฎหมายต่างๆ และหากฝ่าฝืนจะมีการจับกุมทันที พร้อมแจ้งว่าแก๊สน้ำตาที่จะใช้ มี 3 ชนิด คือแบบควัน แบบแป้ง และแบบน้ำผสมสารเคมี โดยบรรยากาศเป็นไปอย่างตึงเครียด ผู้ชุมนุมได้ตะโกนโห่ร้องว่า "ขี้ข้า" และเป่านกหวีดอย่างต่อเนื่อง
**เปิดฉากยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุม
เวลา 11.30 นาที ขณะที่ผู้ชุมนุมเริ่มกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เชิงสะพานชมัยมรุเชฐ ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาเข้ามายังกลุ่มผู้ชุมนุมจำนวน 2 ลูก โดยไม่มีการแจ้งเตือนก่อน ส่งผลให้ผู้ชุมนุมวิ่งแตกกระเจิงไปคนละทิศทาง ก่อนจะรอให้ควันสงบลง จึงกลับมายืนกดดันตำรวจอีกครั้ง พร้อมกับตะโกนด่าทอการกระทำครั้งนี้ ทำให้กลุ่มผู้ชุมนุมได้พยายามรื้อแท่นตรงจุดแท่นคอนกรีตแนวป้องกันทางเข้าทำเนียบรัฐบาล ถนนพระรามที่ 5 โดยนำรถยนต์ผูกเชือกมาลากแท่งแบริเออร์ จนทางเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาออกมาจากแนวป้องกันเข้า ประมาณ 20 ลูก ทำให้มวลชนบางส่วนต้องถอยร่นออกมา
**ฉีดน้ำผสมสารเคมีสกัดมวลชน
หลังจากนั้นเวลา 13.00น. บรรยากาศการชุมนุมเป็นไปอย่างตึงเครียดมากขึ้น ผู้ชุมนุมยังคงพยายามที่จะกดดันเจ้าหน้าที่ตำรวจ โดยพยายามมีการแจกจ่ายถุงพลาสติกใส เพื่อป้องกันแก๊สน้ำตา และได้นำแผงเหล็กสีขาวสูง 3 เมตร เข้ามาวางตั้งบริเวณแนวแท่นคอนกรีต เพื่อผลักให้แผ่นเหล็กล้มลงพาดกับแนวแท่นคอนกรีต ก่อนจะปีนข้ามไป แต่ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมมากกว่า 50 ลูก สลับกับการฉีดน้ำที่ผสมสารเคมีใส่ผู้ชุมนุม ทำให้ผู้ชุมนุมแตกกระเจิง หลบห่างจากแนวกำแพงแท่นคอนกรีตประมาณ 200 เมตร ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมบางส่วนไปแยกเคลื่อนขบวนไปเปิดแนวแท่นคอนกรีตที่เชิงสะพานศรีอยุธยา แยกวัดเบญฯ แต่ก็ยังไม่สำเร็จ เจอเจ้าหน้าที่ยิงแก๊สน้ำตาสกัดกว่า 30 ลูก ทำให้แกนนำ คปท.ได้ประกาศถอยร่นมวลชนกลับที่ตั้งบริเวณแยกนางเลิ้งชั่วคราว เพื่อให้ผู้ชุมนุมได้พักรับประทานอาหาร โดยจะเริ่มเคลื่อนไหวใหม่อีกครั้ง
ทั้งนี้ตลอดการพยายามเข้าพื้นที่ทำเนียบรัฐบาลของผู้ชุมนม เจ้าหน้าที่ตำรวจที่พูดผ่านเครื่องขยายเสียง ได้มีการกล่าวในลักษณะยั่วยุ เช่น "เข้ามาเลย เข้ามาไม่ได้ใช่ไหม วิ่งหางจุกตูดไปเลย" หรือ "ปล่อยมันเข้ามา แล้วจับมันสัก 2-3 คน ใช้กระบองกับมันก่อน ทำให้เป็นตัวอย่าง" ทำให้บรรยากาศการเผชิญระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นไปอย่างตึงเครียด โดยผู้ชุมนุมพยายามเปิดประตูด้านหลังอนุเสาวรีย์กรมหลวงชุมพร เขตอุดมศักดิ์ ที่อยู่ในมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ที่จะสามารถทะลุไปยังสะพานอรทัย และทำเนียบรัฐบาลได้ โดยมีการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับเจ้าหน้าที่ตำรวจเป็นระยะ ซึ่งเจ้าหน้าที่ตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมต่อเนื่อง นอกจากนี้ยังมีการใช้ขวดแก้ว ปาใส่ผู้ชุมนุมด้วย อย่างไรก็ตาม สถานการณ์ในขณะนี้เริ่มรุนแรงมากขึ้น โดยพบว่ามีระเบิดแรงดันสูง ตกอยู่ในพื้นที่ชุมนุมด้วย
**คปท.กดดันตร.ถอยร่นเข้าทำเนียบฯ
เวลา 15.20น. กลุ่มผู้ชุมนุม คปท. เริ่มบุกยึดทำเนียบรัฐบาลใหม่ อีกครั้ง โดยมีการระดมมวลชน 300 คน ไปเผชิญหน้ากับตำรวจที่เชิญสะพานชมัยมรุเชฐ ซึ่งในจำนวนนี้มี นายกนก รัตน์วงศ์สกุล ผู้ประกาศข่าวชื่อดัง ร่วมอยู่ด้วย ขณะที่กลุ่มผู้ชุมนุมคปท. อีกบางส่วนได้เข้ารื้อรั้วลวดหนาม และแนวกำแพงแท่นคอนกรีต บริเวณสะพานอรทัย ริมคลองผดุงกรุงเกษมได้สำเร็จ สามารถยึดพื้นที่แนวถนนลูกหลวง และถนนพระราม 5 รอบมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนครได้ทั้งหมด ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องถอยกำลังเข้าไปอยู่ในบริเวณทำเนียบรัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงาน ในการบุกยึดทำเนียบรัฐบาลรอบที่ 2 ของ คปท.ครั้งนี้ นายสุริยะใส กตะศิลา หนึ่งในแกนนำภาคีเครือข่ายประชาชน 77จังหวัด มาร่วมสังเกตุการณ์ด้วย
**ตร.ซุกกระสุนปืนลูกซอง-ระเบิด-น้ำมัน
เมื่อเวลา 17.35 น. ที่สี่แยกยางเลิ้ง นายนิติธร ล้ำเหลือ ที่ปรึกษา คปท. แถลงข่าว พร้อมด้วยอาวุธที่ทางฝั่งเจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาใช้ในการก่อเหตุ สร้างสถานการณ์ โดยระบุว่าตำรวจได้ยิงแก๊สน้ำตาตลอดเวลา แม้แต่ช่วงที่ผู้ชุมนุมกำลังกินข้าว อีกส่วนหนึ่งที่ซุ่มอยู่ที่ มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร ก็ได้โยนแก๊สน้ำตาใส่ฝูงชนตลอดเวลา
หลังจากนั้นได้มีการเคลื่อนย้ายมวลชน ไปที่แยกเทวกรรม เพื่อผลักดันให้เจ้าหน้าที่ออกไปจากจากมหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลพระนคร หลังจากที่เราเข้าคุมพื้นที่ได้ และเคลียร์พื้นที่ พบอุปกรณ์ต่างๆ ที่พบในพื้นที่ของเจ้าหน้าที่ตำรวจ เช่น ถังดับเพลิงผูกระเบิดไว้ กระสุนปืนลูกซอง เบอร์ 9 ถุงน้ำมัน แกลลอนน้ำมัน ตรวจสอบแล้วเป็นน้ำมันเบนซิน น้ำมันโซล่า อีกส่วนหนึ่งเป็นน้ำมันเครื่อง โดยลังที่ใส่ถุงน้ำมันมีป้ายกระดาษแปะไว้ว่า เป็นของหน่วยงานไหน ส่วนหม้อแปลงไฟฟ้าแรงสูง ปรากฏว่า มีการเอาน้ำมันไปราดไว้ และเอาถุงน้ำมันผูกไว้ เข้าใจว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจพยายามสร้างสถานการณ์ ถ้าสถานการณ์ขยายวงออกไปมาก และเข้าใกล้สู่เวลาค่ำ ก็อาจจะใช้วิธีการเผาอาคารมหาวิทยาลัย และใส่ร้ายผู้ชุมนุม ในขณะเดียวกัน ก็อาจจะมีการซุ่มยิงจากกระสุนปืนลูกซองที่พบ พี่น้องที่นี่ ก็จะโดนเหมือนกับนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง
เราขอยืนยันว่า เราชุมนุมโดยสงบ สันติ ปราศจากอาวุธ หากเจ้าหน้าที่ตำรวจอ้างว่าจะทำหน้าที่ก็ไม่ควรนำอุปกรณ์อื่นเข้ามา การสลายการชุมนุมต้องเริ่มจากการใช้น้ำธรรมดา ไม่ใช่น้ำแรงฉีด หรือ แรงอัดเพื่อหยุดยั้งฝูงชน ก่อนที่จะใช้แก๊สน้ำตาและน้ำแรงดัน แต่เจ้าหน้าที่ตำรวจที่รักษาแนวบริเวณสะพานชมัยมรุเชฐ พณิชยการพระนครและแยกเทวกรรม ใช้แก๊สน้ำตาตลอดเวลา จะใช้น้ำก็ต่อเมื่อลมพัดไปทางเจ้าหน้าที่ตำรวจก็มีการพ่นน้ำออกมา เพื่อไม่ให้แก๊สน้ำตากระทบกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ จึงขอเรียกร้องให้ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ต้องดูแลลูกน้องให้ดำเนินการตามหลักสิทธิมนุษยชน ไม่ใช่มีการสร้างสถานการณ์ สิ่งเหล่านี้สื่อมวลชนที่ติดตามทำข่าวก็จะเห็นได้ว่าอยู่ในพื้นที่ของตำรวจทั้งสิ้น นี่เป็นบางส่วนที่เราเอามาได้ ซึ่งเบื้องต้นได้ถ่ายภาพเป็นหลักฐานไว้
** ผบ.ทบ.ประสานตร.ระงับยิงแก๊สน้ำตา
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงสถานการณ์ที่ผู้ชุมนุมพยายามฝ่าแนวป้องกันของเจ้าหน้าที่ โดยเจ้าหน้าที่ตำรวจได้มีการยิงแก๊สน้ำตา เพื่อให้กลุ่มผู้ชุมนุมถอยร่นออกจากแนวป้องกันว่า ในฐานะและบทบาทที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก(ผบ.ทบ.) เป็นผู้บังคับบัญชาระดับสูง รู้สึกเป็นห่วงต่อสถานการณ์ที่ผู้ชุมนุมพยายามจะบุกรุกเข้ามายังพื้นที่ทำเนียบรัฐบาล กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ทำให้เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องใช้แก๊สน้ำตา โดย พล.อ.ประยุทธ์ ไม่อยากให้มีการใช้ความรุนแรง และอยากให้ทั้งผู้ชุมนุมและเจ้าหน้าที่มีความปลอดภัยทั้งสองส่วน จึงได้มีการประสานไปยัง พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. เพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ตำรวจระงับการใช้แก๊สน้ำตา และขอให้ผู้ชุมนุมอย่าบุกรุกสถานที่ราชการ เพื่อไม่ให้เกิดการกระทบกระทั่งของทั้ง 2 ฝ่าย และไม่ให้เกิดการบาดเจ็บ โดยพล.อ.ประยุทธ์ จะช่วยเร่งประสานกับทางรัฐบาล และผู้ที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขสถานการณ์ต่อไป เพราะภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นขณะนี้เป็นภาพที่แสดงให้เห็นถึงความรุนแรง และจะส่งผลกระทบไม่ดีต่อนานาประเทศ
พ.อ.วินธัย กล่าวอีกว่า ทั้งนี้ทางศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส.)ได้ขอให้ทหาร เข้าอำนวยความสะดวกและดูแลประชาชนบริเวณพื้นที่รามคำแหง ทาง ผบ. ทบ. จึงได้มอบหมายให้กองทัพภาคที่ 1 จัดชุดแพทย์ ชุดอำนวยความสะดวก และชุดประชาสัมพันธ์ (ปชส.) เข้าดำเนินการให้บริการประชาชนในบริเวณพื้นที่รามคำแหงเป็นการเร่งด่วน เพื่อลดความหวาดวิตก และเพื่อเป็นการผ่อนคลายบรรยากาศภายในพื้นที่ให้เป็นไปในทางที่ดีขึ้น
**ศอ.รส.เมินผบ.ทบ.ขอให้หยุดยิง
เวลา 13.20น. ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษก ศอ.รส. ได้รายงานสถานการณ์ชุมนุมว่า ผู้ชุมนุมได้กระจายพื้นที่ต่างๆ โดยเฉพาะบริเวณรอบทำเนียบรัฐสภา กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) อีกส่วนกดดันสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่กระทรวงแรงงาน กระทรวงพาณิชย์ และกระทรวงมหาดไทย ขณะที่มวลชนอีกส่วนหนึ่งได้กระจายไปกดดันที่สถานีโทรทัศน์ทุกแห่ง เพื่อบังคับให้ออกอากาศการแถลงการณ์ของผู้ชุมนุม
ทั้งนี้ ศอ.รส.ปรับคลี่คลายสถานการณ์ โดยขณะนี้ได้สั่งการชุดคุมฝูงชน และชุดเคลื่อนที่เร็ว เดินทางไปปฏิบัติการขอคืนพื้นที่ศูนย์ราชการ และกระทรวงการคลัง ซึ่งการปฏิบัติดังกล่าวจะดำเนินการอย่างเรียบร้อย ละมุนละม่อม และให้เกิดผลกระทบน้อยที่สุด จึงขอความร่วมมือให้ผู้ชุมนุมที่กระทรวงการคลัง และศูนย์ราชการ ให้ความร่วมมือกับตำรวจด้วย ซึ่งการปฏิบัติจะดำเนินการเป็นลำดับขั้นตอน โดยเริ่มจากการเจรจา ซึ่งแล้วแต่ ผบ.เหตุการณ์จะเห็นสมควร ทั้งนี้ การเข้าไปขอคืนพื้นที่ในครั้งนี้เพื่อพิสูจน์ทราบว่า มีใครอยู่ในพื้นที่ดังกล่าว มีการทำลายทรัพย์สินของทางราชการให้ได้รับความเสียหายบ้างหรือไม่ ซึ่งหากมีคนอยู่ในพื้นที่ก็จะเจรจา หรือดำเนินการตามขั้นตอนเพื่อให้ออกมาจากพื้นที่
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่าในส่วนการปฏิบัติภารกิจตามคำสั่งปฏิบัติการดูแลความเรียบร้อย ที่สะพานชมัยมรุเชฐ แยก พล.1 มีภาพปรากฏชัดเจนว่า กลุ่มผู้ชุมนุมได้ขว้างปาสิ่งของใส่เจ้าหน้าที่ ที่ทำการรักษาแนว จึงมีการใช้แก๊สน้ำตา ซึ่งเป็นไปตามขั้นตอนที่สมควร ตามหลักจำเป็น หลักสัดส่วน หลักความชอบธรรม และถูกต้องตามกฎหมาย ส่วนกรณีที่กลุ่มผู้ชุมนุมเดินทางไปกดดันสถานีโทรทัศน์หลายแห่ง ศอ.รส.ได้ประสาน กสทช.เพื่อดำเนินการแก้ไขปัญหาและจะดำเนินคดีกับแกนนำผู้ชุมนุมที่ได้กระทำผิดกฎหมายดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่าจากสถานการณ์ที่เกิดขึ้นจะมีการประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน หรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ขณะนี้ตำรวจสามารถดูแลรักษาความเรียบร้อยการชุมนุมได้ ยังไม่จำเป็นต้อง
ประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน ส่วนที่มีกระแสข่าวว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผบ.ทบ. มีโทรศัพท์สายตรงขอให้ ผบ.ตร. หยุดการใช้แก๊สน้ำตากับกลุ่มผู้ชุมนุมนั้น ยืนยันว่าที่ผ่านมาทั้งสองท่านมีการพูดคุยประสานงานกันอย่างใกล้ชิด แต่ไม่มีการพูดคุยเรื่องนี้ นอกจากนี้ที่ผ่านมากองทัพไม่เคยมีความเห็น กรณีการใช้แก๊สน้ำตาของตำรวจ เพราะเป็นไปตามขั้นตอนการปฏิบัติ ส่วนกรณีที่ ศอ.รส. มีการขอกำลังทหารมาเสริมการทำงานของตำรวจนั้น ทหารที่มาปฏิบัติหน้าที่ ยังขึ้นกับการบังคับบัญชากับฝ่ายทหาร ไม่ได้ปฏิบัติตามคำสั่งของ ศอ.รส. แต่อย่างใด
ผู้สื่อข่าวรายงานด้วยว่า คาดว่ารัฐบาลเตรียมประกาศใช้ พ.ร.ก.ฉุกเฉิน เนื่องจากพบว่าเจ้าหน้าที่ตำรวจ ได้มีการจัดทำ backdrop ที่เป็นฉากหลัง ในการแถลงข่าว เป็นศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน หรือ ศอฉ. เมื่อสอบถามเจ้าหน้าที่ที่จัดทำ ก็บอกว่า แค่เตรียมเอาไว้ อาจไม่ต้องใช้ก็ได้
** "พงศ์โพยม-อารีย์"ร่วมไล่รัฐบาล
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในกลุ่มผุ้ชุมนุมที่เดินทางมาปิดล้อมกระทรวงมหาดไทยนั้น ปรากฏว่ามี นายพงศ์โพยม วาศภูติ และ นายศิวะ แสงมณี อดีตอธิบดีกรมราชทัณฑ์ ที่สวมเสื้อฮาวาย กางเกงสแล็ก ห้อยนกหวีดด้วยริบบิ้นลายธงไตรรงค์ร่วมอยู่ด้วย และได้เดินเข้าไปนั่งที่ม้าหินใต้อาคารกรมการปกครอง ที่นายศิริพงษ์ ออกมานั่งอยู่ก่อนแล้ว โดยได้มีการทักทายพูดคุยถึงสถานการณ์บ้านเมือง
นายพงศ์โพยม กล่าวว่า ภาพรวมของการชุมนุมของภาคประชาชนที่รู้ตื่นครั้งนี้ มามือเปล่า ไม่มีการใช้อาวุธหรือความรุนแรงทุกคนมาด้วยใจที่อยากเห็นการเปลี่ยนแปลงของบ้านเมืองที่ดีขึ้น เพราะรัฐบาลนี้หมดความชอบธรรมในการบริหารประเทศแล้ว ที่ทุกองค์กรต่างต่อต้าน และรัฐบาลเองก็ไม่สามารถบริหารราชการบ้านเมืองได้อีกต่อไปแล้ว วันนี้หากรัฐบาลยืนยันที่จะเจรจากับกลุ่มกปปส. ไม่น่าจะพอแล้ว ต้องดำเนินการยุบสภา หรือลาออกเท่านั้น ขอแนะนำให้ชิงทำไปก่อนจะดีกว่า เพื่อให้ประชาชนเจ้าของอำนาจตัดสินทางเดินของบ้านเมืองเอง
"เสียหน้านิดหน่อย แต่ก็จำเป็นต้องทำ เพราะเมื่อรัฐบาลไปต่อไม่ได้ ก็คืนอำนาจให้ประชาชนดีกว่าใช้ความรุนแรงปราบปราม หรือใช้มวลชนแดง จะซ้ำรอยเหตุการณ์ปี 53 และอย่าหลงผิดใช้ความรุนแรงเหมือนเหตุการณ์ที่ย่านรามคำแหง เมื่อคืนวันที่ 30 พ.ย.ที่ผ่านมา โดยส่วนตัวเข้าใจว่าเป็นสายฮาร์ดคอร์ ที่นิยมความรุนแรงของกลุ่มเสื้อแดงที่ นายสุภรณ์ อัตถาวงศ์ รองเลขาธิการนายกรัฐมนตรี ฝ่ายการเมือง พาเข้ามา" นายพงศ์โพยม กล่าว
ขณะที่นายศิวะ กล่าวว่า คนที่มาร่วมชุมนุมมีอุดมการณ์ทั้งนั้น เรื่องทรัพย์สินคงไม่มีอะไรเสียหาย มวลชนจะควบคุมกันเอง ทุกคนล้วนมีความคิดของตัวเอง มีเป้าหมายเดียวกันแล้วจึงมารวมกันได้ รัฐบาลนี้อยู่ในสภาพที่หมดความชอบธรรมแล้ว คงอยู่ได้ไม่นาน เชื่อว่าต้องมีการตัดสินใจว่า จะทำอะไรสักอย่างต่อไป โดยขอกำชับให้ข้าราชการต้องคำนึง และคิดให้ได้ว่าประชาชนที่ออกมาชุมนุมในครั้งนี้ ก็เป็นคนเหมือนกับเจ้าหน้าที่ข้าราชการทุกคน ดังนั้นการคิดใช้ความรุนแรงต่อกัน ควรคิดให้ดีก่อนว่าทำเพื่ออะไร
ส่วนบรรยากาศหลังผู้ชุมนุมได้เข้าไปในพื้นที่ของกระทรวงมหาดไทยได้แล้วนั้น ก็มี อส.ที่ดูแลความปลอดภัยได้ให้การต้อนรับเป็นอย่างดี พร้อมนำผลไม้มามอบให้กับผู้ชุมนุม ขณะที่ผู้
ชุมนุมก็มอบดอกไม้ และนำอาหาร น้ำดื่มไปให้กับบรรดาอส. ที่อยู่ในกระทรวงกว่าพันคน พร้อมขอถ่ายรูปกับเจ้าหน้าที่อส. ร่วมกันเป็นที่ระลึกด้วย ทั้งนี้ส่วนหนึ่งก็ได้หาที่นั่งพักผ่อนตามอัธยาศัย และได้เข้าห้องน้ำของกระทรวงเพื่อทำภารกิจส่วนตัว ขณะที่แกนนำยังคงปราศรัยเพื่อขอให้เจ้าหน้าที่ราชการ อส. หยุดทำงานให้รัฐบาลยิ่งลักษณ์ และมาร่วมกับผู้ชุมนุมเพื่อต่อต้านระบอบทักษิณต่อไป
**"เทือก"แถลงล้างระบอบทักษิณ
เวลา 16.30 น.วานนี้ (1ธ.ค.) ที่ศูนย์ราชการกรุงเทพมหานคร ถนนแจ้งวัฒนะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาธิการคณะกรรมการประชาชนเพื่อการเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์อันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นพระประมุข หรือ กปปส.ได้ออกแถลงการณ์ ฉบับที่ 1 ระบุว่า รัฐบาลน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร พรรคเพื่อไทย ส.ส.พรรคร่วมรัฐบาล และส.ว.เสียงข้างมาก ละเมิดรัฐธรรมนูญ เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจโดยมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่ได้บัญญัติ ซึ่งเป็นความผิดตาม มาตรา 68 ของรัฐธรรมนูญ หลังศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัย แทนที่จะสำนึกผิดกลับประกาศไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ และไม่ยอมรับอำนาจศาลรัฐธรรมนูญ ขัดต่อรัฐธรรมนูญ มาตรา 215 ถือว่าขัดกับหลักความชอบด้วยกฎหมาย และขาดความชอบธรรมทางการเมือง
นอกจากนี้ นายกรัฐมนตรี ไม่ได้ขอพระราชทาน ร่าง แก้ไขรัฐธรรมนูญกลับคืนมา แสดงว่ารัฐบาลประสงค์จะให้พระมหากษัตริย์ ทรงลงพระปรมาภิไธย หรือ หากไม่ลงพระปรมาภิไธยใน 90 วัน รัฐสภาจะใช้เสียง 2 ใน 3 ลงมติยืนยัน ร่างกฎหมายดังกล่าว และบังคับใช้ เข้าเงื่อนไขตาม มาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญ ที่ประชาชนทุกหมู่เหล่าสามารถแสดงพลังตามสิทธิพิทักษ์รัฐธรรมนูญ การแสดงออกซึ่งเป็นหลักการประชาธิปไตยทางตรง เพื่อขจัดระบอบเผด็จการโดยพรรคการเมืองนายทุน หรือ ระบอบทักษิณ ให้พ้นจากแผ่นดินไทย เพื่อธำรงรักษาการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุขไว้ในประเทศไทยสืบไป
จึงขอเชิญชวนคนไทยทุกหมู่เหล่า ร่วมพิทักษ์รัฐธรรมนูญให้การปกครองที่ไม่ชอบด้วยกฎหมายและขาดความชอบธรรมทางการเมืองพ้นไปจากแผ่นดินไทย และร่วมมือกันเปลี่ยนแปลงประเทศไทยให้เป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ ปฏิรูปประเทศไทย ให้เป็นสังคมที่เป็นธรรม ประชาชนมีความมั่นคงและเป็นสุขต่อไป
กปปส. ขอรายงานสถานการณ์ดังต่อไปนี้ การชุมนุมของประชาชนต่อเนื่องเป็นวันที่ 32 บนหลักการ อหิงสา ปราศจากอาวุธ มีมวลชนเข้าร่วมนับล้านๆคน วันนี้ กปปส.และประชาชนได้เดินอารยะเข้าควบคุมพื้นที่ส่วนราชการที่สำคัญได้หลายพื้นที่ ดังนี้ ศูนย์ราชการแจ้งวัฒนะ บริษัท กสท ทีโอที กรมสอบสวนคดีพิเศษ กระทรวงยุติธรรม กระทรวงพาณิชย์ กระทรวงการคลัง สำนักงบประมาณ กระทรวงมหาดไทย กระทรวงแรงงาน กรมประชาสัมพันธ์ กระทรวงการต่างประเทศ โดยดำเนินการอย่างสันติไม่มีความรุนแรง
ในส่วนของสื่อมวลชน กปปส. และประชาชนได้เจรจาขอความร่วมมือให้ถ่ายทอดคำแถลงของ กปปส. โดยสื่อมวลชนเข้าใจแนวทางของ กปปส. และประชาชนเป็นอย่างดี การดำเนินการทั้งหลายเกิดจากความต้องการขจัดระบอบทักษิณ และรัฐบาลที่กระทำการเป็นกบฏต่อรัฐธรรมนูญ ประชาชนจึงต้องลุกขึ้นปกป้องรัฐธรรมนูญที่ถูกระบอบทักษิณปฏิเสธและคุกคาม บัดนี้ สถานการณ์โดยทั่วไปยังมีตำรวจของรัฐบาล และ ศอ.รส. ที่ให้ร้ายประชาชนอยู่ที่ทำเนียบรัฐบาล กองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง และมีท่าทีแข็งกร้าว รวมทั้งที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ประชาชนจึงต้องดำเนินการต่อเพื่อให้การปฏิบัติการมีความต่อเนื่องในการขจัดระบอบทักษิณ
** สั่งหยุดราชการตั้งแต่2ธ.ค.เป็นต้นไป
กปปส. ขอประกาศให้วันจันทร์ที่ 2 ธ.ค.เป็นต้นไป เป็นวันหยุดราชการจนกว่าสถานการณ์จะคลี่คลาย และนับจากเวลานี้เป็นต้นไป ให้สถานีโทรทัศน์ทุกช่องได้อุทิศตนเองเป็นสื่อมวลชนของประชาชน งดออกอากาศข่าวของรัฐบาล เพราะมีแต่จะสร้างความสับสนให้กับประชาชนให้ทุกสถานีถ่ายทอดเฉพาะข่าวจาก กปปส. และการรายงานสถานการณ์จริงต่อพี่น้องประชาชนทั่วประเทศเท่านั้น
กรณีเสียชีวิต 2 ราย บาดเจ็บ 45 ราย ที่มหาวิทยาลัยรามคำแหง เกิดจากรัฐบาล กระทรวงมหาดไทย และตำรวจในระบอบทักษิณ ที่ดำเนินการกับนักศึกษาที่ต่อสู้ด้วยมือเปล่า ไม่ใช่ปฏิบัติการเกี่ยวกับ กปปส.แต่อย่างใด จึงขอแสดงความเสียใจต่อครอบครัวผู้เสียชีวิต บาดเจ็บ ขอประณามรัฐบาล รมว.มหาดไทย และตำรวจที่กระทำต่อนักศึกษาอย่างไร้ความรับผิดชอบชั่วดี และขอบคุณประชาชนทุกสาขาอาชีพ ข้าราชการ โดยเฉพาะทหาร แพทย์ พยาบาล นักวิชาการ นิสิตนักศึกษา ที่เข้าร่วมยืนหยัดต่อสู้ร่วมกันจนกว่าจะขจัดระบอบทักษิณได้อย่างสิ้นซาก และชัยชนะเป็นของประชาชน และขอเรียกร้องไปยังรัฐบาล และเจ้าหน้าที่ตำรวจให้หยุดใส่ร้าย ทำร้ายประชาชน และคืนอำนาจให้ประชาชนใช้อำนาจอธิปไตยไปดำเนินการแก้ไขปัญหาของประเทศชาติต่อไป
ทั้งนี้ ในระหว่างการอ่านแถลงการณ์ กปปส.ได้มีการถ่ายทอดสดผ่านฟรีทีวีเกือบทุกช่อง ยกเว้นช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ ขณะที่ช่อง 9 อสมท ถ่ายทอดไม่จบแถลงการณ์ แล้วขึ้นข้อความ “เกาะติดสถานการณ์ทางการเมือง”แทน
**"ปู"วิดีโอคอนเฟอเร้นซ์ ประชุมครม.
เมื่อเวลา 14.00 น. ที่ศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย (ศอ.รส) สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้มีการประชุมครม.นัดพิเศษ ประกอบด้วย พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกฯ ฝ่ายความมั่นคง นายพงศ์เทพ เทพกาญจนา รองนายกฯ นายวราเทพ รัตนากร รมต.ประจำสำนักนายกรัฐมนตรี และรมช.เกษตรฯ นายชัชชาติ สิทธิพันธุ์ รมว.คมนาคม นายชัยเกษม นิติสิริ รมว.ยุติธรรม นายอำพน กิตติอำพน เลขาธิการคณะรัฐมนตรี และ พล.ท.ภราดร พัฒนถาบุตร เลขาธิการสภาความมั่นคงแห่งชาติ(สมช.) ประเมินสถานการณ์
จากนั้นในเวลา 18.40 น.นายกฯได้เรียกประชุมรัฐมนตรีทั้งคณะที่ ศอ.รส โดยนายกฯ ยังคงประชุมครม.ผ่านระบบวีดีโอคอนฟรีเรนซ์ เข้ามายังที่ประชุมครม.ที่ ศอ.รส. โดยผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายกฯยังคงล่องหน ไม่ทราบว่าอยู่ที่ใด และยังอยู่ในประเทศหรือไม่
**อ้างรัฐบาลไม่ได้ปฏิเสธศาล รธน.
ต่อมาเวลา 19.05 น. พล.ต.อ.ประชา พรหมนอก รองนายกรัฐมนตรี ฝ่ายความมั่นคง แถลงข่าวผ่านโทรทัศน์รวมการเฉพาะกิจแห่งประเทศไทย ระบุว่า ตามที่ นายสุเทพ ได้ออกแถลงการณ์ เมื่อช่วงเวลาประมาณ 16.00 น. ที่ผ่านมานั้น คงทราบดีว่า นายสุเทพ เป็นผู้ต้องหาตามหมายจับของศาลอาญา ในคดีกระทำการให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมืองและบุกรุกสถานที่ราชการ และในปัจจุบันได้เชิญชวนผู้เข้าร่วมชุมนุมบุกยึดสถานีโทรทัศน์ โดยใช้กำลังประทุษร้าย และบังคับให้ถ่ายทอดรายการตามความต้องการของตน นอกจากนี้ ได้ใช้กำลังประทุษร้ายเข้ายึด หรือพยายามเข้ายึดสถานที่ราชการ
ตนในฐานะได้รับมอบหมายให้ดูแลด้านความมั่นคงขอเรียนว่า กรณีที่ นายสุเทพ แถลงว่ารัฐบาลไม่เคารพคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ คดีร่างรัฐธรรมนูญแก้ไขที่มาของ ส.ว. นั้น ขอแจ้งให้ทราบว่า รัฐบาลไม่เคยมีแถลงการณ์ใดๆ หรือมีการแสดงใดๆ ที่เป็นการไม่ยอมรับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ การแถลงการณ์ดังกล่าว เป็นเรื่องของพรรคการเมือง ไม่ใช่รัฐบาล ส่วนร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ก็ไม่ใช่ร่างของครม. แต่เป็นร่างของส.ส. ซึ่งเป็นอำนาจนิติบัญญัติ ที่แยกออกจากอำนาจฝ่ายบริหาร และขณะนี้ก็เป็นที่ชัดเจนแล้วว่า วุฒิสภาไม่รับหลักการร่างฉบับนี้ และ ส.ส. ก็ไม่สนับสนุนร่างฉบับนี้ต่อไป ถือได้ว่าร่างฉบับนี้ตกไป ไม่มีโอกาสบังคับใช้แน่นอนแล้ว
***ขู่ ขรก.หยุดงานโดนเล่นงาน
การที่นายสุเทพ บอกว่าให้วันพรุ่งนี้เป็นวันหยุดงานนั้น ขอยืนยันว่า ในวันพรุ่งนี้หน่วยงานราชการจะเปิดทำการตามปกติ และต่อกรณีที่ขอให้สื่อโทรทัศน์ เลิกการนำเสนอข่าวของรัฐบาลและให้มานำเสนอเหตุการณ์ของการชุมนุมนั้น นายสุเทพไม่มีอำนาจรัฐตามที่รัฐธรรมนูญบัญญัติไว้ที่จะสั่งให้สื่อโทรทัศน์หยุดการนำเสนอข่าวของรัฐบาลได้ และการที่นายสุเทพ อ้างการชุมนุมเป็นการใช้สิทธิมาตรา 69 ของรัฐธรรมนูญนั้น วิธีการของนายสุเทพ และแกนนำบุคคลอื่นได้นำมวลชนเข้าหรือพยายามเข้ายึดสถานที่ราชการ สถานีโทรทัศน์ หรือสถานที่ของรัฐอื่นใด มิได้เป็นไปโดยสันติวิธี มีการใช้กำลังพยายามพังพนังกั้น ที่ทำด้วยปูน มีการขว้างระเบิดปิงปองเข้าไป ยังหน่วยรักษาความปลอดภัย และรัฐบาลชุดนี้เข้ามาเป็นรัฐบาลโดยผ่านกระบวนการเลือกตั้งตามรัฐธรรมนูญ และรัฐบาลไม่ได้กระทำการใด เพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจในการปกครองประเทศโดยวิธีการซึ่งมิได้เป็นไปตามวิถีทางที่บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ในทางตรงกันข้าม การดำเนินการที่กล่าวมาของนายสุเทพ ที่ใช้กำลังประทุษร้าย เพื่อล้มล้างอำนาจบริหาร หรือให้ฝ่ายบริหารใช้อำนาจดังกล่าวไม่ได้ เป็นการกระทำที่เข้าองค์ประกอบความผิดการเป็นกบฎมาตรา 113 แห่งประมวลกฎหมายอาญา มีโทษประหารชีวิตหรือจำคุกตลอดชีวิต
**ห้ามออกนอกบ้าน 4 ทุ่มถึงตี 5
ส่วนกรณีความรุนแรงที่ถนนรามคำแหง และสนามราชมังคลากีฬาสถานนั้น เจ้าหน้าที่ตำรวจกำลังรวบรวมพยานหลักฐาน เพื่อสืบสวนขยายผลในการเข้าจับกุมผู้กระทำความผิด ซึ่งเชื่อว่าจะสามารถขยายผลเพื่อดำเนินคดีกับผู้บงการ และผู้กระทำความผิดในไม่ช้า และขณะนี้ตำรวจได้แจ้งให้ทราบแล้วว่า มีผู้เสียชีวิต 3 ราย มีฝ่าย นปช. 2 ราย และฝ่ายผู้ชุมนุม 1 ราย และจากสถานการณ์ที่มีความรุนแรงในเขตพื้นที่ดังกล่าวข้างต้นนั้น จากการสืบทราบของหน่วยข่าวกรอง และหน่วยงานความมั่นคงพบว่า มีความพยายามของกลุ่มบุคคลที่สามที่พยายามใช้สถานการณ์ดังกล่าวก่อความไม่สงบ โดยเชื่อว่า อาจมีการกระทำที่รุนแรงและอาจมีการใช้อาวุธที่เป็นอันตรายต่อประชาชนและผู้ชุมนุม โดยมีสวัตถุประสงค์เพื่อสร้างความเกลียดชังต่อรัฐบาล และเพื่อเป็นการยกระดับสถานการณ์
ดังนั้น หลังเวลา 22.00 น. ถึงเวลา 05.00 น. ของวันใหม่ หากไม่มีความจำ เป็นขอให้พี่น้องประชาชนไม่ควรออกนอกเคหะสถาน เพื่อความปลอดภัยในชีวิต และทรัพย์สินและไม่ตกเป็นเครื่องมือของบุคคลที่ 3 ดังกล่าว
พล.ต.อ.ประชา กล่าวทิ้งท้ายว่า ขณะนี้รัฐบาลได้ควบคุมสถานการณ์ต่างๆไว้ได้ด้วยความเรียบร้อย รัฐบาลนี้เป็นรัฐบาลของประชาชนทุกคน ดังนั้นรัฐบาลจึงให้ความสำคัญต่อการตัดสินใจด้วยการรับฟังความคิดเห็นของทุกฝ่าย โดยยึดเอาผลประโยชน์ของชาติเป็นที่ตั้ง และขอเน้นย้ำอีกครั้งว่า จะทำหน้าที่ในการปกป้องประชาชนและจะนำมาซึ่งความปกติสุขโดยเร็วที่สุด เพื่อให้พสกนิกรชาวไทยทุกคน ได้มีความพร้อมที่จะถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวันเฉลิมพระชนมพรรษา ที่จะถึงนี้
** รัฐบาลขู่ขรก.ห้ามหยุดงาน 2 ธ.ค.
น.อ.อนุดิษฐ์ นาครทรรพ รมว.เทคโนโลยีสารนเทศและการสื่อสาร (ไอซีที) เปิดเผยว่า ไอซีที ยืนยันทำงานตามปกติ ไม่มีการให้หยุดงาน เพราะได้กระจายที่รองรับ และระบบไว้หลายจุดแล้ว จึงไม่จำเป็นต้องเข้ามาที่ศูนย์ราชการ แจ้งวัฒนะ ก็สามารถทำงานได้ตามปกติ
"ขอถามกลับ ผู้ที่ประกาศให้หยุดงานด้วยว่า ถ้าศูนย์เตือนภัยพิบัติแห่งชาติหยุดงาน แล้วหากเกิดภัยพิบัติใครจะเป็นผู้รับผิดชอบ และตัวคุณสุเทพเองจะรับผิดชอบไหวหรือไม่" รมว.ไอซีทีกล่าว
นายจาตุรนต์ ฉายแสง รมว.ศึกษาธิการ (ศธ.) กล่าวว่า ข้าราชการไม่ควรหยุดงานตามที่นายสุเทพ ออกแถลงการณ์ เพราะจะทำให้เกิดความเสียหายแก่ราชการ และประชาชน ที่สำคัญ หากสังคมปล่อยให้นายสุเทพ และพวกยึดอำนาจไปได้แบบนี้ จะทำให้เป็นอะไรที่เสียหายต่อระบบมาก ประเทศจะเสียหาย ล้าหลัง ทั่วโลกไม่ยอมรับ .
**"เทือก"พบ"ปู-ผบ.เหล่าทัพ"
ต่อมาเวลา 21.35 น. นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เลขาฯ กปปส. แถลงข่าวอีกครั้ง ว่า ตนได้เดินทางไปพบนายกฯยิ่งลักษณ์ และ ผบ. 3 เหล่าทัพ แต่ไม่ได้เจรจาต่อรองใด ๆ เพียงแต่บอกกับนายกฯยิ่งลักษณ์ว่า ขณะนี้ประชาชนลุกขึ้นแสดงความเป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตย มาทวงคืนอำนาจจากระบอบทักษิณแล้ว รัฐบาลหมดความชอบธรรมตั้งแต่วันที่ประกาศไม่ยอมรับอำนาจศาลรธน.แล้ว ประชาชนจึงต้องการใช้อำนาจเข้ามาจัดการแก้ไขบ้านเมืองด้วยมือของประชาชนเอง ถ้านายกฯ ยอมส่งมอบอำนาจแต่โดยดี ประชาชนก็จะปฏิบัติต่อนายกฯ เยี่ยงสุภาพชน จึงขอให้ยิ่งลักษณ์ คืนอำนาจให้ประชาชน เพื่อจะดำเนินการให้ให้มีการปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยโดยสมบูรณ์ ที่มีพระมหากษัตริย์เป็นประมุข ต่อไปนี้ไม่ใช่เรื่องของพรรคการเมือง แต่เป็นเรื่องของประชาชน ที่จะจัดตั้งสภาประชาชน และรัฐบาลของประชาชน เพื่อการปฏิรูปการเมือง ปฏิรูปประเทศ หลังจากนั้นจะคืนอำนาจให้พรรคการเมืองที่จะเข้าสู่กระบวนการเลือกตั้ง หลังจากที่บ้านเมืองได้มีการปฏิรูปแล้ว
ทางออกของประเทศไทยมีอย่างเดียว คือให้ประชาชนเข้ามามีอำนาจในการจัดการครั้งนี้ ไม่มีทางเลือกอื่น ไม่มีข้อต่อรองใดๆ ทั้งสิ้น สิ้งที่ประชาชนดำเนินการจะต้องเสร็จสิ้นใน 2 วันนี้ ขึ้นอยูกับนายกฯ จะตัดสินใจอย่างไร แต่ประชาชนจะดำเนินการต่อไป ตามเจตนารมย์ที่ได้กำหนดร่วมกันไว้แล้วเท่านั้น
ทั้งนี้ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้ตอบใดๆ ซึ่งตนบอกว่า นี่จะเป็นการพบกันครั้งเดียว แล้วจะไม่พบกันอีกจนกว่าประชาชนจะได้ชัยชนะ ยืนยันจะต่อสู้ด้วยความสงบ สันติ อหิงสา เท่านั้น ถ้ารัฐบาลใช้มาตรการรุนแรงกับประชาชาชน จนมีผู้บาดเจ็บเสียชีวิตอีก ประชาชนจะลุกฮือขึ้นทั้งประเทศ ถ้านายกฯ จะปราบปรามประชาชน ก็จะมีคนขึ้นมาทำการแทน จนกว่าจะบรรลุเจตนารมย์ของประชาชน ขอให้นายกฯ ตระหนักว่า ประชาชนไม่มีเวลายืดเยื้ออีกต่อไปแล้ว เพราะคนไทยทั้งประเทศ ไม่ยอมให้มีระบอบทักษิณอีกต่อไปแล้ว
นายสุเทพ กล่าวว่า การที่ตนตัดสินใจไปพบกับน.ส.ยิ่งลักษณ์ เพราะเป็นการไปพบกันต่อหน้า ผบ. 3 เหล่าทัพ ไม่มีเรื่องความลับ แต่ต้องการบอกว่า ประชาชนคิดอย่างไร ต้องการอย่างไรเท่านั้นเอง เป็นการทำอย่างตรงไปตรงมา สำหรับ ตำรวจขอให้วางอาวุธ ไม่ทำร้ายประชาชนอีกต่อไป เราก็พร้อมอ้าแขนต้อนรับ เพราะเป็นตำรวจของประชาชน
ทั้งนี้ การที่มวลชนไปล้อม สตช.-บชน. เพราะไม่ต้องการให้ตำรวจเอาอาวุธออกมาทำร้ายประชาชน ในการพบกันครั้งนี้ ถือว่าเป็นข่าวดี เพราะ ผบ.3 เหล่าทัพ ประกาศเจตนารมย์ว่ากองทัพยืนอยู่ข้างประเทศไทย ผบ.ทบ.กล่าวต่อหน้าทุกคนว่า กองทัพไม่ต้องการเห็นประชาชนบาดเจ็บล้มตาย เพราะกองทัพยืนอยู่ข้างประเทศไทย ซึ่งตนก็ต้องการให้ข้าราชการทั้งหลายยืนอยู่ข้างประชาชน
ทั้งนี้ เราจะเดินหน้าปฏิบัติการของเราต่อไป ข้าราชการต้องหยุดปฏิบัติราชการ ไม่เป็นสมุนระบอบทักษิณอีกต่อไป และมายืนข้างประชาชน