ASTV ผู้จัดการรายวัน – หุ้นไทยวิ่งสวนสถานการณ์การเมือง รีบาวนด์ปิดบวก5 จุด แม้ต่างชาติขายไม่เลิกอีก 9.2 พันล้าน ฉุดเงินบาทอ่อนค่าหลุด32.10 บาท/ดอลลาร์ หลายฝ่ายเริ่มกังวลอาจเห็น 33 บาท/ดอลลาร์ โบรกฯย้ำนักลงทุนให้ความสำคัญการใช้ความรุนแรง “ศุภกร”คาดปีหน้ามีโอกาสเห็น1,650 จุด จากเศรษฐกิจประเทศใหญ่ฟื้นตัว ช่วยดันผลประกอบการบริษัทจดทะเบียน แนะนำลดพอร์ตลงทุนถือเงินสดมากขึ้นในช่วงนี้
ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (26 พ.ย.) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,358.69 จุด เพิ่มขึ้น 5.83 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.43% มูลค่าการซื้อขาย 50,172.06 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นหลักของกลุ่มเทคโนโลยี และพลังงาน หนุนให้ดัชนีปิดตัวในแดนบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 วัน แม้จะมีแรงขายหนักจากนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่สัดส่วนผู้ลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 9.2 พันล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4.2 พันล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 3.5 พันล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท จนเป็นผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 32.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์เชื่อว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ก็มีโอกาสที่จะได้เห็นในระดับ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ดร.ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียเวลท์ จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2557 ว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าปีนี้ โดยดัชนีมีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,550 – 1,650 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตดีขึ้นจากปีนี้ โดยภาคการส่งออกจะเริ่มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจของประเทศหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และหากสถานการณ์การเมืองไทยเริ่มคลี่คลายจะยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุนสำหรับปีหน้า คือ ตลาดพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่น่าสนใจ ได้แก่ เกาหลี และไต้หวัน เพราะการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ
ส่วนตลาดหุ้นไทยก็เริ่มน่าสนใจ เพราะราคาหุ้นปรับตัวลงมามากแล้ว กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากราคาปรับตัวลดลงมามาก ซึ่งควรเลือกลงทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 7%
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้โตที่ 3.1% ซึ่งสูงกว่าที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้ที่ 3.0% เนื่องจากเชื่อว่าจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคในประเทศปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ปี2557คาดว่าจีดีพีไทยจะโตที่ระดับ 4.5% โดยจะมาจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นจากเศรษฐกิจโลก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนจนทำให้จีดีพีโลกปีนี้โตที่ 2% และปีหน้าจะโต 2.8%
อย่างไรก็ตาม ภายหลังรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงในเขตกรุงเทพฯ จังหวัดปทุมธานี เฉพาะอำเภอลาดหลุมแก้ว และจังหวัดสมุทรปราการ เฉพาะอำเภอบางพลี เพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุม นั้นกังวลว่าหากมีความรุนแรงเกิดขึ้นจนถึงการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมจะส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่ระดับ1,200 จุด แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันยังประเมินว่าดัชนีฯ มีโอกาสที่จะยืนอยู่เหนือระดับ 1,300 จุดได้ หากในช่วงสัปดาห์นี้สถานการณ์ยังคงไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
“ในช่วงนี้แนะนำนักลงทุนให้ลดการลงทุน โดยเฉพาะหุ้นในประเทศลง และถือเงินสด หากลงทุนมองว่าควรต่างประเทศในตลาดพัฒนาแล้วเพิ่มมากขึ้น”
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต มองว่า การที่ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นได้ เป็นการทำเทคนิคเคิลรีบาวนด์ในช่วงสั้น เนื่องจากขณะนี้ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์การเมืองจะจบอย่างไร และยังคงกดดันตาดโดยรวมอยู่ ทำให้มิศทางของดัชนีในวันนี้จะอยู่ในลักษณะของการแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 1,330-1,340 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,375-1,380 จุด
ภาวะตลาดหุ้นไทยวานนี้ (26 พ.ย.) ดัชนีปิดการซื้อขายที่ระดับ 1,358.69 จุด เพิ่มขึ้น 5.83 จุด หรือเปลี่ยนแปลง 0.43% มูลค่าการซื้อขาย 50,172.06 ล้านบาท โดยมีแรงซื้อเข้ามาในหุ้นหลักของกลุ่มเทคโนโลยี และพลังงาน หนุนให้ดัชนีปิดตัวในแดนบวกได้เป็นครั้งแรกในรอบ 5 วัน แม้จะมีแรงขายหนักจากนักลงทุนต่างชาติ ขณะที่สัดส่วนผู้ลงทุน พบว่า นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 9.2 พันล้านบาท นักลงทุนรายย่อยซื้อสุทธิ 4.2 พันล้านบาท นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิ 3.5 พันล้านบาท และบัญชีบริษัทหลักทรัพย์ซื้อสุทธิ 1.4 พันล้านบาท จนเป็นผลให้ค่าเงินบาทอ่อนค่าลงมาอยู่ที่ 32.10 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ และนักวิเคราะห์เชื่อว่าหากสถานการณ์ยังเป็นเช่นนี้ก็มีโอกาสที่จะได้เห็นในระดับ 33 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ
ดร.ศุภกร สุนทรกิจ กรรมการผู้จัดการ บริษัทหลักทรัพย์ เอเชียเวลท์ จำกัด กล่าวถึงแนวโน้มตลาดหุ้นไทยปี 2557 ว่า ตลาดหุ้นไทยน่าจะดีกว่าปีนี้ โดยดัชนีมีโอกาสจะปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 1,550 – 1,650 จุด เนื่องจากเศรษฐกิจไทยน่าจะเติบโตดีขึ้นจากปีนี้ โดยภาคการส่งออกจะเริ่มฟื้นตัวตามเศรษฐกิจของประเทศหลัก เช่น สหรัฐฯ ยุโรป และหากสถานการณ์การเมืองไทยเริ่มคลี่คลายจะยิ่งเป็นปัจจัยหนุนให้ตลาดหุ้นปรับตัวดีขึ้น แต่อย่างไรก็ดี มองว่าตลาดหุ้นที่น่าสนใจลงทุนสำหรับปีหน้า คือ ตลาดพัฒนาแล้ว โดยเฉพาะสหรัฐฯ ญี่ปุ่น และยุโรป ส่วนตลาดหุ้นในภูมิภาคเอเชียที่น่าสนใจ ได้แก่ เกาหลี และไต้หวัน เพราะการส่งออกเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ
ส่วนตลาดหุ้นไทยก็เริ่มน่าสนใจ เพราะราคาหุ้นปรับตัวลงมามากแล้ว กลุ่มธุรกิจที่น่าสนใจคือ กองทุนรวมอสังหาริมทรัพย์ เนื่องจากราคาปรับตัวลดลงมามาก ซึ่งควรเลือกลงทุนกองทุนอสังหาริมทรัพย์ ที่ให้ผลตอบแทนมากกว่า 7%
ทั้งนี้ บริษัทฯคาดการณ์จีดีพีไทยปีนี้โตที่ 3.1% ซึ่งสูงกว่าที่สภาพัฒน์คาดการณ์ไว้ที่ 3.0% เนื่องจากเชื่อว่าจะมีปริมาณนักท่องเที่ยวในช่วงปลายปีเพิ่มสูงขึ้น ซึ่งจะส่งผลให้การบริโภคในประเทศปรับตัวดีขึ้นตามไปด้วย ขณะที่ปี2557คาดว่าจีดีพีไทยจะโตที่ระดับ 4.5% โดยจะมาจากภาคการส่งออกที่ฟื้นตัวขึ้นจากเศรษฐกิจโลก ทั้งสหรัฐฯ และยุโรปที่มีสัญญาณการฟื้นตัวที่ชัดเจนจนทำให้จีดีพีโลกปีนี้โตที่ 2% และปีหน้าจะโต 2.8%
อย่างไรก็ตาม ภายหลังรัฐบาลประกาศใช้พ.ร.บ.ความมั่นคงในเขตกรุงเทพฯ จังหวัดปทุมธานี เฉพาะอำเภอลาดหลุมแก้ว และจังหวัดสมุทรปราการ เฉพาะอำเภอบางพลี เพื่อควบคุมสถานการณ์การชุมนุม นั้นกังวลว่าหากมีความรุนแรงเกิดขึ้นจนถึงการใช้กำลังเข้าสลายการชุมนุมจะส่งผลให้ดัชนีฯ ปรับตัวลดลงมาต่ำสุดที่ระดับ1,200 จุด แต่จากสถานการณ์ในปัจจุบันยังประเมินว่าดัชนีฯ มีโอกาสที่จะยืนอยู่เหนือระดับ 1,300 จุดได้ หากในช่วงสัปดาห์นี้สถานการณ์ยังคงไม่มีความรุนแรงเกิดขึ้น
“ในช่วงนี้แนะนำนักลงทุนให้ลดการลงทุน โดยเฉพาะหุ้นในประเทศลง และถือเงินสด หากลงทุนมองว่าควรต่างประเทศในตลาดพัฒนาแล้วเพิ่มมากขึ้น”
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์การลงทุน บล.ธนชาต มองว่า การที่ตลาดหุ้นไทย ปรับตัวขึ้นได้ เป็นการทำเทคนิคเคิลรีบาวนด์ในช่วงสั้น เนื่องจากขณะนี้ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์การเมืองจะจบอย่างไร และยังคงกดดันตาดโดยรวมอยู่ ทำให้มิศทางของดัชนีในวันนี้จะอยู่ในลักษณะของการแกว่งตัวในกรอบแนวรับ 1,330-1,340 จุด ส่วนแนวต้านให้ไว้ที่ 1,375-1,380 จุด