(25 พ.ย.56)
ยุทธการ หมายถึงการยุทธหรือการสู้รบที่หวังผลชัดเจน และนำไปสู่การ
เปลี่ยนแปลงของดุลกำลังของสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอย่างมีนัยสำคัญ
ณ บัดนี้ การต่อสู้ระหว่างคู่ขัดแย้งหลักของสังคมไทย ซึ่งก็คือ “อำนาจประชาชน” กับ “อำนาจทักษิณ” ได้ก้าวมาถึงจุดแตกหักใหญ่ ที่จะลงเอยด้วยชัยชนะของฝ่ายหนึ่งกับความพ่ายแพ้ของอีกฝ่ายหนึ่งในระดับภาพรวม
เห็นได้ชัดว่า การต่อสู้ระหว่างสองอำนาจนี้ ได้ดำเนินมาตามกฎเกณฑ์ของ “สงครามมวลชน”อย่างชัดเจน นั่นคือทั้งสองฝ่ายต่างประกาศถึง “ความชอบธรรม” ในการสถาปนาอำนาจเหนือสังคมไทย ด้วยการอ้างอิงอานุภาพของมวลมหาประชาชน เป็นอำนาจหลักต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ ส่วนอำนาจอื่นๆ แม้กระทั่งอำนาจทหาร มีฐานะเพียงอำนาจเสริม
ด้วยเหตุนี้ การสร้างอำนาจหลักเช่นนี้ให้ยิ่งใหญ่ จึงเป็นแนวทางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด ซึ่งดูเหมือนฝ่ายขบวนการประชาชนฯ นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในระยะแรก (กันยายน2548- สิงหาคม2556) และกลุ่มองค์กรต่างๆอย่างหลากหลาย(กันยายน 2556-ปัจจุบัน) จนกระทั่งกลายเป็นการรวมตัวอันยิ่งใหญ่ที่ถนนราชดำเนิน จะเข้าถึง “กฎเกณฑ์” ของการทำสงครามมวลชนได้มากกว่าฝ่ายทักษิณ จึงได้ยืนหยัด “ชูธง” สร้างกองทัพมวลชนตื่นรู้มาโดยตลอด เพื่อความยิ่งใหญ่ของขบวนการประชาชนฯอย่างแท้จริง ขณะที่ฝ่ายทักษิณมุ่งใช้ “คะแนนเสียงเลือกตั้ง” ในระบบรัฐสภา อรรถาธิบายความชอบธรรมของการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล ควบคู่ไปกับการกระชับอำนาจเหนือหน่วยงานราชการต่างๆ บงการกลไกอำนาจรัฐให้ปฏิบัติไปในทิศทางที่เอื้อต่อการเสริมสร้างอำนาจให้แก่ตนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการจัดตั้งมวลชนเสื้อแดงหลักๆก็ดำเนินไปในรูปของการสร้าง “อำนาจคู่ขนาน” ยิ่งกว่าการที่จะสร้างให้เป็น “อำนาจหลัก”
จึงปรากฏผลให้เห็นอย่างชัดเจนในวันนี้ว่า ขนาดและคุณภาพของ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ของขบวนการประชาชนฯ มีความเหนือกว่ากลุ่มมวลชนเสื้อแดงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กลไกอำนาจรัฐ ทั้งที่เป็นตำรวจและทหารในสังกัดอำนาจทักษิณ ก็ทำท่าจะโอนเอนพริ้วพลิกไปตามสถานการณ์ ดุจขี้ผึ้งลนไฟ
ทั้งหมดนี้ จะทำให้การเผด็จศึกระบอบทักษิณ เป็นไปได้ง่ายขึ้น และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงต่อสู้กัน ก้าวข้าม “หลุมดำ”แห่ง “สงครามกลางเมือง” ได้สำเร็จ
ในบริบทแห่ง “เงื่อนไข”ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้ลำดับมาพอเป็นสังเขปนี้ ทำให้เราสามารถกำหนดแผนยุทธการเผด็จศึก “ระบอบทักษิณ” ได้ดังนี้
แผนยุทธการหนึ่ง ทำการรวมกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์”ที่ถนนราชดำเนิน ให้สำเร็จ ซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศชัยชนะครั้งใหญ่ใน “สงครามมวลชน” (ซึ่งเราทำสำเร็จแล้ว)
แม้กลุ่มอำนาจทักษิณจะพยายามระดมมวลชนคนเสื้อแดงที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ แต่ก็ไม่พอที่จะต่อกรกับมวลมหาประชาชนที่ถนนราชดำเนิน และจะต้องฝ่อแฟบลง เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพมหึมาของมวลชนตื่นรู้ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
แผนยุทธการสอง ใช้ภาพความยิ่งใหญ่ของกองทัพมวลชนฯที่ถนนราชดำเนิน สยบความฮึกเหิมของกลุ่มคนเสื้อแดงและตำรวจที่ฝักใฝ่ในอำนาจทักษิณ รวมไปถึงนายทหารที่อิงแอบอำนาจทักษิณ ให้พวกเขาต้อง “ยอมจำนน” ตั้งแต่ยังไม่ได้เคลื่อนกำลังออกมาปะทะ พร้อมกันนั้นก็ “เปิดทาง”ให้กลุ่มคนเสื้อแดง “กลับใจ” เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการประชาชนฯ และให้ตำรวจ “กลับตัว” หันมาร่วมมือกับมวลชนในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ส่วนกองทัพก็ให้แสดงจุดยืน “เอียงข้างประชาชน” อย่างชัดเจน พร้อมปฏิบัติการปกป้องมวลชนฯในทันทีที่มีการคุกคามจากภัยมืด
แผนยุทธการสาม เคลื่อนมวลชนจากถนนราชดำเนิน(ตามแผนวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.56)ไปทุกจุดที่มีมวลชนออกมาสมบท ยึดพื้นที่กรุงเทพฯไว้ในมือของขบวนการประชาชนฯ สถาปนา “อำนาจรัฐประชาชน” ทีละจุดๆ ให้ครอบคลุมไปทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล จากนั้นจัดการประชุมใหญ่ “สภาประชาชน” ประกาศจัดตั้งคณะผู้บริหารประเทศออกคำสั่งไปยังหน่วยงานรัฐทุกระดับ ให้ปฏิบัติตาม
เมื่อนั้น ประเทศไทยก็จะเดินหน้าสู่อนาคต ไปในทิศทางที่ประชาชนต้องการ ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีมีสุข
ยุทธการ หมายถึงการยุทธหรือการสู้รบที่หวังผลชัดเจน และนำไปสู่การ
เปลี่ยนแปลงของดุลกำลังของสองฝ่ายที่ต่อสู้กันอย่างมีนัยสำคัญ
ณ บัดนี้ การต่อสู้ระหว่างคู่ขัดแย้งหลักของสังคมไทย ซึ่งก็คือ “อำนาจประชาชน” กับ “อำนาจทักษิณ” ได้ก้าวมาถึงจุดแตกหักใหญ่ ที่จะลงเอยด้วยชัยชนะของฝ่ายหนึ่งกับความพ่ายแพ้ของอีกฝ่ายหนึ่งในระดับภาพรวม
เห็นได้ชัดว่า การต่อสู้ระหว่างสองอำนาจนี้ ได้ดำเนินมาตามกฎเกณฑ์ของ “สงครามมวลชน”อย่างชัดเจน นั่นคือทั้งสองฝ่ายต่างประกาศถึง “ความชอบธรรม” ในการสถาปนาอำนาจเหนือสังคมไทย ด้วยการอ้างอิงอานุภาพของมวลมหาประชาชน เป็นอำนาจหลักต่อสู้เพื่อให้ได้ชัยชนะ ส่วนอำนาจอื่นๆ แม้กระทั่งอำนาจทหาร มีฐานะเพียงอำนาจเสริม
ด้วยเหตุนี้ การสร้างอำนาจหลักเช่นนี้ให้ยิ่งใหญ่ จึงเป็นแนวทางการต่อสู้ของทั้งสองฝ่ายมาโดยตลอด ซึ่งดูเหมือนฝ่ายขบวนการประชาชนฯ นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยในระยะแรก (กันยายน2548- สิงหาคม2556) และกลุ่มองค์กรต่างๆอย่างหลากหลาย(กันยายน 2556-ปัจจุบัน) จนกระทั่งกลายเป็นการรวมตัวอันยิ่งใหญ่ที่ถนนราชดำเนิน จะเข้าถึง “กฎเกณฑ์” ของการทำสงครามมวลชนได้มากกว่าฝ่ายทักษิณ จึงได้ยืนหยัด “ชูธง” สร้างกองทัพมวลชนตื่นรู้มาโดยตลอด เพื่อความยิ่งใหญ่ของขบวนการประชาชนฯอย่างแท้จริง ขณะที่ฝ่ายทักษิณมุ่งใช้ “คะแนนเสียงเลือกตั้ง” ในระบบรัฐสภา อรรถาธิบายความชอบธรรมของการใช้อำนาจอย่างฉ้อฉล ควบคู่ไปกับการกระชับอำนาจเหนือหน่วยงานราชการต่างๆ บงการกลไกอำนาจรัฐให้ปฏิบัติไปในทิศทางที่เอื้อต่อการเสริมสร้างอำนาจให้แก่ตนยิ่งขึ้นเรื่อยๆ ส่วนการจัดตั้งมวลชนเสื้อแดงหลักๆก็ดำเนินไปในรูปของการสร้าง “อำนาจคู่ขนาน” ยิ่งกว่าการที่จะสร้างให้เป็น “อำนาจหลัก”
จึงปรากฏผลให้เห็นอย่างชัดเจนในวันนี้ว่า ขนาดและคุณภาพของ “กองทัพมวลชนตื่นรู้” ของขบวนการประชาชนฯ มีความเหนือกว่ากลุ่มมวลชนเสื้อแดงอย่างเห็นได้ชัด ขณะที่กลไกอำนาจรัฐ ทั้งที่เป็นตำรวจและทหารในสังกัดอำนาจทักษิณ ก็ทำท่าจะโอนเอนพริ้วพลิกไปตามสถานการณ์ ดุจขี้ผึ้งลนไฟ
ทั้งหมดนี้ จะทำให้การเผด็จศึกระบอบทักษิณ เป็นไปได้ง่ายขึ้น และสามารถหลีกเลี่ยงการใช้ความรุนแรงต่อสู้กัน ก้าวข้าม “หลุมดำ”แห่ง “สงครามกลางเมือง” ได้สำเร็จ
ในบริบทแห่ง “เงื่อนไข”ทั้งหลายทั้งปวงที่ได้ลำดับมาพอเป็นสังเขปนี้ ทำให้เราสามารถกำหนดแผนยุทธการเผด็จศึก “ระบอบทักษิณ” ได้ดังนี้
แผนยุทธการหนึ่ง ทำการรวมกันเข้าเป็น “กำปั้นยักษ์”ที่ถนนราชดำเนิน ให้สำเร็จ ซึ่งเท่ากับเป็นการประกาศชัยชนะครั้งใหญ่ใน “สงครามมวลชน” (ซึ่งเราทำสำเร็จแล้ว)
แม้กลุ่มอำนาจทักษิณจะพยายามระดมมวลชนคนเสื้อแดงที่สนามกีฬาราชมังคลาฯ แต่ก็ไม่พอที่จะต่อกรกับมวลมหาประชาชนที่ถนนราชดำเนิน และจะต้องฝ่อแฟบลง เมื่อเผชิญหน้ากับกองทัพมหึมาของมวลชนตื่นรู้ทั้งในกรุงเทพฯและต่างจังหวัด
แผนยุทธการสอง ใช้ภาพความยิ่งใหญ่ของกองทัพมวลชนฯที่ถนนราชดำเนิน สยบความฮึกเหิมของกลุ่มคนเสื้อแดงและตำรวจที่ฝักใฝ่ในอำนาจทักษิณ รวมไปถึงนายทหารที่อิงแอบอำนาจทักษิณ ให้พวกเขาต้อง “ยอมจำนน” ตั้งแต่ยังไม่ได้เคลื่อนกำลังออกมาปะทะ พร้อมกันนั้นก็ “เปิดทาง”ให้กลุ่มคนเสื้อแดง “กลับใจ” เข้าร่วมเป็นส่วนหนึ่งของขบวนการประชาชนฯ และให้ตำรวจ “กลับตัว” หันมาร่วมมือกับมวลชนในการเปลี่ยนแปลงประเทศไทย ส่วนกองทัพก็ให้แสดงจุดยืน “เอียงข้างประชาชน” อย่างชัดเจน พร้อมปฏิบัติการปกป้องมวลชนฯในทันทีที่มีการคุกคามจากภัยมืด
แผนยุทธการสาม เคลื่อนมวลชนจากถนนราชดำเนิน(ตามแผนวันจันทร์ที่ 25 พ.ย.56)ไปทุกจุดที่มีมวลชนออกมาสมบท ยึดพื้นที่กรุงเทพฯไว้ในมือของขบวนการประชาชนฯ สถาปนา “อำนาจรัฐประชาชน” ทีละจุดๆ ให้ครอบคลุมไปทั่วทั้งกรุงเทพฯและปริมณฑล จากนั้นจัดการประชุมใหญ่ “สภาประชาชน” ประกาศจัดตั้งคณะผู้บริหารประเทศออกคำสั่งไปยังหน่วยงานรัฐทุกระดับ ให้ปฏิบัติตาม
เมื่อนั้น ประเทศไทยก็จะเดินหน้าสู่อนาคต ไปในทิศทางที่ประชาชนต้องการ ประเทศชาติเจริญรุ่งเรือง ประชาชนอยู่ดีมีสุข