นายอุทัย พิมพ์ใจชน อดีตประธานสภาฯ อดีตรัฐมนตรีกระทรวงพาณิชย์ อดีต ส.ส.ชลบุรีหลายสมัยเป็นรายล่าสุดที่ลาออกจากสภาปฏิรูปฯ ก่อนหน้านี้เป็นนายพิชัย รัตตกุล อดีตหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ อดีต ส.ส.กทม.หลายสมัย
เหตุผลของการลาออกเหมือนๆ กันคือ มองไม่เห็นความจริงใจการปฏิรูปของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ผู้ที่ยังเชื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ในการที่จะปฏิรูปประเทศไทย เห็นจะเป็นนายบรรหาร ศิลปอาชา แต่เพียงคนเดียวเสียแล้วละ เพราะนายบรรหารเป็นผู้ประสานงานในเรื่องของการปฏิรูป เที่ยวได้ไปเชิญคนโน้นคนนี้มาร่วมประชุมหาแนวทางการปฏิรูป
ซึ่งก็ไม่แน่อีกนั่นแหละว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา จะเข้าใจการปฏิรูปดีแค่ไหนอย่างไร เท่าที่ฟังก็บอกว่าอายุ 82 ปีแล้วคงจะอยู่อีกไม่กี่ปี (นายบรรหารพูดเอง) อยากทำประโยชน์ให้ลูกหลานบ้าง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโทร.มาหาเองว่า อยากปฏิรูปประเทศ อยากปฏิรูปบ้านเมือง
ตรงนี้ต้องบอกว่า นายบรรหาร กับนางสาวยิ่งลักษณ์มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการปฏิรูปบ้านเมืองในระดับเดียวกันพอกัน เป็นความเข้าใจที่แตกต่างไปจากคนอื่น เป็นต้นว่านายอุทัย พิมพ์ใจชน นายพิชัย รัตตกุล และแตกต่างจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่นายบรรหารเคยเดินทางไปเชิญ และได้รับการปฏิเสธ
บ้านเมืองเราต้องการปฏิรูปอย่างแน่นอน แต่คนละความหมายกับนางสาวยิ่งลักษณ์ หรือนายบรรหาร ศิลปอาชา
จะไม่ปฏิรูปได้อย่างไรล่ะครับ ดูสติปัญญา ดูความคิดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 310 คนที่ผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วาระที่ 3 มาให้วุฒิสภาคว่ำนี่ก็ได้ รับหลักการในวาระที่ 1 อย่างหนึ่ง ในขั้นแปรญัตติเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระไปจนหมดสิ้น เป็นการนิรโทษให้คนที่ทุจริตคอร์รัปชันทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งไม่มีสภาฯ ใดในโลกอันศิวิไลซ์นี้เขาทำกัน มันก็ทำกันได้
ระหว่างการพิจารณาในวาระที่ 2-3 มันก็พยายามปิดปากฝ่ายค้านไม่ให้อภิปราย และในที่สุดก็ลงมติกันตอนย่ำรุ่ง
มันคิดเอาแต่ได้เพื่อสนองนาย หรือพ่อมันเท่านั้นเอง ไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง ชอบธรรม ขัดหรือไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญขอให้พ่อมันได้กลับบ้านอย่างเท่ๆ เป็นพอ
แม้ว่าก่อนหน้านั้น มันจะบอกพวกเดียวกันเอง (เสื้อแดง) ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นฆาตกร เป็นคนสั่งฆ่าพวกเขาจะได้รับนิรโทษกรรมด้วยมันก็ไม่สนใจ ขอให้มันรอดก่อนเป็นพอ
และเมื่อวุฒิสภาลงมติคว่ำ พวกมันก็พร้อมที่จะลงสัตยาบันไม่นำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมาพิจารณาอีก ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ได้อยู่ต่อไป บริหารบ้านเมืองต่อไป หนทางต่อไปจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันไม่ละอาย ไม่สำนึก
สภาฯ ที่ไม่มีวิจารณญาณเช่นนี้เอาไว้ทำไม ต้องปฏิรูปกันแล้วละ
และยิ่งถ้าหากมองไปที่ตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานรัฐสภาด้วย ก็จะเห็นว่า ภาระหน้าที่ของเขาก็คือการเป็นขี้ข้าทักษิณตั้งแต่เริ่มงาน จะเห็นจากคำพูดที่เขาสารภาพเองในงานวันเกิดที่เพชรบูรณ์
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ปวารณาตัวในการรับใช้ทักษิณอย่างชัดเจนในคำพูดวันนั้น โดยไม่คำนึงถึงถูก ผิด ดี หรือชั่ว
ไม่ปฏิรูปสภาฯ เฮงซวยอย่างนี้ประเทศชาติจะไปรอดหรือ?
หันไปที่ฝ่ายบริหารมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ประสีประสาทางการเมือง ไม่รู้ว่า ผิด ถูก ชอบ ชั่วดีเป็นอย่างไรก็ยิ่งไปกันใหญ่ ประเทศชาติจะไปรอดหรือ
สองปีกว่าๆ ที่ผ่านมาเห็นชัดเจนแล้วถึงความหายนะของชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำข้าวที่ขาดทุนมหาศาลถึงปีละ 2 แสนล้านบาท โดยที่ตกถึงมือชาวนาไม่เกินแสนล้านบาท นอกนั้นเป็นการทุจริต เป็นการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมือง พ่อค้า โรงสี โครงการป้องกันน้ำท่วมที่ใช้เงิน 3.5 แสนล้านบาท โดยที่ไม่มีโครงการชัดเจน และมาถึงวันนี้ก็หมดเวลากู้แล้ว โครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทมาพัฒนาการขนส่ง การคมนาคมซึ่งก็ไม่มีแบบแผนชัดเจน มีแต่หนี้ที่จะให้ลูกหลานในอนาคต
ไม่ปฏิรูปฝ่ายบริหารที่ไร้ยางอายวันนี้ จะรอวันไหนอีก?
ความเข้าใจเรื่องปฏิรูปเช่นนี้ ย่อมแตกต่างจากความเข้าใจของนางสาวยิ่งลักษณ์ และนายบรรหารอย่างแน่นอน พวกเขาคิดแต่เพียงว่า ทำอย่างไรให้บ้านเมืองอยู่กันอย่างเรียบๆ ร้อยๆ ไม่มีการประท้วง ไม่มีการชุมนุม ปล่อยให้บ้านนี้เมืองนี้อยู่ภายใต้การบริหารของพวกเขา พวกเขาเป็นนักเลือกตั้ง เลือกตั้งทีพวกเขาก็ชนะ พวกเขาเท่านั้นจึงเป็นนักประชาธิปไตย และเมื่อเลือกตั้งแล้วก็ต้องปล่อยให้พวกเขาบริหารประเทศ อย่าชุมนุม อย่าคัดค้าน
พวกเขาจึงเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษเกิดมาเพื่อบริหารบ้านนี้เมืองนี้เท่านั้น ส่วนความร่ำรวยที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นรางวัลที่พวกเขาควรที่จะได้ เพราะพวกเขาเสียสละทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง
แน่ละ ความคิดเช่นนี้ประชาชนอย่างเราๆ รับไม่ได้ ประชาชนในประเทศศิวิไลซ์ไหนก็รับไม่ได้
เหตุผลของการลาออกเหมือนๆ กันคือ มองไม่เห็นความจริงใจการปฏิรูปของนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี
ผู้ที่ยังเชื่อนางสาวยิ่งลักษณ์ในการที่จะปฏิรูปประเทศไทย เห็นจะเป็นนายบรรหาร ศิลปอาชา แต่เพียงคนเดียวเสียแล้วละ เพราะนายบรรหารเป็นผู้ประสานงานในเรื่องของการปฏิรูป เที่ยวได้ไปเชิญคนโน้นคนนี้มาร่วมประชุมหาแนวทางการปฏิรูป
ซึ่งก็ไม่แน่อีกนั่นแหละว่า นายบรรหาร ศิลปอาชา จะเข้าใจการปฏิรูปดีแค่ไหนอย่างไร เท่าที่ฟังก็บอกว่าอายุ 82 ปีแล้วคงจะอยู่อีกไม่กี่ปี (นายบรรหารพูดเอง) อยากทำประโยชน์ให้ลูกหลานบ้าง นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีโทร.มาหาเองว่า อยากปฏิรูปประเทศ อยากปฏิรูปบ้านเมือง
ตรงนี้ต้องบอกว่า นายบรรหาร กับนางสาวยิ่งลักษณ์มีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการปฏิรูปบ้านเมืองในระดับเดียวกันพอกัน เป็นความเข้าใจที่แตกต่างไปจากคนอื่น เป็นต้นว่านายอุทัย พิมพ์ใจชน นายพิชัย รัตตกุล และแตกต่างจากนายสนธิ ลิ้มทองกุล พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ที่นายบรรหารเคยเดินทางไปเชิญ และได้รับการปฏิเสธ
บ้านเมืองเราต้องการปฏิรูปอย่างแน่นอน แต่คนละความหมายกับนางสาวยิ่งลักษณ์ หรือนายบรรหาร ศิลปอาชา
จะไม่ปฏิรูปได้อย่างไรล่ะครับ ดูสติปัญญา ดูความคิดของสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร 310 คนที่ผ่านร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม วาระที่ 3 มาให้วุฒิสภาคว่ำนี่ก็ได้ รับหลักการในวาระที่ 1 อย่างหนึ่ง ในขั้นแปรญัตติเปลี่ยนแปลงเนื้อหาสาระไปจนหมดสิ้น เป็นการนิรโทษให้คนที่ทุจริตคอร์รัปชันทำผิดกฎหมายอาญา ซึ่งไม่มีสภาฯ ใดในโลกอันศิวิไลซ์นี้เขาทำกัน มันก็ทำกันได้
ระหว่างการพิจารณาในวาระที่ 2-3 มันก็พยายามปิดปากฝ่ายค้านไม่ให้อภิปราย และในที่สุดก็ลงมติกันตอนย่ำรุ่ง
มันคิดเอาแต่ได้เพื่อสนองนาย หรือพ่อมันเท่านั้นเอง ไม่ได้คำนึงถึงความถูกต้อง ชอบธรรม ขัดหรือไม่ขัดกับรัฐธรรมนูญขอให้พ่อมันได้กลับบ้านอย่างเท่ๆ เป็นพอ
แม้ว่าก่อนหน้านั้น มันจะบอกพวกเดียวกันเอง (เสื้อแดง) ว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ เป็นฆาตกร เป็นคนสั่งฆ่าพวกเขาจะได้รับนิรโทษกรรมด้วยมันก็ไม่สนใจ ขอให้มันรอดก่อนเป็นพอ
และเมื่อวุฒิสภาลงมติคว่ำ พวกมันก็พร้อมที่จะลงสัตยาบันไม่นำร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมมาพิจารณาอีก ทั้งหลายทั้งปวงก็เพื่อให้รัฐบาลนางสาวยิ่งลักษณ์ได้อยู่ต่อไป บริหารบ้านเมืองต่อไป หนทางต่อไปจะเป็นอย่างไรค่อยว่ากันไม่ละอาย ไม่สำนึก
สภาฯ ที่ไม่มีวิจารณญาณเช่นนี้เอาไว้ทำไม ต้องปฏิรูปกันแล้วละ
และยิ่งถ้าหากมองไปที่ตัวประธานสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งเป็นประธานรัฐสภาด้วย ก็จะเห็นว่า ภาระหน้าที่ของเขาก็คือการเป็นขี้ข้าทักษิณตั้งแต่เริ่มงาน จะเห็นจากคำพูดที่เขาสารภาพเองในงานวันเกิดที่เพชรบูรณ์
นายสมศักดิ์ เกียรติสุรนนท์ ปวารณาตัวในการรับใช้ทักษิณอย่างชัดเจนในคำพูดวันนั้น โดยไม่คำนึงถึงถูก ผิด ดี หรือชั่ว
ไม่ปฏิรูปสภาฯ เฮงซวยอย่างนี้ประเทศชาติจะไปรอดหรือ?
หันไปที่ฝ่ายบริหารมีนายกรัฐมนตรีที่ไม่ประสีประสาทางการเมือง ไม่รู้ว่า ผิด ถูก ชอบ ชั่วดีเป็นอย่างไรก็ยิ่งไปกันใหญ่ ประเทศชาติจะไปรอดหรือ
สองปีกว่าๆ ที่ผ่านมาเห็นชัดเจนแล้วถึงความหายนะของชาติบ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นการรับจำนำข้าวที่ขาดทุนมหาศาลถึงปีละ 2 แสนล้านบาท โดยที่ตกถึงมือชาวนาไม่เกินแสนล้านบาท นอกนั้นเป็นการทุจริต เป็นการแสวงหาประโยชน์ของนักการเมือง พ่อค้า โรงสี โครงการป้องกันน้ำท่วมที่ใช้เงิน 3.5 แสนล้านบาท โดยที่ไม่มีโครงการชัดเจน และมาถึงวันนี้ก็หมดเวลากู้แล้ว โครงการกู้เงิน 2 ล้านล้านบาทมาพัฒนาการขนส่ง การคมนาคมซึ่งก็ไม่มีแบบแผนชัดเจน มีแต่หนี้ที่จะให้ลูกหลานในอนาคต
ไม่ปฏิรูปฝ่ายบริหารที่ไร้ยางอายวันนี้ จะรอวันไหนอีก?
ความเข้าใจเรื่องปฏิรูปเช่นนี้ ย่อมแตกต่างจากความเข้าใจของนางสาวยิ่งลักษณ์ และนายบรรหารอย่างแน่นอน พวกเขาคิดแต่เพียงว่า ทำอย่างไรให้บ้านเมืองอยู่กันอย่างเรียบๆ ร้อยๆ ไม่มีการประท้วง ไม่มีการชุมนุม ปล่อยให้บ้านนี้เมืองนี้อยู่ภายใต้การบริหารของพวกเขา พวกเขาเป็นนักเลือกตั้ง เลือกตั้งทีพวกเขาก็ชนะ พวกเขาเท่านั้นจึงเป็นนักประชาธิปไตย และเมื่อเลือกตั้งแล้วก็ต้องปล่อยให้พวกเขาบริหารประเทศ อย่าชุมนุม อย่าคัดค้าน
พวกเขาจึงเป็นมนุษย์พันธุ์พิเศษเกิดมาเพื่อบริหารบ้านนี้เมืองนี้เท่านั้น ส่วนความร่ำรวยที่เกิดขึ้นกับพวกเขาเป็นรางวัลที่พวกเขาควรที่จะได้ เพราะพวกเขาเสียสละทำงานเพื่อชาติบ้านเมือง
แน่ละ ความคิดเช่นนี้ประชาชนอย่างเราๆ รับไม่ได้ ประชาชนในประเทศศิวิไลซ์ไหนก็รับไม่ได้