** แม้จะยังไม่ประกาศออกมาว่าเป้าหมายข้างหน้าจะไปถึงไหน สำหรับเวทีชุมนุมที่ราชดำเนิน นำโดย สุเทพ เทือกสุบรรณ แต่เท่าที่เห็นอาการของมวลชนที่ยืนยัน"สู้ต่อไป" เป็นเอกฉันท์เมื่อวันก่อน จนทำให้ สุเทพ ตัดสินใจ ลาออกจาก ส.ส.พร้อมกับ ส.ส.ในพรรคประชาธิปัตย์ รวมทั้งหมด 9 คน มานำการชุมนุมอย่างเต็มตัว
ถึงจะไม่ได้ประกาศให้ชัดออกมาว่าจะไปต่ออย่างไร แต่จากที่เห็นจากอาการของมวลชนที่ตะโกนออกมาว่า "ยิ่งลักษณ์ออกไป" แล้วก็พอเดาออกได้ไม่ยากแล้วว่า จะต้องมีการ "ยกระดับเป็นขับไล่" รัฐบาลในอีกไม่ช้านี้ เพราะอย่างน้อยการทิ้งตำแหน่ง ส.ส.ออกมาแบบนี้ ถือว่าเป็นการ "เดิมพัน" กันพอสมควรเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยต่อไปนี้พวกเขาก็ไม่มีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง มีโอกาสเสี่ยงที่จะเจอ "รัฐตำรวจ" ยัดข้อหา"กบฎ-ยุยงก่อความวุ่นวาย" ได้ทุกเมื่อ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มขยับกันแล้ว ทั้งที่มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในนามของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) รวมไปถึง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่รอจังหวะออกหมายเรียกอยู่
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายรัฐบาลมีความหวั่นไหวต่อมาตรการ "อารยะขัดขืน" ที่ได้ประกาศกันไปก่อนหน้านี้ และเริ่มปฏิบัติกันเป็นวันแรก นั่นคือเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 13-15 พฤศจิกายน โดยเริ่มต้นมี 3-4 ข้อ คือ นัดหยุดงานหรือ "เฉื่อยงาน" ชะลอการจ่ายภาษี ติดธงชาติเป็นสัญลักษณ์การต่อต้าน และการเป่านกหวีดไล่ คนในรัฐบาล และกลไกขี้ข้าระบอบทักษิณ ทุกครั้งที่เห็นที่เจอ ซึ่งในวันแรกก็เริ่มเห็นกันบ้างแล้วในบางพื้นที่ อย่างไรก็ดีเรื่องแบบนี้อาจเป็นเรื่องใหม่ และยังไม่คุ้นชิน อาจมีเสียงวิจารณ์ในเชิงลบกลับมา มองได้หลายมุม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ถือว่าเป็นการ"พิสูจน์" หัวใจของผู้ชุมนุมที่ออกมากันในคราวนี้ว่าจะมีความแข็งแกร่งแน่วแน่ได้แค่ไหนเหมือนกัน เพราะฝ่ายรัฐบาล เครือข่ายทรราชย์ระบอบทักษิณ ที่กุมอำนาจรัฐ มีข้าราชการเป็นกลไกสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ฝ่ายปกครอง สื่อหลัก ทั้งทีวีหนังสือพิมพ์ ที่พยายามบิดเบือน สร้างกระแสให้เบี่ยงเบนไปอีกแบบ อย่างน้อยก็ผลิตคำพูดออกมา เช่น รัฐบาลถอยสุดซอย ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯ ก็ถูกคว่ำไปแล้ว และพรรคร่วมรัฐบาลก็ลงสัตยาบันแล้วว่าจะไม่หยิบยกขึ้นมาอีก การชุมนุมยืดเยื้อบั่นทอนทำลายเศรษฐกิจการลงทุน รวมไปถึงการข่มขู่ใช้มาตรการทางกฎหมายกับผู้ชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นแกนนำหรือใครก็ตาม
**แต่นาทีนี้เชื่อว่ามวลชนที่ออกมาคงไม่หวั่นไหว เพราะแทบทั้งหมดล้วนเป็นมวลชนที่ "ตื่นรู้" ตื่นรู้จนบางครั้งก้าวล้ำไปไกลมากกว่าแกนนำเสียอีก อาจมีบ้างที่ออกมาตามกระแส เป็นแฟชั่น ซึ่งก็ต้องยอมรับความจริง แต่เมื่อได้ออกมาร่วมแล้ว ได้รับข้อมูลและบรรยากาศร่วมกัน ได้รับรู้ถึงความเลวทราม การทุจริตทั้งโคตรเป็นอย่างไร คนพวกนี้พร้อมที่จะตกผลึกทางความคิดร่วมกันได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าแกนนำผู้ชุมนุมต้อง "ประกาศเป้าหมาย" ข้างหน้าให้ชัดเจนเท่านั้นว่า "จะเอาอย่างไร"ต่อไป
ซึ่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ประกาศแล้วว่าจะ "ยกระดับการชุมนุมอีกครั้ง" ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ที่ครบกำหนด "อารยะขัดขืน" ในขั้นแรก อีกทั้งยังเป็นวันศุกร์ที่คาดหมายว่าจะมี "คนทนไม่ไหว" กับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ จะออกมาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมากอีกครั้ง และคราวนี้จะเป็นการ "วัดใจ" ครั้งสำคัญว่าในที่สุดแล้วประชาชนคนไทยจะ "หยุดกลางทาง" แล้วหันหลังกลับบ้าน หรือว่าจะ "เดินหน้าไล่พวกโจร" ไปให้ไกลจนพ้นซอยไปเลย เพราะอย่างที่เข้าใจกันแล้วว่า "โจรมันยังไม่สำนึก" ที่ถอยกลับออกไปก็เพราะกลัวเจ้าทรัพย์รุมกระทืบตายต่างหาก แล้วที่ถอยไปนั้น ก็ถอยกลับไป "ซุ่มรอจังหวะปล้น"ใหม่ กันอีกครั้งเมื่อเจ้าทรัพย์เผลอ
ขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า รัฐบาลชุดนี้อยู่ไปก็ "ไม่มีประโยชน์" เพราะไร้ความสามารถ หมดความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมือง เพราะได้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนไปแล้วซ้ำซาก สิ่งที่คนในคณะรัฐบาลนี้กำลังมุ่งมั่นทำให้สำเร็จอยู่ตลอดเวลาก็คือ "ประโยชน์ของนายทาส" เท่านั้น ที่บรรดา "ขี้ข้า"ทั้งหลายต้องทำงานรับใช้ถวายหัว เพียงเพื่อหวังบำเหน็จรางวัลตอบแทนกลับมาเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
**คนพวกนี้ทรยศได้แม้แต่ "คนเสื้อแดง" ทั้งที่เคยมอบกายถวายชีวิตให้ แต่การผลักดัน ร่าง พระราชบัญญัติสุดซอยดังกล่าวมันก็เป็นคำตอบของคน "ทรยศ"ได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่ง "เหยียบศพ" พวกเดียวกัน
ดังนั้นการชุมนุมเพื่อสู้กับระบอบทักษิณ ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมานานนับสิบปีแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ยากจนเกินไปที่จะขับไล่ "ออกไปให้พ้นทั้งโคตร" ซึ่งก็ต้องใช้ความอดทนให้ข้อมูล ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวที่เกิดขึ้นตรงหน้า และที่สำคัญ ต้องมีความอดทน อดกลั้น ไม่วอกแวก และที่ผ่านมาสามารถสร้างกระแส จน "ตื่น" ขึ้นมามหาศาล
**นอกเหนือจากนี้ก็ยังเป็นการพิสูจน์แกนนำอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วยว่า จะพาเดินไปในทิศทางใด ชัดเจนหรือไม่ ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ก็จะเป็นวันดีเดย์สำคัญอีกครั้ง อย่าพลาดเป็นอันขาด !!
ถึงจะไม่ได้ประกาศให้ชัดออกมาว่าจะไปต่ออย่างไร แต่จากที่เห็นจากอาการของมวลชนที่ตะโกนออกมาว่า "ยิ่งลักษณ์ออกไป" แล้วก็พอเดาออกได้ไม่ยากแล้วว่า จะต้องมีการ "ยกระดับเป็นขับไล่" รัฐบาลในอีกไม่ช้านี้ เพราะอย่างน้อยการทิ้งตำแหน่ง ส.ส.ออกมาแบบนี้ ถือว่าเป็นการ "เดิมพัน" กันพอสมควรเหมือนกัน เพราะอย่างน้อยต่อไปนี้พวกเขาก็ไม่มีเอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครอง มีโอกาสเสี่ยงที่จะเจอ "รัฐตำรวจ" ยัดข้อหา"กบฎ-ยุยงก่อความวุ่นวาย" ได้ทุกเมื่อ ซึ่งตอนนี้ก็เริ่มขยับกันแล้ว ทั้งที่มาจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ในนามของศูนย์อำนวยการรักษาความสงบเรียบร้อย(ศอ.รส.) รวมไปถึง กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ของ ธาริต เพ็งดิษฐ์ ที่รอจังหวะออกหมายเรียกอยู่
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่งก็ยังสะท้อนให้เห็นว่าฝ่ายรัฐบาลมีความหวั่นไหวต่อมาตรการ "อารยะขัดขืน" ที่ได้ประกาศกันไปก่อนหน้านี้ และเริ่มปฏิบัติกันเป็นวันแรก นั่นคือเบื้องต้นตั้งแต่วันที่ 13-15 พฤศจิกายน โดยเริ่มต้นมี 3-4 ข้อ คือ นัดหยุดงานหรือ "เฉื่อยงาน" ชะลอการจ่ายภาษี ติดธงชาติเป็นสัญลักษณ์การต่อต้าน และการเป่านกหวีดไล่ คนในรัฐบาล และกลไกขี้ข้าระบอบทักษิณ ทุกครั้งที่เห็นที่เจอ ซึ่งในวันแรกก็เริ่มเห็นกันบ้างแล้วในบางพื้นที่ อย่างไรก็ดีเรื่องแบบนี้อาจเป็นเรื่องใหม่ และยังไม่คุ้นชิน อาจมีเสียงวิจารณ์ในเชิงลบกลับมา มองได้หลายมุม
อย่างไรก็ดี สิ่งที่ถือว่าเป็นการ"พิสูจน์" หัวใจของผู้ชุมนุมที่ออกมากันในคราวนี้ว่าจะมีความแข็งแกร่งแน่วแน่ได้แค่ไหนเหมือนกัน เพราะฝ่ายรัฐบาล เครือข่ายทรราชย์ระบอบทักษิณ ที่กุมอำนาจรัฐ มีข้าราชการเป็นกลไกสำคัญ ไม่ว่าจะเป็นตำรวจ ฝ่ายปกครอง สื่อหลัก ทั้งทีวีหนังสือพิมพ์ ที่พยายามบิดเบือน สร้างกระแสให้เบี่ยงเบนไปอีกแบบ อย่างน้อยก็ผลิตคำพูดออกมา เช่น รัฐบาลถอยสุดซอย ร่างพระราชบัญญัตินิรโทษฯ ก็ถูกคว่ำไปแล้ว และพรรคร่วมรัฐบาลก็ลงสัตยาบันแล้วว่าจะไม่หยิบยกขึ้นมาอีก การชุมนุมยืดเยื้อบั่นทอนทำลายเศรษฐกิจการลงทุน รวมไปถึงการข่มขู่ใช้มาตรการทางกฎหมายกับผู้ชุมนุม ไม่ว่าจะเป็นแกนนำหรือใครก็ตาม
**แต่นาทีนี้เชื่อว่ามวลชนที่ออกมาคงไม่หวั่นไหว เพราะแทบทั้งหมดล้วนเป็นมวลชนที่ "ตื่นรู้" ตื่นรู้จนบางครั้งก้าวล้ำไปไกลมากกว่าแกนนำเสียอีก อาจมีบ้างที่ออกมาตามกระแส เป็นแฟชั่น ซึ่งก็ต้องยอมรับความจริง แต่เมื่อได้ออกมาร่วมแล้ว ได้รับข้อมูลและบรรยากาศร่วมกัน ได้รับรู้ถึงความเลวทราม การทุจริตทั้งโคตรเป็นอย่างไร คนพวกนี้พร้อมที่จะตกผลึกทางความคิดร่วมกันได้ไม่ยาก เพียงแต่ว่าแกนนำผู้ชุมนุมต้อง "ประกาศเป้าหมาย" ข้างหน้าให้ชัดเจนเท่านั้นว่า "จะเอาอย่างไร"ต่อไป
ซึ่ง สุเทพ เทือกสุบรรณ ก็ประกาศแล้วว่าจะ "ยกระดับการชุมนุมอีกครั้ง" ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายน ที่ครบกำหนด "อารยะขัดขืน" ในขั้นแรก อีกทั้งยังเป็นวันศุกร์ที่คาดหมายว่าจะมี "คนทนไม่ไหว" กับรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ จะออกมาร่วมชุมนุมกันเป็นจำนวนมากอีกครั้ง และคราวนี้จะเป็นการ "วัดใจ" ครั้งสำคัญว่าในที่สุดแล้วประชาชนคนไทยจะ "หยุดกลางทาง" แล้วหันหลังกลับบ้าน หรือว่าจะ "เดินหน้าไล่พวกโจร" ไปให้ไกลจนพ้นซอยไปเลย เพราะอย่างที่เข้าใจกันแล้วว่า "โจรมันยังไม่สำนึก" ที่ถอยกลับออกไปก็เพราะกลัวเจ้าทรัพย์รุมกระทืบตายต่างหาก แล้วที่ถอยไปนั้น ก็ถอยกลับไป "ซุ่มรอจังหวะปล้น"ใหม่ กันอีกครั้งเมื่อเจ้าทรัพย์เผลอ
ขณะเดียวกันหากเปรียบเทียบให้เห็นภาพก็ต้องบอกว่า รัฐบาลชุดนี้อยู่ไปก็ "ไม่มีประโยชน์" เพราะไร้ความสามารถ หมดความชอบธรรมในการบริหารบ้านเมือง เพราะได้ทรยศต่อความไว้วางใจของประชาชนไปแล้วซ้ำซาก สิ่งที่คนในคณะรัฐบาลนี้กำลังมุ่งมั่นทำให้สำเร็จอยู่ตลอดเวลาก็คือ "ประโยชน์ของนายทาส" เท่านั้น ที่บรรดา "ขี้ข้า"ทั้งหลายต้องทำงานรับใช้ถวายหัว เพียงเพื่อหวังบำเหน็จรางวัลตอบแทนกลับมาเท่านั้น ไม่ได้ทำเพื่อประโยชน์ของประชาชนส่วนใหญ่
**คนพวกนี้ทรยศได้แม้แต่ "คนเสื้อแดง" ทั้งที่เคยมอบกายถวายชีวิตให้ แต่การผลักดัน ร่าง พระราชบัญญัติสุดซอยดังกล่าวมันก็เป็นคำตอบของคน "ทรยศ"ได้อย่างชัดเจนว่า พวกเขาทำได้ทุกอย่าง แม้กระทั่ง "เหยียบศพ" พวกเดียวกัน
ดังนั้นการชุมนุมเพื่อสู้กับระบอบทักษิณ ที่ฝังรากลึกอยู่ในสังคมไทยมานานนับสิบปีแล้ว ย่อมไม่ใช่เรื่องง่าย แต่มันก็ไม่ยากจนเกินไปที่จะขับไล่ "ออกไปให้พ้นทั้งโคตร" ซึ่งก็ต้องใช้ความอดทนให้ข้อมูล ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวที่เกิดขึ้นตรงหน้า และที่สำคัญ ต้องมีความอดทน อดกลั้น ไม่วอกแวก และที่ผ่านมาสามารถสร้างกระแส จน "ตื่น" ขึ้นมามหาศาล
**นอกเหนือจากนี้ก็ยังเป็นการพิสูจน์แกนนำอย่าง สุเทพ เทือกสุบรรณ ด้วยว่า จะพาเดินไปในทิศทางใด ชัดเจนหรือไม่ ในวันศุกร์ที่ 15 พฤศจิกายนนี้ ก็จะเป็นวันดีเดย์สำคัญอีกครั้ง อย่าพลาดเป็นอันขาด !!