**ต่อลมหายใจให้ “ม็อบราชดำเนิน”ไปได้อีกหน่อย หลังจาก “สุเทพ เทือกสุบรรณ”พร้อมพรรคพวกรวม 9 คน ประกาศลาออกจากตำแหน่ง ส.ส.เพื่อออกมานำการชุมนุมอย่างเต็มตัว
หลังจากที่ “นายใหญ่-รัฐบาล-พรรคเพื่อไทย”ใส่เกียร์ถอยหลังสุดซอย ยอมถอย-ยอมถอน-ยอมคว่ำ กฎหมายนิรโทษกรรมแทบทั้งหมด แม้ “กฎหมายล้างผิดโจร”จะยังคงค้างอยู่ในสภาอีก 180 วัน แต่ก็ลงสัตยาบรรณกันแล้วว่า จะไม่หยิบมาพิจารณาอีก
**ปลดชนวนลดกระแสต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้ไปมากพอสมควร!!
ภาระหนักจึงตกอยู่ที่ “กำนันสุเทพ”ที่ต้องแก้เกมบลั๊ฟกลับด้วยการประกาศอารยะขัดขืน สั่งหยุดงาน-ชะลอจ่ายภาษี-ชักธงชาติ-เป่านกหวีดใส่บริวาร “นายใหญ่” แม้ในทางสังคมออนไลน์จะขานรับมาตรการที่ว่านี้อย่างเกลียวกราว แต่ต้องยอมรับว่าการจะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้นค่อนข้างยาก ซึ่งอาจทำให้ “ม็อบ ปชป.” เดินเข้าสู่ทางตันหมดมุกที่จะปลุก “มวลชน” ให้เดินเคียงข้างต่อไป
หลังจากนี้ “สุเทพ”และชาวคณะ หากต้องการให้ “ม็อบ” มีพลังอาจจะต้องหามุกใหม่มาขับเคลื่อนไหว “มวลชน” กระตุ้นสถานการณ์ให้คึกคักอีกครั้งหนึ่ง
ปัญหาของ “ม็อบราชดำเนิน”ก็เพราะมวลชนส่วนหนึ่งยังมาในรูปแบบจัดตั้ง รวมทั้ง “พลังบริสุทธิ์” ที่มาเข้าร่วมสร้างความคึกคักในช่วงเย็นหลังเลิกงาน ก็มาในรูปแบบ “มวลชนชั่วคราว” มาเย็นกลับค่ำ ไม่ค่อยมีขาประจำเฝ้าติดขอบเวทีแบบ 24 ชั่วโมง
จุดนี้เองถือเป็น “จุดอ่อน” ที่จะทำให้พลังของเวที ปชป.จะหดหายไปในอนาคต หากไม่มีปัจจัยเร่งเข้ามากระตุ้นอย่างเป็นจังหวะจะโคน เพราะแม้ 9 แกนนำจะลาออกจาก ส.ส.แล้ว แต่ภาพพรรคการเมืองที่ติดหน้าผากอยู่ก็ยากจะลบ ทำให้ “ศรัทธา” ต่อตัวแกนนำยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่
**เมื่อเลือกแล้วที่จะเดินหน้าต่อไป ก็ต้องหาทางประคองพลังมวลชนเอาไว้ให้ได้
มิเช่นนั้นหากวันหนึ่ง “ม็อบ” ฝ่อตัวหดหายหมดกำลังไป ก็เข้าทางรัฐบาลที่คอยตั้งการ์ดถอยร่นยื้อเวลาไปเรื่อยๆ
หันมาดูกันที่ “เครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” หรือ คปท. ที่ยึดหัวหาดจ่อทำเนียบรัฐบาลมากที่สุด แม้จะไม่หวือหวาเรตติ้งกระฉูดเหมือนเวทีราชดำเนิน แต่ก็มองข้ามไม่ได้ เพราะฝ่ายความมั่นคงหรือคนในรัฐบาลเองก็ประเมินว่า การขับเคลื่อนของ คปท.เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของรัฐบาลมากกว่ากลุ่มอื่น
ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีความอึด-อดทนเป็นทุน ชนิดค่ำไหนนอนนั้นลงหลักปักฐานในพื้นที่ชุมนุมแบบไม่ไปไหน บวกกับบรรดา “กุนซือ” หลังเวทีที่ขึ้นชื่อว่า “มืออาชีพ” แทบทั้งนั้น โดยเฉพาะในส่วนของอดีตแกนนำ-แนวร่วม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่ทำให้การกำหนดยุทธศาสตร์แต่ละครั้งสะท้านสะเทือนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มอื่นในยามนี้
โดยเฉพาะการย้ายสถานที่การชุมนุมจากแยกอุรุพงษ์ มาตั้งอยู่เชิงสะพานมัฆวานฯ ก็เหมือนส่งสัญญาณพร้อมเผชิญหน้ากับรัฐบาลได้ทุกเมื่อทุกเวลา
อยู่ที่ว่า “รัฐบาล” จะเผลอเปิดช่องช่วงไหน
จากข้อมูลของ “หน่วยงานความมั่นคง” มองว่า คปท.เป็น “ลำหักลำโค่น” ของประชาสังคมที่รุมประชาทัณฑ์รัฐบาลอยู่ตอนนี้ เพราะประเมินแล้วเชื่อว่า หากบ่มสถานการณ์ได้ที่เมื่อใด ชาว คปท.พร้อมจะเอาตัวเข้าแลก เพื่อเร่งสถานการณ์ให้เกิด “จุดเปลี่ยน” ขึ้นได้
**ถือเป็น “ธนูดอกสำคัญ” ในขบวนการโค่นระบอบทักษิณก็ว่าได้
หลังจากที่ “นายใหญ่-รัฐบาล-พรรคเพื่อไทย”ใส่เกียร์ถอยหลังสุดซอย ยอมถอย-ยอมถอน-ยอมคว่ำ กฎหมายนิรโทษกรรมแทบทั้งหมด แม้ “กฎหมายล้างผิดโจร”จะยังคงค้างอยู่ในสภาอีก 180 วัน แต่ก็ลงสัตยาบรรณกันแล้วว่า จะไม่หยิบมาพิจารณาอีก
**ปลดชนวนลดกระแสต่อต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้ไปมากพอสมควร!!
ภาระหนักจึงตกอยู่ที่ “กำนันสุเทพ”ที่ต้องแก้เกมบลั๊ฟกลับด้วยการประกาศอารยะขัดขืน สั่งหยุดงาน-ชะลอจ่ายภาษี-ชักธงชาติ-เป่านกหวีดใส่บริวาร “นายใหญ่” แม้ในทางสังคมออนไลน์จะขานรับมาตรการที่ว่านี้อย่างเกลียวกราว แต่ต้องยอมรับว่าการจะเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้นค่อนข้างยาก ซึ่งอาจทำให้ “ม็อบ ปชป.” เดินเข้าสู่ทางตันหมดมุกที่จะปลุก “มวลชน” ให้เดินเคียงข้างต่อไป
หลังจากนี้ “สุเทพ”และชาวคณะ หากต้องการให้ “ม็อบ” มีพลังอาจจะต้องหามุกใหม่มาขับเคลื่อนไหว “มวลชน” กระตุ้นสถานการณ์ให้คึกคักอีกครั้งหนึ่ง
ปัญหาของ “ม็อบราชดำเนิน”ก็เพราะมวลชนส่วนหนึ่งยังมาในรูปแบบจัดตั้ง รวมทั้ง “พลังบริสุทธิ์” ที่มาเข้าร่วมสร้างความคึกคักในช่วงเย็นหลังเลิกงาน ก็มาในรูปแบบ “มวลชนชั่วคราว” มาเย็นกลับค่ำ ไม่ค่อยมีขาประจำเฝ้าติดขอบเวทีแบบ 24 ชั่วโมง
จุดนี้เองถือเป็น “จุดอ่อน” ที่จะทำให้พลังของเวที ปชป.จะหดหายไปในอนาคต หากไม่มีปัจจัยเร่งเข้ามากระตุ้นอย่างเป็นจังหวะจะโคน เพราะแม้ 9 แกนนำจะลาออกจาก ส.ส.แล้ว แต่ภาพพรรคการเมืองที่ติดหน้าผากอยู่ก็ยากจะลบ ทำให้ “ศรัทธา” ต่อตัวแกนนำยังมีเครื่องหมายคำถามอยู่
**เมื่อเลือกแล้วที่จะเดินหน้าต่อไป ก็ต้องหาทางประคองพลังมวลชนเอาไว้ให้ได้
มิเช่นนั้นหากวันหนึ่ง “ม็อบ” ฝ่อตัวหดหายหมดกำลังไป ก็เข้าทางรัฐบาลที่คอยตั้งการ์ดถอยร่นยื้อเวลาไปเรื่อยๆ
หันมาดูกันที่ “เครือข่ายนักศึกษาและประชาชนปฏิรูปประเทศไทย” หรือ คปท. ที่ยึดหัวหาดจ่อทำเนียบรัฐบาลมากที่สุด แม้จะไม่หวือหวาเรตติ้งกระฉูดเหมือนเวทีราชดำเนิน แต่ก็มองข้ามไม่ได้ เพราะฝ่ายความมั่นคงหรือคนในรัฐบาลเองก็ประเมินว่า การขับเคลื่อนของ คปท.เป็นจุดชี้เป็นชี้ตายของรัฐบาลมากกว่ากลุ่มอื่น
ด้วยพลังของคนรุ่นใหม่ ซึ่งมีความอึด-อดทนเป็นทุน ชนิดค่ำไหนนอนนั้นลงหลักปักฐานในพื้นที่ชุมนุมแบบไม่ไปไหน บวกกับบรรดา “กุนซือ” หลังเวทีที่ขึ้นชื่อว่า “มืออาชีพ” แทบทั้งนั้น โดยเฉพาะในส่วนของอดีตแกนนำ-แนวร่วม “พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย” ที่ทำให้การกำหนดยุทธศาสตร์แต่ละครั้งสะท้านสะเทือนรัฐบาลมากกว่ากลุ่มอื่นในยามนี้
โดยเฉพาะการย้ายสถานที่การชุมนุมจากแยกอุรุพงษ์ มาตั้งอยู่เชิงสะพานมัฆวานฯ ก็เหมือนส่งสัญญาณพร้อมเผชิญหน้ากับรัฐบาลได้ทุกเมื่อทุกเวลา
อยู่ที่ว่า “รัฐบาล” จะเผลอเปิดช่องช่วงไหน
จากข้อมูลของ “หน่วยงานความมั่นคง” มองว่า คปท.เป็น “ลำหักลำโค่น” ของประชาสังคมที่รุมประชาทัณฑ์รัฐบาลอยู่ตอนนี้ เพราะประเมินแล้วเชื่อว่า หากบ่มสถานการณ์ได้ที่เมื่อใด ชาว คปท.พร้อมจะเอาตัวเข้าแลก เพื่อเร่งสถานการณ์ให้เกิด “จุดเปลี่ยน” ขึ้นได้
**ถือเป็น “ธนูดอกสำคัญ” ในขบวนการโค่นระบอบทักษิณก็ว่าได้