วัยรุ่นเซ็ง! สรรพากรเล็งเก็บภาษีโหลดแอปบนมือถือหลังพบแนวโน้มการเติบโตและมูลค่าทางการตลาดที่ค่อนข้างสูง เตรียมหารือกับนานาชาติหารูปแบบการจัดเก็บที่เหมาะสมกับประเทศไทย
นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดี กรมสรรพากร เปิดเผยว่า ได้วางยุทธศาสตร์นวัตกรรมการให้บริการที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน โดยได้มอบหมายให้สำนักแผนภาษีไปศึกษาถึงแนวทางการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวกับธุรกิจการโหลดแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ เพราะเห็นว่า เป็นธุรกิจที่มีมูลค่าการตลาดสูง และมีแนวโน้มที่จะสร้างมูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นได้อีกมาก ซึ่งจะเป็นหนึ่งในช่องทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เพราะในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 กรมจัดเก็บรายได้อย่างศุลกากรและสรรพสามิตจะมีบทบาทน้อยลง กรมสรรพากรต้องเพิ่มบทบาทและเป็นกรมหลักในอนาคตข้างหน้า
โดยแผนการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจการให้บริการแอปพลิเคชัน ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งมีแนวโน้มของรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีมูลสูงมาก แต่ยังไม่ได้มีการแสดงรายการเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยขณะนี้กำลังดูว่า ธุรกิจดังกล่าว มีการเสียภาษีในรูปแบบใดได้บ้าง เพราะผู้ให้บริการส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ การเก็บภาษีจะมีความยาก โดยจะต้องหารือกันในเวทีสัมมนาในต่างประเทศ ซึ่งไทยจะยกขึ้นเป็นประเด็นเพื่อหารือด้วย เพราะในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการจัดเก็บภาษีธุรกิจดังกล่าวแล้ว แต่ก็ต้องหารูปแบบที่เหมาะสมกับไทย
“ผมเองเข้ามารับตำแหน่งในช่วงที่กรมสรรพากรประสบปัญหาเรื่องการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการส่งออกเท็จ จึงต้องการใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ในการการพัฒนาองค์กรให้มีภาพลักษณ์ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจในการเสียภาษี ปรับปรุงให้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีดีมากยิ่งขึ้น โดยการปรับปรุงกฎหมายภาษีอากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่และการเข้าสู่เออีซีก็ถือเป็นโจทก์สำคัญที่จะเร่งรัดให้เกิดขึ้น” นายสุทธิชัยกล่าว
โดยขณะนี้กรมสรรพากรเองกำลังทำวิจัยว่า การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% มาเป็น 23% และจะเหลือ 20% นั้นผลตอบรับเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการตื่นตัวกับรายได้ที่เปลี่ยนไปหรือไม่ มีการแสดงรายได้ตามข้อเท็จจริงหรือยังมีการหลบเลี่ยงรายได้อยู่ ซึ่งในส่วนของคนที่หลบ แล้วไม่แสดงรายได้ที่แท้จริง จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข็มงวดกับกลุ่มธุรกิจเหล่านั้น ซึ่งบางส่วน ที่ต้องไม่อาศัยข้อมูลทางการเงินจากธนาคาร แต่เป็นข้อมูลโดยอ้อมที่กรมสรรพากรมีอยู่แล้ว สามารถดำเนินการได้เลย
“ขณะนี้เราไม่ทราบว่า คนที่ยื่นแสดงรายได้กี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้แท้จริง ถ้าเราตั้งเป้าจะแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ พัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการชำระเงิน และเป็นประเทศที่มีคอรัปชั่นน้อย เพราะมีทุกคนแสดงรายได้ การทำธุรกิจที่ชัดเจนหมด ไม่มีใต้โต๊ะ ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกัน แต่ปัจจุบันสำคัญ เราจะเห็นได้ว่า ธนาคารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของลูกค้า เพราะกลัวเรื่องผลประโยชน์ของธนาคารที่จะสูญเสียลูกค้า แต่ที่สหรัฐอเมริกามีกฎหมายบังคับที่ เราจะต้องส่งข้อมูลทางการเงินของคนอเมริกันที่ฝากในไทย ให้อเมริกา เพื่อติดตามการจัดเก็บภาษี แต่ในทางกลับกันข้อมูลในประเทศที่เป็นประโยชน์จากการจัดเก็บภาษีเปิดเผยไม่ได้ ยกเว้นว่า มีหมายเรียก ถ้าเราไม่ช่วยกัน เราจะทำประเทศให้โปร่งใสยาก” นายสุทธิชัยกล่าว.
นายสุทธิชัย สังขมณี อธิบดี กรมสรรพากร เปิดเผยว่า ได้วางยุทธศาสตร์นวัตกรรมการให้บริการที่ทันต่อการเปลี่ยนแปลงของโลกปัจจุบัน โดยได้มอบหมายให้สำนักแผนภาษีไปศึกษาถึงแนวทางการจัดเก็บภาษีที่เกี่ยวกับธุรกิจการโหลดแอปพลิเคชันบนโทรศัพท์มือถือ เพราะเห็นว่า เป็นธุรกิจที่มีมูลค่าการตลาดสูง และมีแนวโน้มที่จะสร้างมูลค่าการตลาดเพิ่มขึ้นได้อีกมาก ซึ่งจะเป็นหนึ่งในช่องทางในการเพิ่มประสิทธิภาพการจัดเก็บรายได้ เพราะในการเข้าสู่ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (เออีซี) ในปี 2558 กรมจัดเก็บรายได้อย่างศุลกากรและสรรพสามิตจะมีบทบาทน้อยลง กรมสรรพากรต้องเพิ่มบทบาทและเป็นกรมหลักในอนาคตข้างหน้า
โดยแผนการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจการให้บริการแอปพลิเคชัน ถือเป็นหนึ่งในแนวทางการจัดเก็บภาษีจากธุรกิจอี-คอมเมิร์ซ ซึ่งมีแนวโน้มของรายได้ที่จะเพิ่มขึ้น โดยเฉพาะธุรกิจซื้อขายผ่านระบบอินเตอร์เน็ต ซึ่งมีมูลสูงมาก แต่ยังไม่ได้มีการแสดงรายการเสียภาษีอย่างถูกต้อง โดยขณะนี้กำลังดูว่า ธุรกิจดังกล่าว มีการเสียภาษีในรูปแบบใดได้บ้าง เพราะผู้ให้บริการส่วนใหญ่อยู่ต่างประเทศ การเก็บภาษีจะมีความยาก โดยจะต้องหารือกันในเวทีสัมมนาในต่างประเทศ ซึ่งไทยจะยกขึ้นเป็นประเด็นเพื่อหารือด้วย เพราะในสหรัฐอเมริกาเองก็มีการจัดเก็บภาษีธุรกิจดังกล่าวแล้ว แต่ก็ต้องหารูปแบบที่เหมาะสมกับไทย
“ผมเองเข้ามารับตำแหน่งในช่วงที่กรมสรรพากรประสบปัญหาเรื่องการขอคืนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) จากการส่งออกเท็จ จึงต้องการใช้วิกฤติให้เป็นโอกาส ในการการพัฒนาองค์กรให้มีภาพลักษณ์ที่ก่อให้เกิดความมั่นใจในการเสียภาษี ปรับปรุงให้ประสิทธิภาพในการจัดเก็บภาษีดีมากยิ่งขึ้น โดยการปรับปรุงกฎหมายภาษีอากรเพื่อรองรับการเปลี่ยนแปลงของโลกสมัยใหม่และการเข้าสู่เออีซีก็ถือเป็นโจทก์สำคัญที่จะเร่งรัดให้เกิดขึ้น” นายสุทธิชัยกล่าว
โดยขณะนี้กรมสรรพากรเองกำลังทำวิจัยว่า การปรับลดอัตราภาษีเงินได้นิติบุคคลจาก 30% มาเป็น 23% และจะเหลือ 20% นั้นผลตอบรับเป็นอย่างไร ผู้ประกอบการตื่นตัวกับรายได้ที่เปลี่ยนไปหรือไม่ มีการแสดงรายได้ตามข้อเท็จจริงหรือยังมีการหลบเลี่ยงรายได้อยู่ ซึ่งในส่วนของคนที่หลบ แล้วไม่แสดงรายได้ที่แท้จริง จะใช้มาตรการทางกฎหมายอย่างเข็มงวดกับกลุ่มธุรกิจเหล่านั้น ซึ่งบางส่วน ที่ต้องไม่อาศัยข้อมูลทางการเงินจากธนาคาร แต่เป็นข้อมูลโดยอ้อมที่กรมสรรพากรมีอยู่แล้ว สามารถดำเนินการได้เลย
“ขณะนี้เราไม่ทราบว่า คนที่ยื่นแสดงรายได้กี่เปอร์เซ็นต์ของรายได้แท้จริง ถ้าเราตั้งเป้าจะแข่งขันกับประเทศสิงคโปร์ พัฒนาให้ไทยเป็นศูนย์กลางทางการเงินและการชำระเงิน และเป็นประเทศที่มีคอรัปชั่นน้อย เพราะมีทุกคนแสดงรายได้ การทำธุรกิจที่ชัดเจนหมด ไม่มีใต้โต๊ะ ซึ่งทุกคนต้องร่วมมือกัน แต่ปัจจุบันสำคัญ เราจะเห็นได้ว่า ธนาคารไม่ยอมเปิดเผยข้อมูลทางการเงินของลูกค้า เพราะกลัวเรื่องผลประโยชน์ของธนาคารที่จะสูญเสียลูกค้า แต่ที่สหรัฐอเมริกามีกฎหมายบังคับที่ เราจะต้องส่งข้อมูลทางการเงินของคนอเมริกันที่ฝากในไทย ให้อเมริกา เพื่อติดตามการจัดเก็บภาษี แต่ในทางกลับกันข้อมูลในประเทศที่เป็นประโยชน์จากการจัดเก็บภาษีเปิดเผยไม่ได้ ยกเว้นว่า มีหมายเรียก ถ้าเราไม่ช่วยกัน เราจะทำประเทศให้โปร่งใสยาก” นายสุทธิชัยกล่าว.