xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

นิรโทษกรรมสุดซอย 'แม้ว'ต้ม'ควายแดง' “เงินกูอยู่ไหน ?”

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-และแล้วก็เป็นไปตามคาด.... สุดท้ายร่าง 'พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับวรชัย เหมะ' ซึ่งระบุชัดว่าจะนิรโทษกรรมเฉพาะประชาชนที่ตกเป็นเหยื่อ ไม่เกี่ยวข้องกับแกนนำที่เผาบ้านเผาเมือง และนักการเมืองที่หนีคดีคอร์รัปชั่นอย่าง 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' อย่างเด็ดขาด ก็กลายร่างเป็น 'พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย' เพื่อพา 'นายใหญ่' กลับบ้าน

โดยงานนี้หลังจากที่สามารถผลักดันร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ของนายวรชัย เข้าสู่การพิจารณาของสภาได้สำเร็จ โดยใช้มุขเดิมๆคือเอาประชาชนมาบังหน้า อ้างว่าเป็นการออกกฎหมายเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่มีเจตนาบริสุทธิ์ในการเคลื่อนไหวทางการเมือง พรรคเพื่อไทยก็ส่งไม้ต่อให้คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมแก่ผู้ซึ่งกระทำความผิดเนื่องจากการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมืองของประชาชน พ.ศ. ... เป็นคนรับไม้ต่อ โดยมีนักการเมืองรุ่นลายคราม ฉายา 'หัวเขียง' ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ ในฐานะรองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ รับหน้าที่เล่นแร่แปลธาตุให้กลายเป็นกฎหมายฟอกผิดแก่นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่น โดย เสนอปรับแก้ข้อความในมาตรา 3 ดังนี้

“...ให้บรรดาการกระทำทั้งหลายทั้งสิ้นของบุคคลหรือประชาชนที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทางการเมือง การแสดงออกทางการเมือง หรือความขัดแย้งทางการเมือง หรือถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 รวมทั้งองค์กรหรือหน่วยงานที่ดำเนินการในเรื่องดังกล่าวสืบเนื่องต่อมาที่เกิดขึ้นระหว่าง พ.ศ. 2547 ถึงวันที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2556 ไม่ว่าผู้กระทำจะได้กระทำในฐานะตัวการผู้สนับสนุน ผู้ใช้ให้กระทำ หรือผู้ถูกใช้ หากการกระทำนั้นผิดต่อกฎหมายก็ให้กระทำพ้นจากความผิดและความรับผิดโดยสิ้นเชิง...”

แน่นอนว่า บุคคลที่จะได้รับโยชน์จาก พ.ร.บ.ฉบับนี้ จะเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก 'นช.ทักษิณ ชินวัตร' เนื่องจากข้อความที่ระบุว่า “การกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิด” โดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 นั้นย่อมหมายถึง คตส.หรือ “คณะกรรมการตรวจสอบการกระทำที่ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐ” ที่ถูกตั้งขึ้นมาเพื่อตรวจสอบปัญหาการทุจริตคอร์รัปชั่นของ พ.ต.ท.ทักษิณ ในช่วงที่เขายังดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีผู้อื้อฉาว

ซึ่งทันทีที่กฎหมายฉบับนี้มีผลบังคับใช้ นช.ทักษิณก็ไม่ต้องติดคุกตามคำพิพากษาของศาล อีกทั้งยังต้องคืนเงิน 4.6 หมื่นล้านที่ นช.ทักษิณคอร์รัปชั่นไปและถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมืองพิพากษาให้ยึดตกแก่แผ่นดิน แต่ที่เจ็บแสบไปกว่านั้นคือ นช.ทักษิณ ยังสมารถเรียกดอกเบี้ยตลอดระยะเวลา 3 ปีที่ถูกยึดทรัพย์ อีกประมาณ 4,000 ล้านบาท ซึ่งบวกลบคูณหารแล้วประเทศไทยต้องคืนเงินให้รวมทั้งหมดราว 50,000 ล้านบาทเลยทีเดียว

แปลกันอย่างตรงไปตรงมาก็คือการแก้ไขกฎหมายแบบลากโยงยาวขนาดนี้ไป ไม่มีเหตุผลอื่นใด นอกจากพา 'นายใหญ่' กลับบ้าน และคืนเงินที่ได้จากการทุจริตให้นายใหญ่เท่านั้น เพราะหากพิจารณาแล้ว หากการนิรโทษกรรมนี้มุ่งเน้นเพื่อปรองดองจริงๆ แล้ว ในความขัดแย้งนับตั้งแต่ปี 2549 เป็นต้นมานั้น ก็ไม่มี “ใครอีก” ที่ได้รับการกล่าวหาจากองค์กรที่จัดตั้งขึ้นตามคำสั่ง คมช. ไม่ว่าจะประชาชนเสื้อเหลือง เสื้อแดง กองทัพ หรือฝ่ายไหน นอกเสียจาก นช.ทักษิณและนักการเมืองในขั้วดังกล่าว

นายแก้วสรร อติโพธิ นักวิชาการ และอดีตกรรมการใน คตส. แสดงความเห็นต่อการออกกฎหมายแบบวิปริตพิสดารครั้งนี้ว่า

“มันชัดเจนว่าองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหาร 19 กันยายน 2549 ก็คือ คตส. และเป็นที่รู้กันดีว่าบุคคลที่ได้รับผลกระทบจากการตรวจสอบของ คตส.ก็คือ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อีกทั้งคดีของ พ.ต.ท.ทักษิณ นั้นไม่เกี่ยวข้องใดๆกับการเคลื่อนไหวทางการเมือง แต่ล้วนเป็นคดีที่เกี่ยวข้องกับการทุจริตคอรัปชั่นทั้งสิ้น ซึ่งแน่นอนว่า 'ความผิดที่เกิดจากการคอร์รัปชั่น' ไม่ตรงกับหลักการและเหตุผลของการนำเสนอร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ต่อสภาฯ ซึ่งหากร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ที่รัฐบาลเสนอผ่านขึ้นมาจะเท่ากับว่าทุกคดีที่ คตส.เคยตัดสิน หรือกล่าวหาว่าผู้ใดว่ากระทำผิดกฎหมาย จะพ้นผิดทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็นคดีที่กำลังดำเนินคดี คดีที่ดำเนินไปแล้ว คดีที่ตัดสินไปแล้วว่ามีความผิด ทุกอย่างจะถูกยกเลิกหมด ไม่ว่าจะเป็นคดีที่ดินรัชดา คดีรถดับเพลิง ทุกอย่างจะหายไปหมดเหมือนกับเคยมีเหตุการณ์นี้ ไม่เคยมีอะไรเกิดขึ้น ผมว่าการออกกฎหมายแบบนี้มีแต่จะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น และเชื่อว่าหจะทำให้มีมวลชนออกมาร่วมชุมนุมกับเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศ (คปท.) ที่ชุมนุมอยู่แยกอุรุพงษ์มากยิ่งขึ้น”

ล้างผิดสุดซอย ฟอกนช.ทักษิณหลุดทุกคดี

สำหรับคดีความที่ 'คตส.' ได้ดำเนินการที่ผ่านมามีทั้งสิ้น 13 คดี และแบ่งอกเป็น 3 กลุ่มด้วยกัน ได้แก่

กลุ่มเเรก คือ คดีที่ศาลตัดสินแล้ว 5 คดี ได้แก่

1.คดีทุจริตจัดซื้อที่ดินรัชดาภิเษก มีจำเลยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ และ คุณหญิงพจมาน ชินวัตร โดยศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ได้พิพากษาให้จำคุก พ.ต.ท.ทักษิณ เป็นเวลา 2 ปี ฐานกระทำผิดกฎหมายของคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) มาตรา 100 โดยออกหมายจับ พ.ต.ท.ทักษิณไว้ และได้ให้ยกฟ้องคุณหญิงพจมาน

2.คดีเลี่ยงภาษีการซื้อขายหุ้นบริษัท ชิน คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) หรือชินคอร์ป มูลค่า 738 ล้านบาท มีจำเลยคือ คุณหญิงพจมาน นายบรรณพจน์ ดามาพงศ์ และนางกาญจนาภา หงส์เหิน เลขานุการส่วนตัวคุณหญิงพจมาน ศาลอาญาได้พิพากษาให้จำคุกคุณหญิงพจมาน และนายบรรณพจน์ คนละ 3 ปี ส่วนนางกาญจนาภา จำคุก 2 ปี แต่ภายหลังศาลอุทธรณ์ได้กลับคำตัดสินของศาลอาญา สั่งยกฟ้อง คุณหญิงพจมานและนางกาญจนาภา ส่วนนายบรรณพจน์ให้รอลงอาญาเป็นเวลา 1 ปี ก่อนที่อัยการสูงสุดจะตัดสินใจ "ไม่ฎีกา"

3.คดีทุจริตจัดซื้อต้นกล้ายางพารา 90 ล้านต้น มีจำเลยคือ นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ อดีตรองนายกรัฐมนตรี นายเนวิน ชิดชอบ อดีต รมว.เกษตรและสหกรณ์ กับพวก รวม 44 คน ต่อมาศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษา ให้ยกฟ้องจำเลยทั้ง 44 คน เนื่องจากพบว่าไม่ได้กระทำความผิด

4.คดีทุจริตโครงการออกสลากเลขท้ายพิเศษ 2 ตัว 3 ตัว หรือหวยบนดิน คตส.ยื่นฟ้อง ครม.ทักษิณ ชินวัตร ทั้งคณะ และผู้บริหารสำนักงานสลากกินแบ่งรัฐบาล ร่วมกันเป็นจำเลย ซึ่งศาลฎีกาตัดสินให้จำคุกนายวราเทพ รัตนากร อดีต รมช.คลัง 2 ปี นายสมใจนึก เองตระกูล อดีตปลัดกระทรวงการคลัง และประธานคณะบอร์ดกองสลาก 2 ปี นายชัยวัฒน์ พสกภักดี อดีต ผอ.กองสลาก 2 ปี แต่เนื่องจากจำเลยทั้ง 3 ไม่เคยทำผิดมาก่อน ให้รอลงอาญาไว้ 2 ปี ทั้งนี้ พ.ต.ท.ทักษิณไม่ได้เดินทางมารับฟังคำพิพากษา จึงมีการออกหมายจับ

5.คดีร่ำรวยผิดปกติ ให้ทรัพย์สิน 76,621 ล้านบาท ของ พ.ต.ท.ทักษิณตกเป็นของแผ่นดิน ซึ่งศาลฎีกามีคำสั่งให้ยึดเฉพาะเงินค่าขายหุ้นส่วนที่เพิ่มขึ้นหลัง พ.ต.ท.ทักษิณ ดำรงตำแหน่งนายกฯ และเงินปันผล จำนวน 46,373 ล้านบาท ให้ตกเป็นของแผ่นดิน

กลุ่มที่สอง คือ คดีที่อยู่ในชั้นศาล 4 คดี คือ

1. คดีแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ อันสืบเนื่องจากคดีร่ำรวยผิดปกติ ทำให้ ป.ป.ช.ยื่นฟ้องต่อศาลฎีกา ว่า พ.ต.ท.ทักษิณแจ้งบัญชีทรัพย์สินและหนี้สินอันเป็นเท็จ เนื่องจากไม่ได้แจ้งการถือครองหุ้นบริษัทชินคอร์ปไว้ ถึง 6 ครั้ง ซึ่งศาลฎีกาได้ออกหมายจับไว้

2.คดีทุจริตปล่อยเงินกู้ดอกเบี้ยต่ำของธนาคารเพื่อการส่งออกและนำเข้าแห่งประเทศไทยหรือเอ็กซิมแบงก์ ให้กับรัฐบาลพม่า มูลค่า 4,000 ล้านบาท ที่มีจำเลยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งศาลฎีกาได้ออกหมายจับไว้

3.คดีทุจริตออกพระราชกำหนดแปลงค่าภาษีสัมปทานกิจการโทรคมนาคมเป็นภาษีสรรพสามิต เพื่อเอื้อประโยชน์ให้ธุรกิจบริษัทชินคอร์ป ที่มีจำเลยคือ พ.ต.ท.ทักษิณ ซึ่งศาลฎีกาได้ออกหมายจับไว้ 4.คดีทุจริตจัดซื้อรถ-เรือดับเพลิงและอุปกรณ์บรรเทาสาธารณภัยของ กทม. มูลค่า 6,800 ล้านบาท ที่มีนายโภคิน พลกุล อดีต รมว.มหาดไทย นายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.พาณิชย์ นายสมัคร สุนทรเวช อดีตผู้ว่าฯกทม. นายอภิรักษ์ โกษะโยธิน อดีตผู้ว่าฯกทม.กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา ปัจจุบันอยู่ระหว่างการตรวจสอบบัญชีพยาน โดยจำหน่ายคดีในส่วนนายสมัครที่เสียชีวิตไปแล้ว

กลุ่มที่ 3 คือ คดีที่อยู่ระหว่างการไต่สวน โดย ป.ป.ช.หรืออัยการสูงสุด จำนวน 4 คดี คือ

1.คดีทุจริตจัดซื้อจัดจ้างโครงการบ้านเอื้ออาทร ที่มีจำเลย คือนายวัฒนา เมืองสุข อดีต รมว.การพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์กับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา

2.คดีจัดซื้อเครื่องตรวจจับวัตถุระเบิดซีทีเอ็กซ์ 9000 และระบบสายพานลำเลียงกระเป๋าในสนามบินสุวรรณภูมิ ซึ่งมี พ.ต.ท.ทักษิณ นายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคมกับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา

3.คดีทุจริตท่อร้อยสายไฟฟ้าในสนามบินสุวรรณภูมิ ที่มีนายสุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีต รมว.คมนาคมกับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา และ4.คดีทุจริตธนาคารกรุงไทยปล่อยกู้ บริษัท กฤษดามหานคร ที่มี พ.ต.ท.ทักษิณ และนายพานทองแท้ ชินวัตร บุตรชายของ พ.ต.ท.ทักษิณกับพวก เป็นผู้ถูกกล่าวหา

นอกจากนั้นอีกคนหนึ่งที่น่าจะได้รับประโยชน์และพ้นผิดจากคดีคอร์รัปชั่น อันเนื่องมาจากกฎหมายนิรโทษกรรมภาคพิสดารนี้ก็คือ 'ผู้ยิ่งใหญ่แห่งช่อง3' นายประชา มาลีนนท์ อดีต รมช.มหาดไทย ที่มีความผิดในคดีทุจริตการจัดซื้อรถและเรือดับเพลิงของกรุงเทพมหานคร และถูกศาลฎีกาแผนกคดีอาญาของผู้ดำรงตำแหน่งทางการเมือง ตัดสินจำคุก เป็นเวลา 12 ปี เนื่องจาก คณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ของพรรคเพื่อไทย ได้เพิ่มเติ่มข้อความใน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม การกระทำที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นผู้กระทำความผิดโดยคณะบุคคลหรือองค์กรที่จัดตั้งขึ้นภายหลังการรัฐประหารเมื่อวันที่ 19 กันยายน พ.ศ.2549 ให้ถือว่าพ้นจากความผิด

ยังไม่นับรวมผู้ที่กระทำผิดในคดีก่อการร้าย อันได้แก่ แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) หรือกลุ่มคนเสื้อแดง ที่เกี่ยวข้องการก่อเหตุรุนแรงและลงมือเผาบ้านเผาเมืองอีกด้วย

งานนี้ชัดเจนว่าไม่ว่าจะทำผิดชั่วช้าขนาดไหน หากเป็นก๊วน 'เพื่อไทย' และ 'ไพร่แดง' แล้วล่ะก็จะได้รับการนิรโทษกรรมทั้งหมด ซึ่งถ้าเป็นเช่นนั้นบ้านนี้เมืองนี้คงไม่ต้องมีกฎหมายใดๆ เพราะใครจะถูกหรือผิดนั้นขึ้นอยู่กับความพึงพอใจของผู้มีอำนาจอย่างรัฐบาลเพื่อไทย ภายใต้การนำของ 'น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร' น้องสาวสุดที่รักของ นช.ทักษิณ ซึ่งได้ชื่อว่าเป็น 1 ใน 5 ผู้นำเลวของโลก

และว่ากันว่าผู้ที่นั่งบัญชาการในการเดินเกมออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย นั้นหาใช่ใคร หากแต่เป็น 'เจ๊แดง' เยาวภา วงศ์สวัสดิ์ น้องรักของ นช.ทักษิณ ชินวัตร ที่มีบทบาทเป็นกุนซือใหญ่ในการคุมทั้งอำนาจและถุงเงินในพรรคเพื่อไทยแทนพี่ชายผู้เป็นเจ้าของพรรคตัวจริงนั่นเอง

หลายฝ่ายพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าการออกกฎหมายนิรโทษกรรมภาคพิสดารครั้งนี้เป็นเป็นการใช้อำนาจ'ฟอกผิด' ให้แก่พวกพ้อง และการกระทำที่ขัดต่อหลักนิติรัฐนิติธรรมอย่างสิ้นเชิง โดยนายวิชา มหาคุณ กรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานหนึ่งซึ่งมีส่วนเกี่ยวข้องกับการพิจารณาคดีที่เข้าข่ายได้รับการนิรโทษกรรม ชี้ว่า โดยหลักการการจะออกกฎหมายใดๆ ต้องยึดหลักนิติธรรม 3 อำนาจหลักของประเทศ ต้องไม่เข้าไปก้าวก่ายกัน หากมีผลกระทบไปถึงการวินิจฉัยคดีของศาลก็ต้องระมัดระวัง และมีเหตุผลที่สามารถอธิบายได้

“การออกกฎหมายตามหลักสากลจะต้องไม่กระทบกับกระบวนการของศาลที่วินิจฉัยไปแล้ว และหากอ้างตามหลักนิติธรรมก็หมายความว่า 3 อำนาจหลักของประเทศต้องไม่ก้าวก่ายกัน เพราะแต่ละอำนาจแยกกันอยู่แล้ว ดังนั้น การกระทำใดที่กระทบกับคดีที่ศาลวินิจฉัยต้องระวังให้มาก หากการล้างไพ่ไปกระทบอำนาจตุลาการก็ต้องมีคำตอบในเรื่องเหล่านี้ และต้องมีเหตุผลที่ดีด้วย” นายวิชากล่าว

“เสื้อแดง” เดือด รับไม่ได้ตายฟรี ไม่มีคนผิด

อย่างไรก็ดี คนที่ช้ำใจแทบกระอักเป็นเลือดกับการออกกฎหมายครั้งนี้คงหนีไม่พ้น บรรดา 'ไพร่แดง' ที่ญาติพี่น้องต้องมาบาดเจ็บล้มตายจากการชุมนุมเคลื่อนไหวในปี 2553 เพราะพวกเขานั้นทุมเทเสียสละกระทั่งชีวิตเพื่อเรียกร้องประชาธิปไตยตามคำปลุกเร้า 'นายใหญ่แห่งดูไบ' ที่ทั้งสไกป์และโฟนอินมาปลุกระดมให้พวกเขาลุกขึ้นสู้กับเผด็จการเพื่อให้พ้นจากการกดขี่ อีกทั้งเมื่อมีความพยายามของพลพรรคเพื่อไทยที่จะออกกฎหมายนิรโทษกรรมโดยอ้างเรื่องความเป็นะรรมและปรองดอง ทั้งแกนนำ นปช. อย่าง 'พี่ตู่' จตุพร พรหมพันธุ์ และ 'เฮียเต้น' ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รวมถึงบบรดาผู้ใหญ่ในพรรคเพื่อไทย ไม่เว้นแม้แต่ นายกฯยิ่งลักษณ์ ต่างก็ออกมายืนยันแน่นหนักว่าการออกกฎหมายครั้งนี้ไม่ได้เป็นไปเพื่อฟอกผิดให้แก่ นช.ทักษิณ อย่างแน่นอน ที่สำคัญการนิรโทษกรรมจะไม่ครอบคลุมผู้สั่งการให้สังหารประชาชนอย่างแน่นอน ดังนั้นมวลชนคนเสื้อแดงไม่ต้องกลัวว่าบรรดาญาติพี่น้องที่บาดเจ็บล้มตายจากการเสียสละออกมาชุมนุมในปี 2553 เพื่อเป้าหมายในการปกป้องประชาธิปไตยและทวงคืนอำนาจให้ 'นายใหญ่' จะ 'ตายฟรี' งานนี้คนที่ทำผิดต้องได้รับโทษ แต่สุดท้ายกลับกลายเป็นว่า พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอยนี้ ทั้งทักษิณ แกนนำ นปช. รวมถึงนักการเมืองฝ่ายค้านอย่าง อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และสุเทพ เทือกสุบบรณ ซึ่งคนเสื้อแดงเชื่อว่าเป็นผู้สั่งฆ่าประชาชน ต่างก็พ้นโทษกันหมด เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น !!

สรุปง่ายๆว่างานนี้คนเสื้อแดง 'ถูกต้ม' และโดนหลอกมา 'ตายฟรี' โดยมีเงินเยียวยาที่ปล้นมาจากภาษีประชาชนถึงศพละ 7.5 ล้าน เป็นการตอบแทน ทั้งที่ก่อนปลุกระดมให้ออกมาชุมนุมนั้นก็ไม่ใครไถ่ถามพวกเขาก่อนว่าเต็มใจที่จะออกมา 'รับจ้างตาย' เพื่อทวงอำนาจให้ 'ทักษิณ' หรือไม่ ?

ที่ช้ำใจไปกว่านั้นคือยังมี ส.ส.เพื่อไทย ออกตอกย้ำบาดแผล โดยพูดง่ายๆว่าขอให้ญาติของผู้ตายนั้น 'เสียสละ' !!

อาทิ นายชวลิต วิชยสุทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย ในฐานะเลขานุการคณะกรรมาธิการร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ได้ให้สัมภาษณ์ถึงเรื่องดังกล่าวว่า

“ สำหรับผู้เสียชีวิตจากเหตุการณ์สลายการชุมนุม 98 ศพ นั้น กรรมาธิการฯเห็นว่าต้องเริ่มที่ทุกฝ่ายให้อภัยก่อน ยกตัวอย่างเช่น เหตุการณ์ 14 ต.ค. 2516 ซึ่งมีผู้เสียชีวิต จำนวนมากก็ยังยอมให้มีการออกกฎหมายนิรโทษกรรมแก่ทุกฝ่าย และเป็นหลักการเดียวที่ทั่วโลกพึงปฏิบัติเพื่อให้ประเทศชาติกลับมาสงบ แม้กระทั่ง น.ส.ขัตติยา สวัสดิผล ที่เดิมทีก็ไม่ยอมให้มีการนิรโทษกรรม แต่ภายหลังก็ยอมเสียสละเพื่อให้ประเทศชาติเดินต่อไปได้ เพราะหากยังมีความทิฐิอยู่ก็ไม่เกิดการนิรโทษกรรมได้สำเร็จ”

เมื่อเจอ 'แทงข้างหลังทะลุถึงหัวใจ' เช่นนี้ เสื้อแดงจำนวนไม่น้อยจึงถึงกับเดือดดาลเพราะเพิ่งรู้ตัวว่า 'ถูกหลอกใช้' จึงไม่แปลกที่จะมีคนเสื้อแดงที่สูญเสียบุคคลอันเป็นที่รักจากการชุมนุมปี 2553 ออกมาเคลื่อนไหวคัดค้านกฎหมายดังกล่าว

และที่น่าจับตายิ่งการเคลื่อนไหวของ 'กลุ่มญาติผู้สูญเสียจากเหตุการณ์ความไม่สงบทางการเมืองปี 53' นำโดย นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดา น.ส.กมนเกด พยาบาลอาสาที่เสียชีวิตในเหตุการณ์ นายพันธ์ศักดิ์ ศรีเทพ บิดาของนายสมาพันธ์ ศรีเทพ ผู้เสียชีวิตในเหตุการณ์ นายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 และนายสุนัย ผาสุข ผู้ประสานงานฮิวแมนไรท์วอช ซึ่งได้ออกแถลงการณ์คัดค้านการที่กรรมาธิการพรรคเพื่อไทย ลักไก่นิรโทษกรรมแบบเหมาเข่ง

โดยแถลงการณ์ดังกล่าวระบุ ว่า ตามที่กมธ.วิสามัญพิจารณา ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมได้มีมติแก้ไขมาตรา 3 ซึ่งเป็นการนิรโทษให้ผู้กระทำผิดทุกกลุ่ม ซึ่งการแก้ไขข้อความเป็นที่ชัดเจนว่า พรรคเพื่อไทยมีเจตนาเอื้อประโยชน์ให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร แลกกับการนิรโทษกรรมทหารที่สังหารหมู่ประชาชน รวมทั้ง นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ ในฐานะหัวหน้ารัฐบาล และประธานศูนย์อำนวยการเยียวยาสถานการณ์ฉุกเฉินในขณะนั้น ซึ่งแสดงให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทยไม่เคยฟังเสียงประชาชนโดยเฉพาะญาติผู้เสียหายที่ต้องการให้กระบวนการยุติธรรม พยายามหาความจริง และเป็นการเน้นย้ำความสงสัยของของสังคมต่อพรรคเพื่อไทยอีกครั้ง ทั้งเรื่องทำตามใบสั่ง เอาทักษิณกลับบ้านโดยไม่คำนึงถึงวิธีการ และเพิกเฉยต่อกระบวนการยุติธรรม ขณะเดียวกันนายอภิสิทธิ์ กลับแสดงเจตนารมณ์ว่า ต้องการพิสูจน์ตัวเองในกระบวนการยุติธรรม ถึงแม้ว่าจะเป็นเทคนิคทางการเมืองก็ตาม แต่การแสดงเจตนารมณ์ดังกล่าวก็จะเป็นการผูกมัดตัวเองด้วย ทั้งนี้หากมีการผลักดัน ร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรม มีผลบังคับใช้ จะเป็นการปิดกั้นโอกาสในการดำเนินคดีในศาลอาญาระหว่างประเทศ

ทั้งนี้ นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของ น.ส.กมนเกด ระบุว่า "ขอคัดค้านการนิรโทษแบบเหมายกเข่ง ของกรรมาธิการ ดิฉันเชื่อว่ามันยอมรับไม่ได้ ถึงแม้ไม่ใช่สีเสื้อก็ไม่เห็นด้วย และดิฉันขอบอกรัฐบาลให้หยุดโกหก 3 ปีที่ผ่านมาชัดมาก และการโกหกต้องหยุดได้แล้ว ถ้าจะเสนอจริงก็ขอเสนอนิรโทษเฉพาะประชาชนล้วนๆ และอย่าอ้างว่าฝ่ายค้านไม่ยอม เพราะดิฉันเชื่อว่า รัฐบาลทำได้ เพราะเป็นเสียงข้างมาก”

ขณะที่แดงวิชาการอย่าง สมบัติ บุญงามอนงค์ หรือ บก.ลายจุด แกนนำกลุ่มวันอาทิตย์สีแดง ได้ตำหนิการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอย ของรัฐบาลเพื่อไทยว่า ผ่านเฟสบุ๊คส่วนตัวว่า ถือเป็นการกระทำที่บัดซบ นอกจากนั้นยังนัดชุมนุมกับมวลชนคนเสื้อแดงที่แมคโดนัลด์ราชประสงค์เพื่อคัดค้านการออกกฎหมายดังกล่าว

เมื่อกระแสต้านจากมวลชนที่เป็นฐานเสียงชักจะเริ่มลุกลามบายปลาย พรรคเพื่อไทยจึงพยายามหาทางไกล่เกลีย โดยมีข่าวเล่าลือกันในเฟสบุ๊คของบรรดาคนเสื้อแดงว่า เมื่อไม่กี่วันมานี้ 'นายใหญ่' ได้เรียกญาติวีรชนที่เสียชีวิตจากการชุมนุมปี 2553 ไปพบที่ฮ่องกงเพื่อทำความเข้าใจเกี่ยวกับการออกกฎหมายนิรโทษกรรมครั้งนี้ ยกเว้นเพียง 'แม่น้องเกด' ซึ่งออกมาค้านกฎหมายฉบับนี้อย่างเต็มที่ไม่ได้รับคำเชิญ ซึ่งคนเสื้อแดงเชื่อว่างานคงมีการ 'จ่ายเงินปิดปาก' เพื่อสยบแรงต้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรม เพื่อนำนายใหญ่กลับบ้าน

SET ZERO เอา 4.6 หมื่นล้านของกูคืนมา

อย่างไรก็ดี ทางด้าน 'นช.ทักษิณ' ผู้ที่ได้รับประโยชน์จากเรื่องนี้มากที่สุด ได้เปิดใจให้สัมภาษณ์กับ นสพ.โพสต์ทูเดย์ ซึ่งบินไปสัมภาษณ์ที่ประเทศสิงคโปร์ ว่า ยืนยันจะเดินหน้านิรโทษกรรมเพื่อล้างไพ่ใหม่ โดยใช้วาทกรรมอันกิ๊บเก๋ว่า "Set zero" โดยอ้างหน้าด้านๆว่าถ้าไม่ออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอยนี้คนไทยจะทะเลาะกันไม่เลิกเนื่องจากที่ผ่านมากฎหมายไม่มีความยุติธรรม พร้อมทั้งอ้างว่าเขาไม่เคยคิดจะทวงเงิน 4.6 หมื่นล้านที่ถูกยึดทรัพย์คืน

“ ก็นี่ไงหาเรื่อง ผมยังไม่ได้คิดอะไรเลย คิดดอกเบี้ยให้ผมแล้ว ผมไม่ได้คิดเลย จะได้คืน ได้คืนยังไม่รู้ แต่แม่งคิดดอกเบี้ยให้เสร็จแล้ว ผมไม่ได้คิดเลย ทุกวันนี้ไม่ได้เดือดร้อนอะไร ขนาดเงินทำมาหากินมา เงินขายหุ้นก็ปล้นไป ยังบอกว่าโกงอีก คือ สรุปแล้วอยากจะพูดอะไรก็พูด คือคนเราหน้าด้านซะอย่าง ก็พูดได้ทุกอย่าง แม่ผมสอนนักสอนหนาสู้กับคนเก่งสู้ไปเลย เราจะได้เก่งเท่าเขา แต่สู้กับคนหน้าด้านเราจะสู้ไม่ได้ เพราะเราหน้าไม่ด้านเท่าเขา แม่ผมสอนตั้งแต่ผมเด็กๆ” ตอนหนึ่งในการการให้สัมภาษณ์ของ นช.ทักษิณ

มีคำถามตามมาว่า ทักษิณรู้ไหม ? ว่าการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม ฉบับสุดซอยครั้งนี้ เท่ากับเป็นการ 'เรียกแขก' ทำให้กลุ่มต่างๆที่ไม่เห็นด้วยการออกกฎหมายฟอกผิดล้างคดีคอร์รัปชั่นดาหน้ากันออกมาชุมนุมคัดค้าน ส่งผลม็อบอุรุพงษ์ หรือ 'กลุ่มเครือข่ายนักศึกษาประชาชนปฏิรูปประเทศไทย (คปท.) ที่นำโดย 'ทนายนิติธร ล้ำเหลือ' และ 'นายอุทัย ยอดมณี' นายกองค์การนักศึกษามหาวิทยาลัยรามคำแหง ซึ่งปักหลักชุมนุมเพื่อคัดค้านการกระทำอันมิชอบของรัฐบาลก่อนหน้านี้ กลายเป็นศูนย์รวมของมวลชนสาพัดกลุ่มที่ไหลมารวมกันดุจแม่น้ำร้อยสายเพื่อเคลื่อนไหวต่อต้านการออก พ.ร.บ.ดังกล่าว และอาจถึงขั้นขับไล่รัฐบาลภายใต้การนำของ น.ส.ยิ่งลักษณ์ ให้พ้นจากเก้าอี้ ซึ่งแน่นอนว่าสิ่งที่ตจะตามมาก็คือความรุนแรงที่จะเกิดจากการปะทะกันระหว่างมวลชนที่ออกมาต้านรัฐบาลและเจ้าหน้าที่ตำรวจที่ได้รับไฟเขียวให้ใช้ความรุนแรงเข้าปราบปรามประชาชนที่ต่อต้านรัฐบาล ยังไม่นับรวมมวลชนเสื้อแดงที่สนับสนุนรัฐบาลซึ่งมีแนวโน้มว่าจะออกมายำกันให้เละไปข้างหนึ่ง และเมื่อนั้นบ้านเมืองก็คงลุกเป็นไฟ

...คำตอบก็คือ ทักษิณรู้ยิ่งกว่ารู้

ถามต่อว่า แล้วเหตุใดเขาจึงกล้าพารัฐบาลเข้าสู่สถานการณ์ความรุนแรง ?...

คำตอบก็คือ

1.เพราะทักษิณมั่นใจว่าขณะนี้รัฐบาลเพื่อไทยสามารถกุมอำนาจทุกภาคส่วนไว้ได้หมดแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อำนาจในสภา อำนาจในการรักษากฎหมายบ้านเมือง ซึ่งทั้งตำรวจและองค์กรยุติธรรมส่วนใหญ่ก็ยอมตกอยู่ใต้คำสั่งทักษิณ แม้แต่กองทัพก็ยังยอมศิโรราบ ไม่หือไม่อือ

2.เพราะทักษิณมองว่าพรรคฝ่ายอย่างประชาธิปัตย์นั้นไร้น้ำยา ไม่สามารถทำอะไรรัฐบาลได้ทั้งในและนอกสภา

3. ทักษิณได้วางหมากไว้แล้วว่า หากเกิดการปะทะกันจนสถานการณ์บานปลายกลายเป็นการจลาจล เข่นฆ่ากันถึงขั้น 'เลือดนองแผ่นดิน' ทักษิณก็จะใช้โอกาสนี้สั่งการให้กองทัพปฏิวัติรัฐบาลยิ่งลักษณ์ แล้วให้ “ไอ้ตู่คนที่ไว้ใจมาก” ออกกฎหมายนิรโทษกรรมสุดซอยด้วยคำสั่งของคณะรัฐประหาร ซึ่งง่ายเสียยิ่งกว่าการออกกฎหมายผ่านรัฐสภา จากนั้นจัดการเลือกตั้งใหม่ และสุดท้ายพรรคเพื่อไทยก็สามารถใช้เงินหว่านและได้รับเลือกตั้งกลับมาเป็นรัฐบาลใหม่อย่างสบายใจเฉิบ

แน่นอนว่า เมื่อถึงวันนั้น นช.ทักษิณ และพรรคเพื่อไทย ก็มีแต่ได้กับได้ ไม่ว่าเหลืองหรือแดงจะบาดเจ็บล้มตายก็ไม่ใช่ปัญหา อีกทั้งผู้ที่ถูกตราหน้าว่าเข่นฆ่าประชาชนก็คือตำรวจและทหาร หาใช่ผู้ชายที่ชื่อ 'ทักษิณ'

คำถามสุดท้ายคือ เมื่อ 'มวลชนคนเสื้อแดง' เห็นความอำมหิตของทักษิณ ซาตานในคราบวีรบุรุษการเมืองที่พวกเขาหลงยกย่องเชิดชูแล้ว คนเสื้อแดงยังจะยอม 'เป็นเบี้ย' ให้หลอกใช้ ออกไปเจ็บไปตายแทนอีกหรือไม่ ? เพราะเกมนี้สิ่งเดียวที่ นช.ทักษิณ เพรียกหาย่อมใช่ประชาธิปไตย หากแต่เป็นเสียงกู่ก้องจากแดนไกลจับใจความได้ว่า “เงินกูอยู่ไหน....” !!


นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร
ธิดา ถาวรเศรษฐ จตุพร พรหมพันธุ์ และแกนนำคนเสื้อแดงแถลงข่าวไปยอมรับกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับเหมาเข่ง
นางพะเยาว์ อัคฮาด มารดาของนางสาวกมนเกด อัคฮาค (น้องเกด) พร้อมผู้มีผลกระทบการกระชับพื้นที่ เมื่อปี 53 ได้ยื่นหนังสือถึงนายสามารถ แก้วมีชัย ประธานกรรมาธิการนิรโทษกรรม ผ่านนายวิชาญ มีนชัยนันท์ เพื่อคัดค้าน พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฉบับสุดซอยที่รัฐสภา
หัวเขียง ประยุทธ์ ศิริพานิชย์ รองประธานคณะกรรมาธิการพิจารณาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมฯ ผู้รับบทเล่นแร่แปรธาตุกฎหมายนิรโทษกรรมฉบับสุดซอย
กำลังโหลดความคิดเห็น