ต้องบอกว่าพวกเอ็งแน่จริงๆ! เมื่อชาวบ้านได้เห็นความอหังการ ผยอง ลำพองในอำนาจรัฐหนุนด้วยพลังตำรวจของบรรดาขี้ข้า บริวาร ญาติพี่น้องของบักเหลี่ยมคนหนีคุก สุมหัวกันตั้งศาลเตี้ยในสภาฯ รุมกระทำชำเรารัฐธรรมนูญ
เป็นปฏิบัติการนำโดย “ไอ้หัวเขียง” เมื่อใช้ความทื่อมะลื่อสไตล์มนุษย์โบราณ ทะลวงผ่านทางตันในคณะกรรมาธิการ จนนำพาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเขียนใหม่จากหลักการเดิม เพื่อให้บักเหลี่ยมและพวกรอดคุก คดีต่างๆ ใช้ยุทธศาสตร์หน้าด้าน หวังผลแบบยกเล้าเหมาเข่ง ไม่สนใจเสียงฝ่ายค้าน
“ไอ้หัวเขียง” ไม่ได้เป็น ส.ส.แต่จัดอยู่กลุ่มขี้ข้าบักเหลี่ยม เมื่อไม่มีสถานภาพ ส.ส.ถือว่าไม่มีต้นทุน ราคาทางสังคม ไม่ห่วงชื่อเสียง ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วในการเสี่ยงใช้หัวเขียงหนอกคอหนาทะลวงฝ่ากำแพงจนทะลุซอย
แม้แต่พวกขี้ข้าบักเหลี่ยมในกรรมาธิการต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน! แน่นอน เมื่อห่ามกล้าในวัยไม้ใกล้ฝั่ง “ไอ้หัวเขียง” ย่อมต้องหวังวางบิลเพื่อขอรางวัลจากนายใหญ่คนหนีคุก เป็นทุนยังชีพก้อนสุดท้ายสำหรับชีวิตการเมือง
“ไอ้หัวเขียง” รับไม้ต่อจากบักวรชัย เหมะ คนถือไม้แรก วิ่งทะลุกำแพง นายใหญ่ย่อมพอใจ แม้ในใจจะกังวลว่าปฏิบัติย่ำยีกฎหมายทุกฉบับในแผ่นดินจะส่งผลร้ายทำให้บักเหลี่ยมสิ้นโอกาสได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดตามใจหวัง
ทันทีที่ทะลุซอย รอเข้าสภาฯ วาระ 3 ก็มีปฏิกิริยารอบทิศ จากพวกไม่เอาบักเหลี่ยม ซึ่งมองว่าปฏิบัติการ “ไอ้หัวเขียง” เป็นคำประกาศของบักเหลี่ยมว่าตัวเองและเครือข่ายอยู่เหนือกฎหมาย ทำอะไรผิดกฎหมายก็ไม่ผิด ไม่มีโทษ
บักเหลี่ยมจึงเป็นผู้มีบารมีอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เหนือรัฐบาล เหนืออำมาตย์ทั้งแผ่นดิน เหนือกระบวนการยุติธรรม หัวเราะเยาะตุลาการที่ตราโทษจำคุก 2 ปี และออกหมายจับในคดีต่างๆ ทั้งยังเอาตีนลูบหน้าคนไทยทั้งมวล
เจ็บแสบกว่านั้น ต้องคืน 4.6 หมื่นล้านบาทบวกดอกเบี้ยให้บักเหลี่ยม!
พวกขี้ข้าบักเหลี่ยม ซึ่งเสพติดพฤติกรรมเลียแข้ง เลียขา ไร้ยางอาย สิ้นศักดิ์ศรีความเป็นคนย่อมไม่รู้สึกต้องอับอายแต่อย่างใด เมื่อความหน้าด้าน ทนได้ซึมลึกกว่าเข้ากระดูกดำ ละลายเป็นส่วนหลักของเชื้อพันธุกรรมไปแล้ว
เมื่อพรรคเพื่อบักเหลี่ยมกดหัวคนไทย ย่อมต้องมีส่วนหนึ่งออกแรงต้าน พวกไทยเฉย ไทยนิ่ง ยังคงรักษาสภาพเดิมต่อไป รอให้ปัญหาลามเข้าถึงตัวจึงจะรู้สึก! นอกจากเสียงก่นด่าความลำพองในอำนาจ ความไม่พอใจจึงแผ่ขยาย
ม็อบอุรุพงษ์ยังคงเป็นหนามยอกอกรัฐบาลแม่นางโพยปูโพรกเน่าใน แม้จะดูไร้พลังถึงขั้นล้มรัฐบาล ขับไล่อาชญากรชั่วร้ายขายชาติให้ตกเก้าอี้ ก็ยังทำให้แม่นางโพยและขี้ข้าผวาต้องต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน
ก่อนปฏิบัติการ “ไอ้หัวเขียง” ยังมีความอึมครึม ไม่แน่ใจว่าม็อบอุรุพงษ์จะมีแรงหนุน จุดไฟติด จนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมก้าวล้ำเส้น จึงเป็นเหมือนการยกถังน้ำมันขนาดใหญ่สาดเข้าใส่กองเพลิง เพิ่มกระแสต้านรัฐบาลนางโพย
ขี้ข้าบักเหลี่ยมตีหน้าซื่อออกมาแถ “นั่นเป็นมติของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งเสียงส่วนน้อยต้องยอมรับ” ถ้าเป็นเช่นนั้นทุกครั้งสักวันหนึ่งพรรคเพื่อบักเหลี่ยมคงกล้า บ้าขนาดเขียนกฎหมายให้ตัวเองเป็นเทวดาแม้ยังเป็นขี้ข้า
นอกจากม็อบอุรุพงษ์ กฎหมายทะลุซอยทำให้เกิดการรวมตัวของหลายกลุ่ม เริ่มวางแผนจะหาทางล้มรัฐบาล เมื่อเห็นรากฐานผุกร่อนด้วยปัญหากินตัวเอง เช่น ปัญหาข้าวเน่า การเงินการคลังขาดเงินใกล้ถังแตก คนแบกหนี้อ่วม
พรรคนกหวีด ซึ่งพ่ายแพ้ซ้ำซากในศึกยึดมั่นระบบรัฐสภา ออกอาการขึงขัง เลือดเข้าตา เมื่อชาวบ้านถามซ้ำซากว่า “จะเป่านกหวีดเรียกชุมนุมเมื่อไหร่” หลังจากจัดเวทีผ่าความจริง ขายนกหวีดให้แฟนๆ เป่าฟังกันเองนานจนหูด้าน
อ่า! “เทพเทือก” จึงวางมาตรการให้แฟนๆ เตรียมพร้อม จะบอกล่วงหน้า 1 สัปดาห์ก่อนชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศ ในจังหวัดต้องไปศาลากลาง ในกรุงยังไม่ระบุสถานที่ หน่วยต่อสู้ล่วงหน้าได้กำหนด 6 พฤศจิกายนเป็นวันเป่านกหวีด
เป้าหมายหลักคือ การปลุกระดมให้มวลชนลุกฮือทั้งแผ่นดิน ออกมาขับไล่ “สมาร์ทเลดี้นางมารร้ายตัวแสบ” และเครือข่ายให้ตกจากอำนาจ รัฐไทยจะพ้นภัย รอดจากขบวนการโจรปล้นแผ่นดิน สู้ศึกใหญ่ครั้งนี้ไม่กำหนดระยะเวลา
ถ้าเกิดขึ้นจริง จะมีมวลชนคนไม่เอาบักเหลี่ยมรวมตัวเป็นคณะใหญ่ออกมาเผชิญหน้ารัฐบาลแม่นางโพย พรรคเพื่อบักเหลี่ยมมีกำลังตำรวจ มวลชนเสื้อแดงหนุน น่าสะพรึงกลัวครบเครื่องทั้งกฎหมาย อำนาจเถื่อน
สถานการณ์จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับจำนวนมวลชนคนไม่เอาระบอบบักเหลี่ยมจะสามารถปลุกไทยเฉย ไทยนิ่งให้เข้าร่วมได้หรือไม่ โดยเสียเปรียบทุกด้าน แต่แม่นางโพยได้ตำรวจใหญ่นักอมเบี้ยเลี้ยงลูกน้องรอแบบกระหายเลือด
ถ้า 2 ฝ่ายออกมาเผชิญหน้ากัน เกิดการปะทะด้วยกำลัง เกิดมิคสัญญี หรือสงครามกลางเมือง คำถามตามมาคือ “กองทัพจะวางตัวอย่างไร” ในวิกฤตจะปกป้องยืนข้างรัฐบาล หรืออยู่ข้างคนดีขับไล่รัฐบาลกังฉินชั่วร้ายขายชาติ
ไทยเฉย หลายสิบล้านคนจะรู้สึกตัว ทำอะไรหรือไม่ หรือรอวันหายนะ?
เป็นปฏิบัติการนำโดย “ไอ้หัวเขียง” เมื่อใช้ความทื่อมะลื่อสไตล์มนุษย์โบราณ ทะลวงผ่านทางตันในคณะกรรมาธิการ จนนำพาร่าง พ.ร.บ.นิรโทษกรรมเขียนใหม่จากหลักการเดิม เพื่อให้บักเหลี่ยมและพวกรอดคุก คดีต่างๆ ใช้ยุทธศาสตร์หน้าด้าน หวังผลแบบยกเล้าเหมาเข่ง ไม่สนใจเสียงฝ่ายค้าน
“ไอ้หัวเขียง” ไม่ได้เป็น ส.ส.แต่จัดอยู่กลุ่มขี้ข้าบักเหลี่ยม เมื่อไม่มีสถานภาพ ส.ส.ถือว่าไม่มีต้นทุน ราคาทางสังคม ไม่ห่วงชื่อเสียง ไม่มีอะไรจะเสียอีกแล้วในการเสี่ยงใช้หัวเขียงหนอกคอหนาทะลวงฝ่ากำแพงจนทะลุซอย
แม้แต่พวกขี้ข้าบักเหลี่ยมในกรรมาธิการต้องอ้าปากค้างไปตามๆ กัน! แน่นอน เมื่อห่ามกล้าในวัยไม้ใกล้ฝั่ง “ไอ้หัวเขียง” ย่อมต้องหวังวางบิลเพื่อขอรางวัลจากนายใหญ่คนหนีคุก เป็นทุนยังชีพก้อนสุดท้ายสำหรับชีวิตการเมือง
“ไอ้หัวเขียง” รับไม้ต่อจากบักวรชัย เหมะ คนถือไม้แรก วิ่งทะลุกำแพง นายใหญ่ย่อมพอใจ แม้ในใจจะกังวลว่าปฏิบัติย่ำยีกฎหมายทุกฉบับในแผ่นดินจะส่งผลร้ายทำให้บักเหลี่ยมสิ้นโอกาสได้กลับมาเหยียบแผ่นดินเกิดตามใจหวัง
ทันทีที่ทะลุซอย รอเข้าสภาฯ วาระ 3 ก็มีปฏิกิริยารอบทิศ จากพวกไม่เอาบักเหลี่ยม ซึ่งมองว่าปฏิบัติการ “ไอ้หัวเขียง” เป็นคำประกาศของบักเหลี่ยมว่าตัวเองและเครือข่ายอยู่เหนือกฎหมาย ทำอะไรผิดกฎหมายก็ไม่ผิด ไม่มีโทษ
บักเหลี่ยมจึงเป็นผู้มีบารมีอยู่เหนือรัฐธรรมนูญ เหนือรัฐบาล เหนืออำมาตย์ทั้งแผ่นดิน เหนือกระบวนการยุติธรรม หัวเราะเยาะตุลาการที่ตราโทษจำคุก 2 ปี และออกหมายจับในคดีต่างๆ ทั้งยังเอาตีนลูบหน้าคนไทยทั้งมวล
เจ็บแสบกว่านั้น ต้องคืน 4.6 หมื่นล้านบาทบวกดอกเบี้ยให้บักเหลี่ยม!
พวกขี้ข้าบักเหลี่ยม ซึ่งเสพติดพฤติกรรมเลียแข้ง เลียขา ไร้ยางอาย สิ้นศักดิ์ศรีความเป็นคนย่อมไม่รู้สึกต้องอับอายแต่อย่างใด เมื่อความหน้าด้าน ทนได้ซึมลึกกว่าเข้ากระดูกดำ ละลายเป็นส่วนหลักของเชื้อพันธุกรรมไปแล้ว
เมื่อพรรคเพื่อบักเหลี่ยมกดหัวคนไทย ย่อมต้องมีส่วนหนึ่งออกแรงต้าน พวกไทยเฉย ไทยนิ่ง ยังคงรักษาสภาพเดิมต่อไป รอให้ปัญหาลามเข้าถึงตัวจึงจะรู้สึก! นอกจากเสียงก่นด่าความลำพองในอำนาจ ความไม่พอใจจึงแผ่ขยาย
ม็อบอุรุพงษ์ยังคงเป็นหนามยอกอกรัฐบาลแม่นางโพยปูโพรกเน่าใน แม้จะดูไร้พลังถึงขั้นล้มรัฐบาล ขับไล่อาชญากรชั่วร้ายขายชาติให้ตกเก้าอี้ ก็ยังทำให้แม่นางโพยและขี้ข้าผวาต้องต่อ พ.ร.บ.ความมั่นคงถึงสิ้นเดือนพฤศจิกายน
ก่อนปฏิบัติการ “ไอ้หัวเขียง” ยังมีความอึมครึม ไม่แน่ใจว่าม็อบอุรุพงษ์จะมีแรงหนุน จุดไฟติด จนร่างกฎหมายนิรโทษกรรมก้าวล้ำเส้น จึงเป็นเหมือนการยกถังน้ำมันขนาดใหญ่สาดเข้าใส่กองเพลิง เพิ่มกระแสต้านรัฐบาลนางโพย
ขี้ข้าบักเหลี่ยมตีหน้าซื่อออกมาแถ “นั่นเป็นมติของกรรมาธิการเสียงข้างมาก ซึ่งเสียงส่วนน้อยต้องยอมรับ” ถ้าเป็นเช่นนั้นทุกครั้งสักวันหนึ่งพรรคเพื่อบักเหลี่ยมคงกล้า บ้าขนาดเขียนกฎหมายให้ตัวเองเป็นเทวดาแม้ยังเป็นขี้ข้า
นอกจากม็อบอุรุพงษ์ กฎหมายทะลุซอยทำให้เกิดการรวมตัวของหลายกลุ่ม เริ่มวางแผนจะหาทางล้มรัฐบาล เมื่อเห็นรากฐานผุกร่อนด้วยปัญหากินตัวเอง เช่น ปัญหาข้าวเน่า การเงินการคลังขาดเงินใกล้ถังแตก คนแบกหนี้อ่วม
พรรคนกหวีด ซึ่งพ่ายแพ้ซ้ำซากในศึกยึดมั่นระบบรัฐสภา ออกอาการขึงขัง เลือดเข้าตา เมื่อชาวบ้านถามซ้ำซากว่า “จะเป่านกหวีดเรียกชุมนุมเมื่อไหร่” หลังจากจัดเวทีผ่าความจริง ขายนกหวีดให้แฟนๆ เป่าฟังกันเองนานจนหูด้าน
อ่า! “เทพเทือก” จึงวางมาตรการให้แฟนๆ เตรียมพร้อม จะบอกล่วงหน้า 1 สัปดาห์ก่อนชุมนุมใหญ่ทั่วประเทศ ในจังหวัดต้องไปศาลากลาง ในกรุงยังไม่ระบุสถานที่ หน่วยต่อสู้ล่วงหน้าได้กำหนด 6 พฤศจิกายนเป็นวันเป่านกหวีด
เป้าหมายหลักคือ การปลุกระดมให้มวลชนลุกฮือทั้งแผ่นดิน ออกมาขับไล่ “สมาร์ทเลดี้นางมารร้ายตัวแสบ” และเครือข่ายให้ตกจากอำนาจ รัฐไทยจะพ้นภัย รอดจากขบวนการโจรปล้นแผ่นดิน สู้ศึกใหญ่ครั้งนี้ไม่กำหนดระยะเวลา
ถ้าเกิดขึ้นจริง จะมีมวลชนคนไม่เอาบักเหลี่ยมรวมตัวเป็นคณะใหญ่ออกมาเผชิญหน้ารัฐบาลแม่นางโพย พรรคเพื่อบักเหลี่ยมมีกำลังตำรวจ มวลชนเสื้อแดงหนุน น่าสะพรึงกลัวครบเครื่องทั้งกฎหมาย อำนาจเถื่อน
สถานการณ์จะเป็นอย่างไรขึ้นอยู่กับจำนวนมวลชนคนไม่เอาระบอบบักเหลี่ยมจะสามารถปลุกไทยเฉย ไทยนิ่งให้เข้าร่วมได้หรือไม่ โดยเสียเปรียบทุกด้าน แต่แม่นางโพยได้ตำรวจใหญ่นักอมเบี้ยเลี้ยงลูกน้องรอแบบกระหายเลือด
ถ้า 2 ฝ่ายออกมาเผชิญหน้ากัน เกิดการปะทะด้วยกำลัง เกิดมิคสัญญี หรือสงครามกลางเมือง คำถามตามมาคือ “กองทัพจะวางตัวอย่างไร” ในวิกฤตจะปกป้องยืนข้างรัฐบาล หรืออยู่ข้างคนดีขับไล่รัฐบาลกังฉินชั่วร้ายขายชาติ
ไทยเฉย หลายสิบล้านคนจะรู้สึกตัว ทำอะไรหรือไม่ หรือรอวันหายนะ?