จันทร์ที่แล้วไม่มีบทความเพราะผมไปต่างประเทศ คราวนี้ไปอิตาลีโดยลงเครื่องที่มิลาน ซึ่งอยู่ตอนเหนือของรองเท้าบูต จากมิลานก็นั่งรถไป Como คือทะเลสาบ มีบ้านเรือนสวยๆ ของดาราฮอลลีวูดหลายคน เช่น จอร์จ คลูนีย์ และมาดอนน่า เป็นต้น
ทะเลสาบ Como นี้อยู่ใกล้ชายแดนสวิส นั่งรถไปอีกนิดเดียวก็ถึงสถานที่ที่คนไทยชอบไปคือ Outlet ที่ Fax Town
ผมมา Como คราวนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ครั้งแรกมาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มาอยู่ที่ปราสาทเบลลาจีโอ (Bellagio) ซึ่งเป็นของมูลนิธิร็อกกี้ เฟลเลอร์ เขาให้นักวิชาการและนักดนตรีมาพักเพื่อเขียนงาน และได้ทำความรู้จักกัน จึงมีกฎว่าคนที่มาต้องเป็นนักวิชาการต่างสาขากัน ที่นี่มีที่พักอย่างดี สวนสวยเดินลงไปถึงทะเลสาบได้ ผมไปอยู่ตอนฤดูร้อน จำได้ว่าลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบเยือกเย็นมากทั้งๆ ที่เป็นฤดูร้อน
มาคราวนี้เป็นคนแก่ จึงพักที่ดีหน่อยเป็นโรงแรมสุดหรู 5 ดาวชื่อ วิลล่า เดสเต้ มีสระว่ายน้ำ 2 แห่ง ริมทะเลสาบ คือ เจาะเป็นสระลอยอยู่ริมทะเลสาบกับสระอุ่นอยู่ในบ้าน และมีสนามกอล์ฟ 18 หลุมด้วย ในบริเวณมีสวนแบบอิตาเลียนงดงามมาก
ที่ Como นี้มีร้านอาหารอิตาเลียนมิชลิน 1 ดาวอยู่ร้านหนึ่งอยู่กลางใจเมืองริมทะเลสาบ อาหารที่ร้านนี้จัดมาอย่างสวยงาม จานแรกเป็นพาเต้ทำด้วยปลาทูน่าอร่อยไปอีกแบบหนึ่ง จานที่สองเป็นปลาบดชุปแป้งทอดไม่เลี่ยนเลย จานที่สามนี่เป็นปลาหมึก แต่เขาทำเก่งมาก ปกติเราไม่ค่อยเห็นคนทำปลาหมึก โดยทั่วไปก็ทอด แต่นี่เขานึ่งจนนิ่มและมีซอสราดมา ส่วนจานสุดท้ายเป็นปลา แต่ละจานก็ขนาดเล็ก กว่าจะกินเสร็จก็ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าจนเราต้องไม่กินมูสช็อกโกแลตซึ่งเป็นของหวาน
ผมรู้จักอิตาลีตอนเหนือตอนที่อ่านหนังสือชื่อ The Moral Basis of a Backward Society ของ Edward Banfield ได้ความรู้ว่าอิตาลีตอนเหนือคือแคว้นลอมมาโดที่มีมิลานเป็นเมืองเอก มีความเจริญมากกว่าตอนโต้ เช่น Sicily ที่คนแถบนั้นอพยพไปอเมริกา และเป็นพวกมาเฟีย ตอนโต้ยากจนกว่าจึงมีวัฒนธรรมที่เป็นแบบเกษตรกรรม รักพี่รักน้อง ทางเหนือมีโรงงานเล็กๆ พวกเทคโนโลยี และเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นด้วย
ในมิลานมีถนนยาวสัก 300 เมตร แต่ใช้เวลาเดิน 2-3 ชั่วโมง เพราะตลอดเส้นทางเป็นร้านพวกแบรนด์เนมทั้งนั้น มองดูแล้วก็ยกย่องคนช่างคิด ช่างออกแบบ ขายกระเป๋า ขายรองเท้าได้เป็นเรือนหมื่น มาคราวนี้แปลกตาตรงที่เห็นคนจีนเดินเต็มไปหมด นับว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ เพราะจีนเดี๋ยวนี้ดูจะรวยที่สุด และชอบซื้อของแบรนด์เนมพอๆ กับคนไทย
ผมไม่ได้ซื้ออะไรเลย จะเดินก็เมื่อยขาเลยไปนั่งกินกาแฟที่ดีพาตเมนต์สโตร์ที่ห้างเซ็นทรัลไปซื้อเอาไว้ เป็นห้างใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดของเมืองมิลาน
จากนีซเราเลยไปโมนาโกเพราะอยู่ไม่ไกลนัก เมืองเล็กๆ นี้เป็นประเทศ และโด่งดังเพราะเจ้าหญิงเกรซซึ่งนักท่องเที่ยวต้องไปเคารพหลุมศพ และชมสวน Cactus นอกนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากกาสิโน ซึ่งได้ชื่อว่าดี เริ่ดหรูที่สุดในโลก แต่ทราบว่าซบเซาไปมาก หน้ากาสิโนมีรถหรูๆ จอดอยู่หลายคัน เราก็ไปแอ็คท่ายืนถ่ายรูปกับเฟอร์รารี่บ้าง เบนท์ลีย์บ้างเพราะเราพักที่ Royal Hotel ใกล้ๆ กับ Café de Paris และกาสิโนนั่นเอง
ขากลับจะมาปารีสแต่เครื่องบินสไตร์คต้องเสียเวลานั่งรอที่สนามบิน และบนเครื่องตั้ง 5 ชั่วโมง ที่ปารีสก็เหมือนเดิม ยังสะอาด สวย และอาหารอร่อย แต่คราวนี้ไม่ได้ไปกินร้านเป็ด เพราะยังเอือมอยู่เมื่อสองปีที่แล้วเรากินดึกมาก จึงไม่อร่อย
ผมแก่ลงทุกวัน เดินทางไกลๆ ได้น้อยลง ไปเมืองนอกต้องเดินมากเพราะบางแห่งรถเข้าไม่ถึง พอกลับบ้านจึงต้องนอนพักนาน
ทะเลสาบ Como นี้อยู่ใกล้ชายแดนสวิส นั่งรถไปอีกนิดเดียวก็ถึงสถานที่ที่คนไทยชอบไปคือ Outlet ที่ Fax Town
ผมมา Como คราวนี้เป็นครั้งที่สามแล้ว ครั้งแรกมาเมื่อ 30 ปีที่แล้ว มาอยู่ที่ปราสาทเบลลาจีโอ (Bellagio) ซึ่งเป็นของมูลนิธิร็อกกี้ เฟลเลอร์ เขาให้นักวิชาการและนักดนตรีมาพักเพื่อเขียนงาน และได้ทำความรู้จักกัน จึงมีกฎว่าคนที่มาต้องเป็นนักวิชาการต่างสาขากัน ที่นี่มีที่พักอย่างดี สวนสวยเดินลงไปถึงทะเลสาบได้ ผมไปอยู่ตอนฤดูร้อน จำได้ว่าลงไปว่ายน้ำในทะเลสาบเยือกเย็นมากทั้งๆ ที่เป็นฤดูร้อน
มาคราวนี้เป็นคนแก่ จึงพักที่ดีหน่อยเป็นโรงแรมสุดหรู 5 ดาวชื่อ วิลล่า เดสเต้ มีสระว่ายน้ำ 2 แห่ง ริมทะเลสาบ คือ เจาะเป็นสระลอยอยู่ริมทะเลสาบกับสระอุ่นอยู่ในบ้าน และมีสนามกอล์ฟ 18 หลุมด้วย ในบริเวณมีสวนแบบอิตาเลียนงดงามมาก
ที่ Como นี้มีร้านอาหารอิตาเลียนมิชลิน 1 ดาวอยู่ร้านหนึ่งอยู่กลางใจเมืองริมทะเลสาบ อาหารที่ร้านนี้จัดมาอย่างสวยงาม จานแรกเป็นพาเต้ทำด้วยปลาทูน่าอร่อยไปอีกแบบหนึ่ง จานที่สองเป็นปลาบดชุปแป้งทอดไม่เลี่ยนเลย จานที่สามนี่เป็นปลาหมึก แต่เขาทำเก่งมาก ปกติเราไม่ค่อยเห็นคนทำปลาหมึก โดยทั่วไปก็ทอด แต่นี่เขานึ่งจนนิ่มและมีซอสราดมา ส่วนจานสุดท้ายเป็นปลา แต่ละจานก็ขนาดเล็ก กว่าจะกินเสร็จก็ใช้เวลา 2 ชั่วโมงกว่าจนเราต้องไม่กินมูสช็อกโกแลตซึ่งเป็นของหวาน
ผมรู้จักอิตาลีตอนเหนือตอนที่อ่านหนังสือชื่อ The Moral Basis of a Backward Society ของ Edward Banfield ได้ความรู้ว่าอิตาลีตอนเหนือคือแคว้นลอมมาโดที่มีมิลานเป็นเมืองเอก มีความเจริญมากกว่าตอนโต้ เช่น Sicily ที่คนแถบนั้นอพยพไปอเมริกา และเป็นพวกมาเฟีย ตอนโต้ยากจนกว่าจึงมีวัฒนธรรมที่เป็นแบบเกษตรกรรม รักพี่รักน้อง ทางเหนือมีโรงงานเล็กๆ พวกเทคโนโลยี และเป็นศูนย์กลางของแฟชั่นด้วย
ในมิลานมีถนนยาวสัก 300 เมตร แต่ใช้เวลาเดิน 2-3 ชั่วโมง เพราะตลอดเส้นทางเป็นร้านพวกแบรนด์เนมทั้งนั้น มองดูแล้วก็ยกย่องคนช่างคิด ช่างออกแบบ ขายกระเป๋า ขายรองเท้าได้เป็นเรือนหมื่น มาคราวนี้แปลกตาตรงที่เห็นคนจีนเดินเต็มไปหมด นับว่าเป็นปรากฏการณ์ใหม่ เพราะจีนเดี๋ยวนี้ดูจะรวยที่สุด และชอบซื้อของแบรนด์เนมพอๆ กับคนไทย
ผมไม่ได้ซื้ออะไรเลย จะเดินก็เมื่อยขาเลยไปนั่งกินกาแฟที่ดีพาตเมนต์สโตร์ที่ห้างเซ็นทรัลไปซื้อเอาไว้ เป็นห้างใหญ่โตและเก่าแก่ที่สุดของเมืองมิลาน
จากนีซเราเลยไปโมนาโกเพราะอยู่ไม่ไกลนัก เมืองเล็กๆ นี้เป็นประเทศ และโด่งดังเพราะเจ้าหญิงเกรซซึ่งนักท่องเที่ยวต้องไปเคารพหลุมศพ และชมสวน Cactus นอกนั้นก็ไม่มีอะไรนอกจากกาสิโน ซึ่งได้ชื่อว่าดี เริ่ดหรูที่สุดในโลก แต่ทราบว่าซบเซาไปมาก หน้ากาสิโนมีรถหรูๆ จอดอยู่หลายคัน เราก็ไปแอ็คท่ายืนถ่ายรูปกับเฟอร์รารี่บ้าง เบนท์ลีย์บ้างเพราะเราพักที่ Royal Hotel ใกล้ๆ กับ Café de Paris และกาสิโนนั่นเอง
ขากลับจะมาปารีสแต่เครื่องบินสไตร์คต้องเสียเวลานั่งรอที่สนามบิน และบนเครื่องตั้ง 5 ชั่วโมง ที่ปารีสก็เหมือนเดิม ยังสะอาด สวย และอาหารอร่อย แต่คราวนี้ไม่ได้ไปกินร้านเป็ด เพราะยังเอือมอยู่เมื่อสองปีที่แล้วเรากินดึกมาก จึงไม่อร่อย
ผมแก่ลงทุกวัน เดินทางไกลๆ ได้น้อยลง ไปเมืองนอกต้องเดินมากเพราะบางแห่งรถเข้าไม่ถึง พอกลับบ้านจึงต้องนอนพักนาน