ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ชั่วโมงนี้ และวินาทีนี้ กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี คงไม่ต้องเสียเวลาหรือเสียภาษีอากรของคนทั้งประเทศไปค้นหาหรือคัดเลือก “สมาร์ท เลดี้ ไทยแลนด์ ผู้หญิงสวยด้วยความคิด” ให้เสียเวลาหรือเปลืองทรัพยากรของชาติอีกต่อไป เพราะผู้ที่เหมาะสมกับตำแหน่งนี้มากที่สุดได้ปรากฏให้เห็นเป็นตัวเป็นตนเรียบร้อยแล้ว ยิ่งถ้าหากถาม “คนเสื้อแดง” ซึ่งเป็นเสียงส่วนใหญ่ของประเทศด้วยแล้ว ก็ยิ่งมีมติเอกฉันท์โดยพร้อมเพรียงกัน
แน่นอน ผู้หญิงสวยด้วยความคิดที่สมควรได้รับตำแหน่งสมาร์ท เลดี้ คนดีของคนเสื้อแดงไปครองจะเป็นใครเสียไม่ได้นอกเสียจาก 3 อนงค์นางที่มีชื่อว่า “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร อั้ม เนโกะและใบเตย อาร์สยาม”
เป็น “ปู-ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ที่แม้จะไม่เคยได้แสดงให้เห็นถึงความสามารถสมกับความเป็นนายกรัฐมนตรี แถมยังสำแดงความเลอะเทอะในการพูดจาที่สะท้อนให้เห็นถึงรอยหยักในสมอง แต่คนเสื้อแดงก็ยังคงรักและเทิดทูนสมาร์ทเลดี้ผู้นี้อย่างไม่เสื่อมคลาย
เป็น “อั้ม เนโกะ” นักศึกษาข้ามเพศแห่งคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ ซึ่งสร้างปรากฏการณ์สะท้านต่อมใต้สมองด้วยโปสเตอร์รณรงค์ปฏิเสธการแต่งชุดนักศึกษาในท่วงทำนองของการเสพสังวาส เพราะวันนี้เธอไม่ใช่แค่เพียงขวัญใจของนักวิชาการและนักศึกษาเสื้อแดงในและนอกรั้วแม่โดมเท่านั้น หากยังเป็นสมาร์ทเลดี้ของคนเสื้อแดงสายไม่เอาสถาบันอีกต่างหาก
และเป็น “ใบเตย อาร์สยาม” เจ้าของสมญานาม “สั้นเสมอหู” ที่วันนี้เธอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบานว่า ได้เดินทางไปร้องเพลงกล่อมและกินข้าวร่วมกับนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรในต่างประเทศถึง 2 ครั้ง 2 ครา ด้วยค่าตัวครั้งละ 5 แสน แถมด้วยกระเป๋าแบรนด์เนม และส่วนลดซื้อบ้านราคา 20 ล้านจากเอสซีแอสเสท ซึ่งต้องยอมรับว่า เธอเป็นเพียงคนไม่กี่คนในประเทศนี้ที่สามารถดูดเงินในกระเป๋าส่วนตัวของนักโทษชายทักษิณได้ มิหนำซ้ำถ้าเทียบกับ นักการเมือง ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ที่เดินทางไปเลียแข้งเลียขาเพื่อขอตำแหน่งแต่ไม่ยอมรับแล้ว ก็ต้องยกนิ้วให้เธอเป็นสมาร์ทเลดี้อย่างไม่มีข้อสงสัย
**ปู ยิ่งลักษณ์ นางฉลาด สมาร์ทเลดี้ตัวแม่
กล่าวสำหรับโครงการ “สมาร์ท เลดี้ ไทยแลนด์ ผู้หญิงสวยด้วยความคิด” นั้น เป็นโครงการที่ใช้เงินภาษีอากรประชาชนซึ่งมี “กองทุนพัฒนาบทบาทสตรี” เป็นหน่วยงานต้นเรื่อง โดยเชิญชวนสตรีอายุตั้งแต่ 18-35 ปีจากทั่วประเทศ เพื่อรับการอบรมและมีการแข่งขันเพื่อคัดเหลือให้เหลือ 12 คน และเหลือ 1 คนในท้ายที่สุด
ทั้งนี้ ในช่วง 12 คนสุดท้ายจะมีการถ่ายทอดผ่านรายการทางทรูวิชั่นส์ในลักษณะของเรียลิตี้ ซึ่งผู้ผ่านการคัดเลือกจะเข้ามาอยู่ในบ้านสมาร์ทเลดี้เป็นเวลา 1 เดือนเต็มๆ เพื่อเรียนรู้ อบรม ฝึกทักษะในด้านต่างๆ อย่างเข้มข้นเพื่อให้กลายสภาพเป็นผู้หญิงเก่ง
“เรามีความเชื่อว่าผู้หญิงไทยของเราทุกคนมีศักยภาพ และเราอยากดึงเอาศักยภาพของผู้หญิงออกมา ให้มีโอกาสได้ต่อยอดจากความคิดดี ๆ มากขึ้น และมีโอกาสเป็นผู้นำมากขึ้น ดังนั้นกองทุนพัฒนาบทบาทสตรี จึงได้คิดโครงการนี้ขึ้นมา ซึ่งความหมายและเจตนารมณ์ที่แท้จริงนั้น ไม่ได้หมายความว่าเราจะคัดเลือกผู้หญิงขึ้นมาอย่างเดียว แต่อยากให้มีกระบวนการเรียนรู้ซึ่งกันและกัน เพราะเราต้องมั่นใจว่าทุกคนมีดีอยู่ในตัว ก็อยู่ที่รัฐจะดึงเอาศักยภาพความเก่งที่มีอยู่ในตัวของแต่ละคนออกมาอย่างไรต่างหาก ถ้าดึงความเก่งมาใช้ในทางที่ถูกต้อง และเรียนรู้ประสบการณ์ควบคู่กันไป เราก็จะได้บุคลลากรที่ดีของประเทศขึ้นมา ดังนั้นคำว่าสมาร์ทเลดี้ผู้หญิงสวยด้วยความคิดนี้ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นคนที่หน้าตาสวย เรียนเก่ง พูดเก่ง แต่เราอยากได้สตรีที่มีความคิดที่ดี มีน้ำใจไมตรี คอยช่วยเหลือคนอื่นและเป็นคนที่มีความพยายามมุมานะบากบั่น เพื่อให้เกิดการพัฒนาประเทศ ตรงนี้ถือเป็นสิ่งสำคัญ ถ้าบอกว่าเก่งแต่ไม่ได้ช่วยเหลือกันเลย ไม่มีความโอบอ้อมอารี หรือไม่มีความพยายามต่าง ๆ
เราถึงอยากปลูกฝังค่านิยมของผู้หญิงไทยว่าเป็นผู้หญิงที่สวยด้วยความคิดมากกว่าการไปมองที่รูปร่างภายนอก หรือผลการเรียนอย่างเดียว แต่สิ่งที่อยากได้คือสวยจากข้างใน ซึ่งเชื่อว่าข้างในของทุกคนมีความดี ใสสะอาด มีความน่ารัก ซึ่งรัฐจะต้องช่วยกันดึงเอาศักยภาพออกมาให้ได้มากที่สุด ถ้าเรามีสตรีที่มีความสามารถมากขึ้น มีความคิดที่ถูกต้อง มีวิถีทางที่ดี สุดท้ายก็เป็นกำลังสำคัญของประเทศ เหมือนกับมีเพชรหนึ่งเม็ด ซึ่งเราอยากเห็นเพชรที่มีค่ามากขึ้น และไม่ใช่ตีราคาที่มูลค่าเพชร แต่เราอยากให้มองลึกไปข้างในว่าเพชรนี้กว่าจะได้มามีความยากอย่างไร และเพชรนี้จะอยู่ได้อย่างยั่งยืนอย่างไร ซึ่งเราต้องรักษาเพชรมีค่านี้ไว้ให้เป็นสมบัติชั่วลูกหลานของเรา และสร้างฐานของการเติบโตของประเทศต่อไป” นางสาวยิ่งลักษณ์อธิบายถึงจุดประสงค์ของโครงการสมาร์ทเลดี้
ทั้งนี้ ทันทีที่โครงการนี้ปรากฏสู่สายตาของสาธารณชนเสียงวิพากษ์วิจารณ์ก็ดังกระหึ่มทั้งแผ่นดินถึงการออกตัวชูโรงโครงการนี้ของนายกฯ ยิ่งลักษณ์ว่า เป็นโครงการที่ต้องการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ๆ ให้แก่ “คนที่คุณก็รู้ว่าใคร” หลังจากต้องติดลบกับภาพลักษณ์ของคำว่า “อีโง่” ติดอยู่บนหน้าผากจนยากที่จะเลือนหาย
แต่จะอย่างไรก็ตาม นั่นไม่ใช่เรื่องสำคัญเมื่อเทียบกับคำถามที่ว่า ใครคือผู้ที่สมควรจะได้รับตำแหน่ง “สมาร์ทเลดี้” บ้าง
แน่นอน ผู้หญิงคนแรกที่เหมาะสมด้วยประการทั้งปวงก็คงหนีไม่พ้นนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีของไทย และไม่ใช่สมาร์ทเลดี้แบบธรรมดาๆ เท่านั้น หากยังเป็นสมาร์ทเลดี้ระดับตำนานอีกต่างหาก
ยิ่งถ้าไปถามคนเสื้อแดง ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของบ้านนี้เมืองนี้ด้วยแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง
ก็จะมีใครเล่าให้โลกใบนี้สามารถเป็นนายกรัฐมนตรีทั้งๆ ที่กระโดดลงมาเล่นการเมืองเพียงแค่ 49 วัน กระทั่งกลายเป็นนายกรัฐมนตรีหญิงคนแรกของประเทศไทย แถมยังสามารถรั้งตำแหน่งรัฐมนตรีว่าการกระทรวงกลาโหมหญิงคนแรกของประเทศไทยพ่วงอีกตำแหน่ง ทำเอา “อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ที่เล่นการเมืองมาทั้งชีวิต พร้อมทั้งสร้างภาพลักษณ์และประวัติทางการเมืองมาอย่างยาวนานถึงกับต้องอายม้วนต้วนไปเลยทีเดียว
ที่เด็ดไปกว่านั้นก็คือ กว่า 2 ปีที่ผ่านมาในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี นางสาวยิ่งลักษณ์ยังสามารถกุมหัวใจหรืออาจจะใช้คำว่า “จูงจมูก” คนเสื้อแดงเอาไว้ได้อย่างเบ็ดเสร็จเด็ดขาด ถึงขนาดเทิดทูนเอาไว้ชนิดริ้นไม่ให้ไต่ไรไม่ให้ตอม ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว นอกจากความสวย กว่า 2 ปีของการเป็นนายกรัฐมนตรีของประเทศไทย นายกฯ ยิ่งลักษณ์มิได้สร้างผลงานอันน่าจดจำและเป็นคุณูปการแก่ชาติบ้านเมืองให้เห็น
เปิดศักราชในเก้าอี้นายกรัฐมนตรี คนไทยก็ต้องทุกข์ระทมกับมหาอุทกภัยในปี 2554 สร้างความพินาศฉิบหายให้ชีวิตและทรัพย์สิน ตลอดรวมถึงเศรษฐกิจของประเทศอย่างประมาณค่ามิได้ จากนั้น นายกฯ ยิ่งลักษณ์ก็สวมวิญญา “เลดี้กูกู้” ทุบสถิติการกู้เงินหรือการสร้างภาวะหนี้สินให้กับแผ่นดินสูงสุดในประวัติศาสตร์ชาติไทยด้วยการกู้เงินก้อนมหึมหา 2 ก้อน
ก้อนแรกเป็นการออกพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อวางระบบบริหารจัดการน้ำและสร้างอนาคตของประเทศ พ.ศ. 2555 มูลค่า 3.5 แสนล้านบาท ซึ่งผ่านการรับรองจากรัฐสภามีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2555 แต่จนแล้วจนรอดคนไทยก็ยังไม่เห็นอะไรที่เป็นรูปธรรมจากการกู้เงินฉุกเฉินก้อนนี้
ก้อนที่สองเป็นการออกร่าง พ.ร.บ.ให้อำนาจกระทรวงการคลังกู้เงินเพื่อพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านคมนาคมขนส่งของประเทศ พ.ศ. …. วงเงินไม่เกิน 2 ล้านล้านบาท ซึ่งขณะนี้อยู่ระหว่างการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร
นอกจากนี้ ผลงานอันโดดเด่นที่คนไทยจำได้ดีก็คือ การเดินทางไปต่างประเทศอย่างถี่ยิบตลอดช่วงระยะเวลากว่า 2 ปีที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรี ซึ่งจากการรวบรวมข้อมูลพบว่า นับตั้งแต่เป็นนายกรัฐมนตรีคือในช่วงระหว่างปี 2554-2556 นางสาวยิ่งลักษณ์เดินทางไปต่างประเทศมาแล้วถึง 52 ครั้ง ใน 41 ประเทศ และการเดินทางไปต่างประเทศแต่ละครั้งก็มิได้เคยมีข้อมูลจากหน่วยงานใดๆ ออกมาให้เห็นเลยว่า ประสบความสำเร็จหรือเกิดประโยชน์กับประเทศไทยในด้านไหนบ้าง
ซ้ำร้าย หลายต่อหลายครั้งการเดินทางไปต่างประเทศยังส่อเจตนาที่จะ หลบ เลี่ยงหรือหลบหนีการตัดสินใจสำคัญๆ ให้บ้านเมืองอีกต่างหาก หรือไม่เช่นนั้นก็เป็นการกันตัวเองในกรณีที่คณะรัฐมนตรีต้องตัดสินใจในทางกฎหมายอันสุ่มเสี่ยงที่จะกระทบกระเทือนต่อเก้าอี้นายกรัฐมนตรีของเธอ
ถามว่า ในขณะที่บ้านเมืองเผชิญกับปัญหาสารพัดสารพัน นายกฯ ยิ่งลักษณ์ได้แสดงศักยภาพอะไรให้ได้เห็นบ้าง ไม่ว่ากรณีภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจที่ทำให้คนไทยต้องเผชิญกับภาวะข้าวยากหมากแพง อันเป็นผลมาจาก แก๊สหุงต้มภาคครัวเรือนขึ้นราคา ปัญหาไข่ไก่ราคาแพง จนพ่อค้าแม่ค้าปรับราคาขายกันจ้าละหวั่น หรือกรณีการชุมนุมของเกษตรกรชาวสวนยางที่เดือดร้อนจากทั่วประเทศ ทั้งกรณีทุจริตจากโครงการรับจำนำข้าวที่มีข้อมูลฉาวโฉ่ออกมาให้เห็นเป็นระยะๆ ก็ไม่เคยมีใครเห็นว่า นายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์เข้ามาแก้ปัญหาประการใด
แต่สิ่งที่คนไทยได้เห็นก็คือ เมื่อใดก็ตามที่ว่างเป็นต้องเดินทางไปต่างประเทศ
นอกจากนั้น ในขณะที่รัฐบาลเพื่อไทยประกาศตัวว่าเป็นรัฐบาลประชาธิปไตย แต่ตัวนายกรัฐมนตรีเองกลับให้ความสำคัญกับการประชุมสภาผู้แทนราษฎรน้อยมาก ร้ายกว่านั้นก็คือ นายกฯ ยิ่งลักษณ์ยังสร้างความอับอายขายขี้หน้าประชาชีไปทั่วทั้งโลก ด้วยการใช้ภาษา ทั้งภาษาไทยและภาษาอังกฤษแบบผิดๆ ถูกๆ
แต่นอกจากคนเสื้อแดงจะไม่โวยวายแล้ว ยังเคารพเทิดทูนอีกต่างหาก
มีที่ไหนที่รัฐบาลขึ้นค่าก๊าซหุงต้มภาคครัวเรือนจนทำให้ข้าวยากหมากแพงไปทั้งแผ่นดิน คนเสื้อแดงยังรวมตัวกันเพื่อสนับให้รัฐบาลสร้างความทุกข์ยากให้กับตนเองหน้าตาเฉย
กระนั้นก็ดี ใช่ว่านางสาวยิ่งลักษณ์จะไม่ได้สร้างผลงานให้เห็นเอาเสียเลย เพราะผลงานน้ำจิ้มๆ ที่เธอใช้ลีลา Women’s Touch เมื่อครั้งประธานาธิบดีบารัค โอบามามาเยือนประเทศไทย ก็สร้างชื่อให้ประเทศไทยดังกระหึ่มบนเวทีโลกเพียงพอแล้ว
ถามว่า มีนายกรัฐมนตรีของไทยคนไหนทำได้อย่างเธอบ้าง
แล้วอย่างนี้จะไม่ให้นางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรเป็นสมาร์ทเลดี้ตัวแม่ระดับตำนานที่กองทุนพัฒนาบทบาทสตรีสมควรมอบรางวัลอันทรงเกียรตินี้ให้ได้อย่างไร
**อั้ม เนโกะ สมาร์ทเลดี้ไม่เอาสถาบัน
นอกจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรีแล้ว สมาร์ทเลดี้ตัวแม่คนที่สองที่ไม่สมควรพลาดรางวัลนี้ด้วยประการทั้งปวงก็คือ “นายศรัณย์ ฉุยฉาย” หรือที่รู้จักกันในชื่อของ “อั้ม เนโกะ” นักศึกษาข้ามเพศแห่งคณะศิลปศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์
เพราะวันนี้ เธอได้รับการยกย่องให้กลายเป็นสมาร์ทเลดี้ของคนเสื้อแดงชนิดมาแรงแซงทางโค้ง “เจ๊ธิดาแดง-ธิดา ถาวรเศรษฐ” ขวัญใจของ “นพ.เหวง โตจิราการ” ไปไกลหลายช่วงตัวทีเดียว
เพียงแค่ไอเดียบรรเจิดจากการรณรงค์ต่อต้านการแต่งชุดนักศึกษาด้วยท่วงท่าและลีลาการเสพสังวาสของเธอก็กินขาดหลายขุมชนิดที่ “สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล” นักวิชาการเสื้อแดงแห่งคณะศิลปศาสตร์ มธ.ถึงกับชื่นชมโสมนัสไม่ขาดปากมาตั้งแต่ครั้งที่เธอปีนป่ายโพสต์ท่าถ่ายรูปคู่กับนายปรีดี พนมยงค์ ผู้ประศาสน์การมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เสียด้วยซ้ำไป
กระนั้นก็ดี หากตรวจสอบข้อมูลย้อนหลังก็จะเห็นว่า ความคิดของอั้ม เนโกะ ไม่ได้มีเพียงแค่เรื่องการแต่งชุดนักศึกษาเท่านั้น หากแต่ยังก้าวล่วงไปถึงเรื่องความคิดที่มีต่อสถาบันอีกต่างหาก ซึ่งเมื่อตรวจดูความคิดความอ่านของเธอในเฟซบุ๊ก Aum Neko ด้วยแล้วก็ยิ่งเห็นร่องรอยของเรื่องดังกล่าวได้ชัดเจน
ยกตัวอย่างเช่น การที่เธอโพสต์ในเฟซบุ๊ก Major Cinepiex Group (Thailand) ด้วยข้อความว่า.... “ขอร้องเรียนอีกเรื่องนะคะ ดิฉันจะพึงพอใจต่อเมเจอร์มากกว่านี้ เอาเพลงxxxx ออกไปจากการบังคับให้มายืนก่อนดูภาพยนตร์นะคะ ความรัก ความรู้สึกมันบังคับกันไม่ได้หรอกนะคะ ดิฉันขี้เกียจวิ่งไปห้องน้ำทุกครั้งที่เปิดเพลง” ซึ่งเธอก็แก้ตัวเอาไว้ว่า “เป็นเรื่องนานมาแล้ว และเป็นการโพสต์แสดงความคิดเห็น ไม่ได้หมิ่นตัวบุคคล”
หรือยกตัวอย่างเช่นกรณีโปสเตอร์ท่าร่วมเพศรณรงค์ต่อต้านการใส่ชุดนักศึกษาที่เธอแสดงความเห็นเอาไว้ในเฟซบุ๊กเช่นกันว่า “ขณะนี้ศูนย์ รปภ.ธรรมศาสตร์ รังสิต ออกคำสั่งรื้อโปสเตอร์ออกทั้ง ม.แล้วคะ พร้อมติดตามหาว่าใครแปะ ขอด่าหน่อยค่ะ อีโลกประชาธิปไตย อีดินแดนเสรีภาพถุยย ถ้ากูแปะภาพชวนคนไปวิ่งเทิดพระเกียรติมึงคงไม่กล้าดึงกันสินะคะ สังคมตัดจริต.....”
เรียกว่า ชัดเจนและแสดงถึงความเป็นสมาร์ทเลดี้สายไม่เอาสถาบันชัดเจน
นอกจากนี้ เมื่อนับรวมกับสถานการณ์ล่าสุด ที่ น.ส.พรทิพา สุพัฒนุกุล หรือฟ้า อายุ 41 ปี เจ้าของรายการ “เบสต์ออฟยัวร์ไลฟ์” ออกอากาศทางช่อง 13 สยามไทย สถานีโทรทัศน์ดาวเทียมเสียงประชาชน แจ้งความดำเนินคดีกับเธอที่กองปราบปรามด้วยแล้ว ก็ยิ่งชัดเจน เพราะเป็นการแจ้งความดำเนินคดีในความผิดฐานหมิ่นเบื้องสูง และความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์
ทั้งนี้ น.ส.พรทิพาได้นำคลิปภาพและเสียงที่มีการสัมภาษณ์กับทางรายการโทรทัศน์ดังกล่าว มามอบให้พนักงานสอบสวนไว้เป็นหลักฐาน รวมทั้งข้อความที่โพสต์ในเฟซบุ๊กส่วนตัวของ “Aum Neko” ด้วย
“เหตุต้องเข้าแจ้งความดำเนินคดีในครั้งนี้ เนื่องจากสองเดือนที่แล้ว ตนได้สัมภาษณ์นักศึกษามหาวิทยาลัยดังกล่าว เพื่อสอบถามความคิดเห็นเกี่ยวกับสถานการณ์ทางการเมืองในปัจจุบัน รวมถึงปัญหาสภาพเศรษฐกิจที่มีผลกระทบต่อตัวนักศึกษาตามมหาวิทยาลัย โดยสอบถามนักศึกษาประมาณ 20 คน ทุกคนก็ตอบคำถามตรงตามประเด็นที่รายการตั้งไว้ มีเพียงนายศรัณย์ หรือ “อั้ม เนโกะ” คนเดียวที่พูดนอกประเด็นไปกล่าวพาดพิงถึงสถาบันเบื้องสูงด้วยถ้อยคำที่รุนแรง เมื่อได้ฟัง นายศรัณย์ ตนเองกับทีมงานถึงกับตกใจ จึงถามไปว่าทำไมไม่ไหว้ ทำไมไม่ให้ความเคารพ แต่เขาตอบกลับมาว่าขนาดแม่ตัวเองเขายังไม่ไหว้เลย ซึ่งเทปที่สัมภาษณ์ดังกล่าวไม่สามารถที่จะนำไปออกอากาศเผยแพร่ทางรายการได้ จึงได้เพียงแต่เก็บคลิปภาพและเสียงดังกล่าวไว้ ต่อมาเมื่อพบพฤติการณ์ของนายศรัณย์ ที่ยังคงเคลื่อนไหวเรียกร้องให้เพื่อนนักศึกษากระทำการซึ่งเข้าข่ายความผิดดังกล่าวเพิ่มขึ้นอีกจึงเห็นว่าคงจะนิ่งเฉยต่อไปไม่ได้แล้วจึงเข้าแจ้งความดำเนินคดีกับ “อั้ม เนโกะ”น.ส.พรทิพาให้เหตุผลที่ต้องแจ้งความเพื่อเอาผิดอั้ม เนโกะ
ขณะที่นักศึกษาข้ามเพศผู้นี้ก็ดูเหมือนจะไม่ยี่หระด้วยการให้สัมภาษณ์ว่า
“ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นการสัมภาษณ์ของกลุ่มผู้กองปูเค็ม แล้วได้พูดถึงมาตรา112 แต่ตอนนั้นไม่ได้พูดพาดพิงถึงตัวบุคคล แต่อาจจะมีการตีความกันเอง และพอมีกระแสต่อต้านตนเอง จึงกลายเป็นประเด็น และหยิบยกเรื่องนี้มา การที่มีคนออกมาแจ้งความในเรื่องนี้ น่าจะเป็นการกระทำที่เกินเหตุ เหมือนใช้ข้อกฎหมายมาเล่น และปิดปากคนอื่น อย่างไรก็ตาม ยังไม่อยากจะพูดอะไรมาก เพราะต้องขอปรึกษาอาจารย์ทางด้านกฎหมายก่อน”
ดังนั้น การที่ยกตำแหน่งสมาร์ทเลดี้ให้กับอั้ม เนโกะ เป็นรายที่ 2 จึงเหมาะสมด้วยประการทั้งปวง
**“ใบเตย อาร์สยาม” สมาร์ทเลดี้ “เสมอหู”
และปิดท้ายกับสมาร์ทเลดี้รายที่ 3 ซึ่งวินาทีนี้ไม่มีใครดังเกินเธอด้วยการออกมายอมรับว่า ไปร้องเพลงกล่อมนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรมาแล้ว 2 ครั้ง ได้เงินมา 1 ล้านบาท พร้อมกระเป๋าแบรนด์เนม ช็อปปิ้งดินเนอร์ ส่วนลดบ้านในราคาพิเศษที่แม้ไม่ซื้อให้แต่ก็ยอมรับว่าลดราคาเยอะไม่น้อย
และเธอผู้นี้จะเป็นใครเสียไม่ได้นอกจากนักร้องสาวจากค่ายอาร์สยามเจ้าของฉายา “สั้นเสมอหู” อย่าง “ใบเตย สุธีวัน ทวีสิน” หวานใจของ “ดีเจแมน พัฒนพล กุญชร ณ อยุธยา” แฟนคนปัจจุบันที่ออกมาให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้แบบไม่มีกั๊ก และเป็นสาวหนึ่งเดียวที่ยอมรับอย่างตรงไปตรงมาว่าไปจริงรับจริง แต่ไม่ได้คิดอะไร แถมยังได้เงินจากงานจ้างครั้งนี้ในตัวเลขที่ต้องบอกว่าถ้าสมัยเธอยังไม่ดัง ครั้งละ 5 แสน คงไม่ใช่นักร้องธรรมดาๆ ที่จะนิ่งเฉยเลยผ่านไปได้เสียแล้ว
เหตุที่ต้องยกให้ใบเตยเป็นสมาร์ทเลดี้รายที่ 3 ก็เพราะเธอยอมรับอย่างหน้าชื่นตาบาน ซึ่งต่างกับนักการเมืองหรือข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ของประเทศไทยหลายต่อหลายคนที่เดินทางไปเลียแข้งเลียขาเพื่อขอตำแหน่งแห่งหนพร้อมกับคำมั่นสัญญาว่าจะทำนั่นนำนี่ และเมื่อกลับมาจากต่างประเทศ ส่วนใหญ่ก็มักได้ตำแหน่งที่ปรารถนาจริงๆ แต่กลับไม่มีใครยอมรับว่า ไปพบนักโทษชายหนีคดีทักษิณ ชินวัตรแม้แต่คนเดียว
แถมหนูใบเตยแน่นอกยังเป็นคนไทยไม่กี่คนที่สามารถล้วงเงินออกมาจากกระเป๋านักโทษชายหนีคดีได้อย่างง่ายดาย ทั้งๆ ที่ถ้าจะว่าไปแล้ว ไม่ใช่เรื่องง่ายที่นายใหญ่คนเสื้อแดงจะควักกระเป๋าเอาเงินส่วนตัวมาจ่ายให้เปล่าๆ ปลี้ๆ เพราะแม้แต่ภาษีจากการขายหุ้นชินคอร์ปก็ยังไม่ยอมจ่าย แต่เขายินดีควักจ่ายให้ “ใบเตย” อย่างเต็มหัวใจเพื่อแลกกับการระบายอารมณ์จากเสียงเพลงขับร้องโดยใบเตย และนั่งรับประทานอ่านร่วมกัน…
ที่เด็ดก็คือ การไปงานร้องเพลงรับจ้างของใบเตยครั้งนี้ แม้แต่ “โอ๊ค พานทองแท้ ชินวัตร” ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าทักษิณมีค่าใช้จ่ายให้ เช่นเดียวกับ “นายนพดล ปัทมะ” ทนายความส่วนตัวของทักษิณ ยังออกมาแก้ต่างแทนในเฟซบุ๊กว่าเงินที่จ่ายค่าจ้างให้ใบเตยนั้นไม่ใช่เงินทักษิณ แต่ทั้งหมดทั้งมวล ใบเตยเฉลยและบอกด้วยตัวเองแล้วว่าไปครั้งนี้ นอกจากได้ค่าจ้างแสนแพงมหาศาล ยังได้กระเป๋าแบรนด์เนม และค่าส่วนลดในการซื้อบ้านหลังละ 20 ล้านของเธอ
แต่ต้องบอกว่า เม็ดเงินที่จ่ายไปคุ้มแสนคุ้ม เพราะนอกจากจะได้ฟังเพลงเด็ดและรับประทานอาหารร่วมกันเป็นการส่วนตัวแล้ว หนูใบเตยเธอยังให้สัมภาษณ์ชื่มชนอีกต่างหากว่า “เป็นคนดีระดับหนึ่ง”
เรียกว่า คุ้มแสนคุ้มกับเม็ดเงินที่ต้องควักออกไปเพื่อการนี้
อย่างไรก็ตาม ต้องบอกว่าข่าวคราวของนายใหญ่คนเสื้อแดงกับดารานักร้องนั้นมีมาอย่างต่อเนื่อง และหากถ้ามองถึงสเปกหรือสรีระอันพึงประสงค์ของสาวๆในวงการบันเทิงที่อดีตนายกรัฐมนตรีผู้นี้ชื่นชอบ ก็ต้องใช้คำว่า แทบจะไม่เปลี่ยน
ก่อนหน้านี้ นักโทษชายหนีคดีมีข่าวกับ “ใหม่ เจริญปุระ” นักร้องสาวร็อกร่างอวบ เด็กในสังกัดของอากู๋ที่เคยบินไปร้องเพลงเต้นสุดแรงเกิดในงานเปิดสโมสรฟุตบอลแมนซิตี้ฯ ที่ทักษิณเคยซื้อไว้ แต่ในเรื่องความสัมพันธ์นั้น นักร้องสาวยืนยันว่าสนิทกันตั้งแต่รุ่นพ่อ และไม่เคยไปไหนมาไหนกันสองต่อสอง มีเพียงการบังเอิญไปเจอที่ห้างดังที่อังกฤษเท่านั้น
แต่สาวคนที่มีข่าวกับทักษิณ และต้องบอกว่า “คนสนิทต่างวัย” ที่รู้ใจทักษิณไปเสียหมด เวลาไปเยี่ยมหาต้องซื้อของอร่อยๆไปฝาก ชอบตีกอล์ฟเหมือนกัน ชอบฟังเพลงแนวเดียวกัน และเพราะการเจอกันในวันที่นักโทษชายทักษิณหมดซึ่งอำนาจ จึงทำให้ทักษิณเอ็นดู “ลีเดีย ศรัณย์รัชต์ วิสุทธิธาดา” อีกหนึ่งนักร้องในสังกัดของอากู๋มากเป็นพิเศษกว่าสาวคนอื่นๆ ซึ่งความสนิทสนมนี้เองทำให้ลีเดียตกเป็นเป้าของการวิพากษ์วิจารณ์ในเวลานั้น แม้ว่าจะคบหากับ “แมทธิว ดีน” อยู่ก็ตาม
อย่างไรก็ตามเมื่อวิเคราะห์สาวในสเปกของพ่อเสี่ยโอ๊คแล้ว หลายคนคงจะมีความเห็นตรงกันว่า มีลักษณะเด่นคล้ายๆกันคือ “เตี้ย อกตัน” เพราะจนกระทั่งมาถึงใบเตยก็ยังไม่ทิ้งแนวเดิม แม้กระทั่งนักการเมืองผู้หญิงที่ตกเป็นข่าวในทำนองเดียวกัน เพียงแต่ใบเตยอาจเป็นนักร้องลูกทุ่งคนแรกๆที่ได้ค่าดินเนอร์สูงมากหากเทียบกับดารานักร้องคนอื่นๆ เพราะไม่เคยปรากฏคือมีคำยืนยันว่า นักโทษชายหนีคดีได้ใช้เงินส่วนตัวในเรื่องนี้มาก่อน
สำหรับความสัมพันธ์อันลึกซึ้งนั้น นักร้องเจ้าของวลีฮิตแน่นอกยืนยันอย่างหนักแน่นว่าไปในฐานะนักร้องรับจ้าง และไปมาแล้วร่วม 2 ปี ไม่ได้มีอะไรเกินเลยไปกว่าที ขณะเดียวกันก็ยอมรับด้วยว่ามีความสนิทสนมจนถึงขั้นเรียก “พานทองแท้ ชินวัตร” ลูกชายทักษิณว่า “พี่โอ๊ค”
ดังนั้น ก็คงต้องตามดูกันต่อไปว่ารอบหน้าใบเตยจะได้ไปร้องเพลงอีกหรือไม่ ในวันที่เธออยากไปอีกเพราะเธอยืนยันว่าคือโลกทัศน์ใหม่ที่นอกจากทำงานแล้วยังมีความสุข แต่ที่แน่ๆ คือ วันนี้ คนเสื้อแดงที่ได้เปิดอ้อมอกรับ “ใบเตย อาร์สยาม” เอาไว้ในทำเนียบนักร้องสุดที่รักเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
ด้วยเหตุดังกล่าวจะผิดอะไรถ้าจะปรากฏชื่อใบเตย อาร์สยามเป็นหนึ่งใน สมาร์ทเลดี้ของกองทุนพัฒนาบทบาทสตรีอีกคนหนึ่งถัดจากนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตรและอั้ม เนโกะ เพราะวิธีการทำมาหากินของเธอนั้น สมาร์ทจริงๆ