ASTV ผู้จัดการรายวัน – แรงซื้อช่วงท้าย ดันหุ้นไทยพลิกบวก 18 จุด พอร์ตโบรกฯเข้าเก็บระดับ1พันล้านเป็นวันที่ 2 เช่นเดียวกับ “แนเชอรัล พาร์ค”ที่ยังโดนเทขายต่อเนื่อง หลัง “ประชา” ถูกพิพากษาจำคุก นักวิเคราะห์ชี้พบสัญญาณเงินหยุดไหลออก บาทแข็งแตะ31 บาท/เหรียญ Fund Flowไหลกลับ นักลงทุนกล้าเข้ามาซื้อ แต่ประเมินความผันผวนยังมีต่อ คาดปรับตัวขึ้นได้อีกไม่แรง เหตุแรงขายทำกำไรพร้อมทุบ
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (11ก.ย.) ดัชนียังผันผวนสลับไปมาทั้งแดนบวกและลบ สุดท้ายปิดที่ระดับ 1,411.18 จุด เพิ่มขึ้น 18.01 จุด หรือ 1.29% มูลค่าการซื้อขาย 44,182.62 ล้านบาท โดยมีจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,381.12 จุด ด้านสัดส่วนผู้ลงทุน ต่างชาติซื้อสุทธิ 3.34 พันล้านบาท บัญชีโบรกเกอร์ซื้อ 1.06 พันล้านบาท สถาบันในประเทศขาย 2.70 พันล้านบาท และรายย่อยขาย 1.71 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า หุ้นของ บมจ. แนเชอรัล พาร์ค (N-PARK)ยังคงเป็นอันดับของปริมาณหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากมีข่าวผู้ถือหุ้นใหญ่ นายประชา มาลีนนท์ ถูกศาลฯพิพากษาจำคุก 12 ปี ไม่รอลงอาญา แม้ทางบริษัทจะออกมาให้ข่าวว่า จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจก็ตาม โดยมีปริมาณการซื้อขายหุ้น 4,957,517,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 297.058 ล้านบาท และปิดที่ระดับ 0.06 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์ลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยผันผวนมาก ระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ 1,381.12 จุดและกลับขึ้นมาปิดบวกกว่า 18 จุด ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ในระดับ 31 บาทกว่าๆ จากก่อนหน้าหลุดไปอยู่ที่ 32 บาท ซึ่งทำให้เห็นสัญญาณว่าเงินทุนอาจชะลอในการไหลออก อีกทั้งทมี่ผ่านมาหุ้นไทยปรับฐานไปมาก จากแรงขาย เมื่อตลาดมีความเชื่อมั่นว่าแรงขายหยุดลง นักลงทุนที่รอซื้อก็กล้าเข้ามาไล่ซื้อดังนั้นการที่ดัชนีปิดเหนือ 1,411 จุดได้ ก็มีโอกาสที่จะเห็นในระดับ 1,420-1450 จุดแต่อาจต้องใช้เวลา
นอกจากนี้ จะเห็นว่าหุ้นภูมิภาคก็ปรับตัวพิ่มขึ้น เช่น อินโดนีเซีย จากที่ติดลบก็ขึ้นกลับมาปิดเสมอตัว เมื่อเปรียบเทียบกับวันก่อน ขณะที่ฟิลิปปินส์ ก็ปิดบวก สะท้อนว่า น่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในภูมิภาค เพราะก่อนหน้านี้ราคาหุ้นลงไปมาก และทำให้หลายตัวราคาถูกลงมา อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงต้องติดตามการประชุมของสหรัฐในสัปดาห์หน้าเรื่องมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ซึ่งแม้ว่าตลาดจะรับรู้ข่าวไปมากแล้วก่อนหน้า แต่ก็ต้องมาดูว่าเม็ดเงินที่จะลดจะเป็นอย่างไร หากลดน้อยกว่าคาดก็เป็นปัจจัยบวก เพราะสะท้อนว่าสภาพคล่องยังไม่ได้หายไปจากตลาดหุ้น
ด้านนายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนบวกลบเกือบ 20 จุด สถานการณ์ยังคงเหมือนวันก่อน โดยเป็นผลมาจากแรงขายทำกำไรหลังจากดัชนีปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง า ขณะที่นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อในหุ้นกลุ่มแบงค์และพร็อพเพอร์ตี้ที่ปรับตัวลดลงในช่วงก่อนหน้านี้ แต่มีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวในลักษณะไซต์เวย์
"ปัจจัยที่เข้ามาส่งผลกระทบในแง่ของการลงทุนมองว่าเรื่องของค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า โดยแรงซื้อจากต่างชาติยังคงมีอยู่ หรือถ้ามีขายออกมาไม่มาก ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศที่ผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและเอเชียนั้น มาจากตัวเลขเศรษฐกิจของจีนประกาศตัวเลขส่งออกมาดี และตัวเลขภาคอุตสาหกรรมออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนจึงมีความมั่นใจต่อการเจริญเติบโตขอฝั่งเอเชีย
ดังนั้น แนวโน้มดัชนีวันนี้(12ก.ย.) ดัชนีอาจจะมีการแกว่งตัวขึ้นไปได้ต่อ แต่คงไม่มาก นักลงทุนยังต้องติดตามสถานการณ์ซีเรียอย่างต่อเนื่อง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น ตัวเลขการว่างงานในวันพฤหัสบดี รวมถึงเรื่องของค่าเงินบาท แนวรับ 1,375 จุด และแนวต้าน 1,410 จุด
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (11ก.ย.) ดัชนียังผันผวนสลับไปมาทั้งแดนบวกและลบ สุดท้ายปิดที่ระดับ 1,411.18 จุด เพิ่มขึ้น 18.01 จุด หรือ 1.29% มูลค่าการซื้อขาย 44,182.62 ล้านบาท โดยมีจุดต่ำสุดของวันที่ระดับ 1,381.12 จุด ด้านสัดส่วนผู้ลงทุน ต่างชาติซื้อสุทธิ 3.34 พันล้านบาท บัญชีโบรกเกอร์ซื้อ 1.06 พันล้านบาท สถาบันในประเทศขาย 2.70 พันล้านบาท และรายย่อยขาย 1.71 พันล้านบาท
ขณะเดียวกัน ยังพบว่า หุ้นของ บมจ. แนเชอรัล พาร์ค (N-PARK)ยังคงเป็นอันดับของปริมาณหุ้นที่มีการซื้อขายสูงสุดเป็นวันที่ 2 ติดต่อกัน หลังจากมีข่าวผู้ถือหุ้นใหญ่ นายประชา มาลีนนท์ ถูกศาลฯพิพากษาจำคุก 12 ปี ไม่รอลงอาญา แม้ทางบริษัทจะออกมาให้ข่าวว่า จะไม่มีผลกระทบต่อการดำเนินธุรกิจก็ตาม โดยมีปริมาณการซื้อขายหุ้น 4,957,517,500 หุ้น คิดเป็นมูลค่า 297.058 ล้านบาท และปิดที่ระดับ 0.06 บาท ไม่มีการเปลี่ยนแปลง
นายอดิศักดิ์ ผู้พิพัฒน์หิรัญกุล นักกลยุทธ์ลงทุน บล.ธนชาต กล่าวว่า ดัชนีหุ้นไทยผันผวนมาก ระหว่างวันลงไปต่ำสุดที่ 1,381.12 จุดและกลับขึ้นมาปิดบวกกว่า 18 จุด ส่วนหนึ่งมาจากค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นมาอยู่ในระดับ 31 บาทกว่าๆ จากก่อนหน้าหลุดไปอยู่ที่ 32 บาท ซึ่งทำให้เห็นสัญญาณว่าเงินทุนอาจชะลอในการไหลออก อีกทั้งทมี่ผ่านมาหุ้นไทยปรับฐานไปมาก จากแรงขาย เมื่อตลาดมีความเชื่อมั่นว่าแรงขายหยุดลง นักลงทุนที่รอซื้อก็กล้าเข้ามาไล่ซื้อดังนั้นการที่ดัชนีปิดเหนือ 1,411 จุดได้ ก็มีโอกาสที่จะเห็นในระดับ 1,420-1450 จุดแต่อาจต้องใช้เวลา
นอกจากนี้ จะเห็นว่าหุ้นภูมิภาคก็ปรับตัวพิ่มขึ้น เช่น อินโดนีเซีย จากที่ติดลบก็ขึ้นกลับมาปิดเสมอตัว เมื่อเปรียบเทียบกับวันก่อน ขณะที่ฟิลิปปินส์ ก็ปิดบวก สะท้อนว่า น่าจะมีแรงซื้อกลับเข้ามาในภูมิภาค เพราะก่อนหน้านี้ราคาหุ้นลงไปมาก และทำให้หลายตัวราคาถูกลงมา อย่างไรก็ตาม ก็ยังคงต้องติดตามการประชุมของสหรัฐในสัปดาห์หน้าเรื่องมาตรการผ่อนคลายทางการเงิน (QE) ซึ่งแม้ว่าตลาดจะรับรู้ข่าวไปมากแล้วก่อนหน้า แต่ก็ต้องมาดูว่าเม็ดเงินที่จะลดจะเป็นอย่างไร หากลดน้อยกว่าคาดก็เป็นปัจจัยบวก เพราะสะท้อนว่าสภาพคล่องยังไม่ได้หายไปจากตลาดหุ้น
ด้านนายธนเดช รังษีธนานนท์ ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.กรุงศรี กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวผันผวนบวกลบเกือบ 20 จุด สถานการณ์ยังคงเหมือนวันก่อน โดยเป็นผลมาจากแรงขายทำกำไรหลังจากดัชนีปรับตัวขึ้นค่อนข้างแรง า ขณะที่นักลงทุนกลับเข้ามาซื้อในหุ้นกลุ่มแบงค์และพร็อพเพอร์ตี้ที่ปรับตัวลดลงในช่วงก่อนหน้านี้ แต่มีแรงขายหุ้นกลุ่มพลังงาน ส่งผลให้ดัชนีแกว่งตัวในลักษณะไซต์เวย์
"ปัจจัยที่เข้ามาส่งผลกระทบในแง่ของการลงทุนมองว่าเรื่องของค่าเงินบาทที่ปรับตัวแข็งค่า โดยแรงซื้อจากต่างชาติยังคงมีอยู่ หรือถ้ามีขายออกมาไม่มาก ส่วนปัจจัยภายนอกประเทศที่ผลักดันให้ดัชนีปรับตัวเพิ่มขึ้นทั้งในประเทศและเอเชียนั้น มาจากตัวเลขเศรษฐกิจของจีนประกาศตัวเลขส่งออกมาดี และตัวเลขภาคอุตสาหกรรมออกมาดีกว่าที่คาดการณ์ไว้ นักลงทุนจึงมีความมั่นใจต่อการเจริญเติบโตขอฝั่งเอเชีย
ดังนั้น แนวโน้มดัชนีวันนี้(12ก.ย.) ดัชนีอาจจะมีการแกว่งตัวขึ้นไปได้ต่อ แต่คงไม่มาก นักลงทุนยังต้องติดตามสถานการณ์ซีเรียอย่างต่อเนื่อง และตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐ เช่น ตัวเลขการว่างงานในวันพฤหัสบดี รวมถึงเรื่องของค่าเงินบาท แนวรับ 1,375 จุด และแนวต้าน 1,410 จุด