ASTVผู้จัดการรายวัน - บ้านปูฟันธงราคาถ่านหินใกล้จุดต่ำสุดแล้วแต่อาจลากยาวถึงปีหน้า ล่าสุดอยู่ที่ 78-79 เหรียญสหรัฐ/ตัน หลังเหมืองต้นทุนสูงทยอยลดผลิตหรือเลิกไป ดันราคาเฉลี่ยปีหน้าขยับอยู่ที่ 82 เหรียญสหรัฐ/ตัน แย้มเจรจาซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศเสริมรายได้
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแนวโน้มราคาถ่านหินว่า ขณะนี้ราคาถ่านหินใกล้จุดต่ำสุดแล้ว แต่อาจลากยาวไปถึงปีหน้าได้ โดยราคาขายถ่านหินระยะสั้นขณะนี้อยู่ที่ 78-79 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากตลาดมีแรงกดดันจากซัปพลายระดับหนึ่ง แต่ก็เริ่มเห็นว่ามีเหมืองถ่านหินขนาดเล็กหรือเหมืองที่มีต้นทุนการผลิตสูงต้องลดกำลังการผลิตหรือหยุดไป ทำให้ประเมินว่าปีหน้าราคาถ่านหินจะฟื้นตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 82 เหรียญสหรัฐ/ตัน
สำหรับกรณีที่สหรัฐฯจะโจมตีทำสงครามกับซีเรียทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นนั้น เชื่อว่าไม่มีผลดันราคาถ่านหินให้สูงขึ้น เนื่องจากสิ่งที่กังวลเป็นเรื่องการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางมายังประเทศต่างๆ ไม่ใช่เกิดจากปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน
นายชนินท์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯยังคงเน้นธุรกิจหลัก คือ ถ่านหินและไฟฟ้า โดยจะไม่หันไปเสี่ยงธุรกิจก๊าซฯ หรือพลังงานทดแทนในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ชำนาญ และพลังงานหมุนเวียนนั้นมีขนาดเล็ก สร้างรายได้กลับมาเข้ามาน้อย โดยช่วงนี้บริษัทฯจะหันมาลงทุนธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีสัดส่วนกำไรสุทธิมาจากธุรกิจไฟฟ้าคิดเป็น 40%ของกำไรทั้งหมดภายในปี 2558-2559 หลังจากโรงไฟฟ้าหงสา ที่สปป.ลาวแล้วเสร็จ จากปัจจุบันธุรกิจไฟฟ้ามีสัดส่วนเพียง 20%ของกำไรสุทธิ และธุรกิจถ่านหินมีสัดส่วนกำไรสูงถึง 80% โดยระหว่างนี้มีการเข้าไปศึกษาการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทคงนโยบายลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตลง โดยปีนี้คาดว่าเหมืองที่อินโดนีเซียจะลดต้นทุนการผลิตลง 10%หรือคิดเป็น 7 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาต้นทุนถ่านหินอยู่ที่ 63 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเหมืองที่ออสเตรเลียจะลดต้นทุนการผลิตลง 5-7 % หรือประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งแนวโน้มรัฐบาลออสเตรเลียใหม่จะยกเลิกการจัดเก็บภาษีคาร์บอนจะทำให้ต้นทุนของบริษัทฯลดลงอีก 1-2 เหรียญ/ตัน และยังเป็นการกระตุ้นการใช้ถ่านหินในประเทศมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้หลายอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระภาษีคาร์บอน ทำให้ต้องชะลอการผลิตไป หรือหยุดผลิตไป กลับมาผลิตได้อีกครั้ง
ส่วนกรณีที่ค่าเงินรูปีของอินเดียที่อ่อนตัวลงมาก ทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินนำเข้าจากอินเดียลดลงบ้าง ซึ่งจะกระทบบริษัทฯไม่มากนัก เนื่องจากอินเดียนำเข้าถ่านหินคุณภาพต่ำ ทำให้ซัปพลายถ่านหินคุณภาพต่ำหายไปบ้าง เชื่อว่าสุดท้ายอินเดียก็คงต้องปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและพลังงานเพื่อให้เศรษฐกิจพัฒนาต่อไปได้ โดยบ้านปูส่งออกถ่านหินไปอินเดียเพียง 3 ล้านตันคิดเป็น 9-10%ของจำนวนการส่งออกทั้งหมด 34 ล้านตัน ทั้งนี้ความต้องการใช้ถ่านหินในตลาดโลกอยู่ที่ 5-6 พันล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 2%ไปถึงปี 2563 โดยจีนมีการผลิตถ่านหินเพื่อใช้เอง 3 พันกว่าล้านตัน และยังต้องนำเข้าอีก
นายชนินท์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ Coal Chemical จากเหมืองถ่านหินที่มองโกเลีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำถ่านหินมาแปลงสภาพเป็นทาร์เพื่อทำเป็นน้ำมันดีเซล คาดว่าจะได้ข้อสรุปไตรมาส 4 นี้ โดยมีตลาดหลักอยู่ที่จีน เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากนัก เพราะจะเป็นการทยอยการลงทุนเป็นยูนิต หากพบว่าดีจึงค่อยลงทุนเพิ่มเติม
“ บริษัทยังไม่ละโอกาสที่หาจังหวะลงทุนใหม่ทั้งในธุรกิจถ่านหินและธุรกิจไฟฟ้า หากได้ในราคาที่ต่ำ บริษัทพร้อมลงทุนขึ้นอยู่กับโอกาส ส่วนการขยายเหมืองถ่านหินก็ทำอยู่ เช่นเหมืองบารินโตะ เพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก โดยปีหน้าบริษัทฯไม่มองการผลิตถ่านหินมากนัก แต่จะเน้นลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการขายโดยปีนี้บริษัทฯมีการขายถ่าานหินประมาณ 46 ล้านตัน”
นายชนินท์ ว่องกุศลกิจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท บ้านปู จำกัด (มหาชน) เปิดเผยแนวโน้มราคาถ่านหินว่า ขณะนี้ราคาถ่านหินใกล้จุดต่ำสุดแล้ว แต่อาจลากยาวไปถึงปีหน้าได้ โดยราคาขายถ่านหินระยะสั้นขณะนี้อยู่ที่ 78-79 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากตลาดมีแรงกดดันจากซัปพลายระดับหนึ่ง แต่ก็เริ่มเห็นว่ามีเหมืองถ่านหินขนาดเล็กหรือเหมืองที่มีต้นทุนการผลิตสูงต้องลดกำลังการผลิตหรือหยุดไป ทำให้ประเมินว่าปีหน้าราคาถ่านหินจะฟื้นตัวเฉลี่ยอยู่ที่ 82 เหรียญสหรัฐ/ตัน
สำหรับกรณีที่สหรัฐฯจะโจมตีทำสงครามกับซีเรียทำให้ราคาน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นนั้น เชื่อว่าไม่มีผลดันราคาถ่านหินให้สูงขึ้น เนื่องจากสิ่งที่กังวลเป็นเรื่องการขนส่งน้ำมันจากตะวันออกกลางมายังประเทศต่างๆ ไม่ใช่เกิดจากปัญหาการขาดแคลนน้ำมัน
นายชนินท์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯยังคงเน้นธุรกิจหลัก คือ ถ่านหินและไฟฟ้า โดยจะไม่หันไปเสี่ยงธุรกิจก๊าซฯ หรือพลังงานทดแทนในช่วง 3-4 ปีข้างหน้า เนื่องจากเป็นธุรกิจที่ไม่ชำนาญ และพลังงานหมุนเวียนนั้นมีขนาดเล็ก สร้างรายได้กลับมาเข้ามาน้อย โดยช่วงนี้บริษัทฯจะหันมาลงทุนธุรกิจไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้น โดยตั้งเป้าหมายว่าจะมีสัดส่วนกำไรสุทธิมาจากธุรกิจไฟฟ้าคิดเป็น 40%ของกำไรทั้งหมดภายในปี 2558-2559 หลังจากโรงไฟฟ้าหงสา ที่สปป.ลาวแล้วเสร็จ จากปัจจุบันธุรกิจไฟฟ้ามีสัดส่วนเพียง 20%ของกำไรสุทธิ และธุรกิจถ่านหินมีสัดส่วนกำไรสูงถึง 80% โดยระหว่างนี้มีการเข้าไปศึกษาการซื้อกิจการโรงไฟฟ้าในต่างประเทศแถบเอเชียแปซิฟิกด้วย
นอกจากนี้ บริษัทคงนโยบายลดต้นทุนค่าใช้จ่ายในการผลิตลง โดยปีนี้คาดว่าเหมืองที่อินโดนีเซียจะลดต้นทุนการผลิตลง 10%หรือคิดเป็น 7 เหรียญสหรัฐ/ตัน ราคาต้นทุนถ่านหินอยู่ที่ 63 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนเหมืองที่ออสเตรเลียจะลดต้นทุนการผลิตลง 5-7 % หรือประมาณ 2-3 เหรียญสหรัฐ/ตัน ซึ่งแนวโน้มรัฐบาลออสเตรเลียใหม่จะยกเลิกการจัดเก็บภาษีคาร์บอนจะทำให้ต้นทุนของบริษัทฯลดลงอีก 1-2 เหรียญ/ตัน และยังเป็นการกระตุ้นการใช้ถ่านหินในประเทศมากขึ้น หลังจากก่อนหน้านี้หลายอุตสาหกรรมต้องแบกรับภาระภาษีคาร์บอน ทำให้ต้องชะลอการผลิตไป หรือหยุดผลิตไป กลับมาผลิตได้อีกครั้ง
ส่วนกรณีที่ค่าเงินรูปีของอินเดียที่อ่อนตัวลงมาก ทำให้ความต้องการใช้ถ่านหินนำเข้าจากอินเดียลดลงบ้าง ซึ่งจะกระทบบริษัทฯไม่มากนัก เนื่องจากอินเดียนำเข้าถ่านหินคุณภาพต่ำ ทำให้ซัปพลายถ่านหินคุณภาพต่ำหายไปบ้าง เชื่อว่าสุดท้ายอินเดียก็คงต้องปรับขึ้นค่าไฟฟ้าและพลังงานเพื่อให้เศรษฐกิจพัฒนาต่อไปได้ โดยบ้านปูส่งออกถ่านหินไปอินเดียเพียง 3 ล้านตันคิดเป็น 9-10%ของจำนวนการส่งออกทั้งหมด 34 ล้านตัน ทั้งนี้ความต้องการใช้ถ่านหินในตลาดโลกอยู่ที่ 5-6 พันล้านบาท เติบโตเฉลี่ยปีละ 2%ไปถึงปี 2563 โดยจีนมีการผลิตถ่านหินเพื่อใช้เอง 3 พันกว่าล้านตัน และยังต้องนำเข้าอีก
นายชนินท์ กล่าวถึงความคืบหน้าโครงการ Coal Chemical จากเหมืองถ่านหินที่มองโกเลีย ขณะนี้อยู่ระหว่างการศึกษาความเป็นไปได้ในการนำถ่านหินมาแปลงสภาพเป็นทาร์เพื่อทำเป็นน้ำมันดีเซล คาดว่าจะได้ข้อสรุปไตรมาส 4 นี้ โดยมีตลาดหลักอยู่ที่จีน เบื้องต้นคาดว่าจะใช้เงินลงทุนไม่มากนัก เพราะจะเป็นการทยอยการลงทุนเป็นยูนิต หากพบว่าดีจึงค่อยลงทุนเพิ่มเติม
“ บริษัทยังไม่ละโอกาสที่หาจังหวะลงทุนใหม่ทั้งในธุรกิจถ่านหินและธุรกิจไฟฟ้า หากได้ในราคาที่ต่ำ บริษัทพร้อมลงทุนขึ้นอยู่กับโอกาส ส่วนการขยายเหมืองถ่านหินก็ทำอยู่ เช่นเหมืองบารินโตะ เพราะไม่ต้องใช้เงินลงทุนมาก โดยปีหน้าบริษัทฯไม่มองการผลิตถ่านหินมากนัก แต่จะเน้นลดต้นทุนการผลิต ซึ่งจะมีประสิทธิภาพมากกว่าการขายโดยปีนี้บริษัทฯมีการขายถ่าานหินประมาณ 46 ล้านตัน”