xs
xsm
sm
md
lg

จานด่วนแพงได้อีกแฉไข่ปูแอบขึ้น60สต.

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ไข่ “ปู” ราคาวิ่งเป็นจรวด ล่าสุดขึ้นอีกฟองละ 10 สตางค์ หากนับในช่วงไม่ถึงเดือนที่ผ่านมา ขึ้นไปแล้วเฉลี่ยฟองละ 50-60 สตางค์ จับตาจานด่วนขยับแน่ ด้านผู้เลี้ยงยันจำเป็นต้องขึ้น เหตุต้นทุนพุ่ง และขาดทุนสะสมมานาน ด้านดุสิตโพลจี้รัฐบาลแก้ของแพง ด้านม็อบเครือข่ายประชาชนเจ้าของพลังงานไทยนัดรวมพลอีกระลอกวันนี้หน้า สนญ.ปตท.วิภาวดี ต้านขึ้นแอลพีจี ลั่นเป้าหมายยกระดับเครือข่ายองค์ความรู้ พร้อมรอลุ้นศาลฯ นัดไต่สวน 10 ก.ย.

รายงานข่าวจากกระทรวงพาณิชย์ แจ้งว่า ราคาไข่ไก่ในพื้นที่กรุงเทพฯ ได้ปรับเพิ่มขึ้นอีก 5-10 สตางค์ โดยราคาไข่ไก่เบอร์ 0 จากฟองละ 4.5-4.6 บาท เป็นฟองละ 4.6-4.7 บาท ไข่ไก่เบอร์ 1 จากฟองละ 4.2-4.3 บาท เป็นฟองละ 4.3-4.4 บาท ไข่ไก่เบอร์ 2 จากฟองละ 3.9-4 บาท เป็นฟองละ 4-4.1 บาท ไข่ไก่เบอร์ 3 (เบอร์ยอดนิยมที่ร้านอาหารจานด่วนนำมาใช้ประกอบอาหาร) จากฟองละ 3.75-3.85 เป็นฟองละ 3.9-4 บาท ไข่ไก่เบอร์ 4 จากฟองละ 3.4-3.5 บาท เป็นฟองละ 3.5-3.6 บาท และไข่ไก่เบอร์ 5 จากฟองละ 3.3-3.4 บาท เป็นฟองละ 3.5-3.6 บาท

การปรับขึ้นราคาไข่ไก่ครั้งนี้ เป็นการขึ้นต่อเนื่องเป็นครั้งที่ 3 ในช่วงไม่ถึงเดือนนับจากวันที่ 15 ส.ค.2556 โดยเฉลี่ยไข่ไก่ทุกเบอร์ได้ปรับราคาขึ้นมาแล้วไม่ต่ำกว่าฟองละ 50-60 สตางค์

อย่างไรก็ตาม แม้ว่ากรมการค้าภายในจะได้ขอความร่วมมือให้ผู้ประกอบการฟาร์มเลี้ยงไก่ไข่ตรึงราคาขายไข่คละหน้าฟาร์มไว้ที่ฟองละ 3.30 บาท เพื่อไม่ให้ราคาขายปลีกไข่ไก่ในตลาดปรับตัวสูงขึ้น แต่ปัจจุบันพบว่าราคาไข่คละหน้าฟาร์มได้จำหน่ายเพิ่มขึ้นเป็นฟองละ 3.50 บาทแล้ว

ทั้งนี้ ผลจากการที่ราคาไข่ไก่ปรับสูงขึ้น มีความเป็นห่วงว่า ร้านอาหารปรุงสำเร็จ (จานด่วน) จะมีการปรับขึ้นราคาอาหารจานด่วน โดยเฉพาะไข่ดาว และไข่เจียว ซึ่งจะทำให้ค่าครองชีพของประชาชนสูงขึ้นตาม

ส่วนความเคลื่อนไหวของกระทรวงพาณิชย์ล่าสุด พบว่า หากราคาขายปลีกไข่ไก่เบอร์ 3 ยังไม่ปรับขึ้นทะลุฟองละ 4 บาท กระทรวงฯ จะยังไม่เข้าไปดูแล เพราะต้องปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด เนื่องจากเป็นสินค้าที่เกี่ยวข้องกับเกษตรกร แต่จะส่งไข่ไก่ธงฟ้าออกไปช่วยเหลือประชาชนในพื้นที่ต่างๆ เพื่อให้มีช่องทางซื้อไข่ไก่ราคาถูกกว่าตลาดปกติ ซึ่งจะช่วยแบ่งเบาภาระค่าครองชีพให้ประชาชนได้ระดับหนึ่ง

ด้านนายอรรณพ อัครนิธิยานนท์ นายกสมาคมผู้เลี้ยงไก่ไข่ กล่าวว่า ขณะนี้ราคาขายส่งไข่คละหน้าฟาร์มได้ปรับเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ฟองละ 3.50 บาท เนื่องจากต้นทุนการเลี้ยงไก่ไข่ของเกษตรกรเพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นค่าใช้จ่ายแฝงหลายส่วน ทั้งจากค่าไฟฟ้าที่ปรับเพิ่มขึ้นอีก 7 สตางค์/หน่วย ค่าขนส่งจากราคาน้ำมันที่เพิ่มขึ้น โดยราคาที่ขายในปัจจุบันยังไม่สามารถชดเชยภาวะขาดทุนในช่วง 10 เดือนก่อนหน้านี้ ที่ราคาขายไข่ไก่ลดลงไปอยู่ที่ฟองละ 1.9-2 บาท

นอกจากนี้ จากการที่ราคาไข่ไก่ถูกกว่าโปรตีนชนิดอื่น เช่น เนื้อหมู เนื้อไก่ ทำให้ผู้บริโภคหันมาบริโภคไข่ไก่เพิ่มขึ้น ทำให้ปริมาณความต้องการไข่ไก่สูงขึ้น ขณะที่ไข่เป็ด ก็มีปริมาณลดลง เนื่องจากไม่มีพื้นที่เลี้ยงเป็ดไล่ทุ่ง เพราะพื้นที่มีน้ำส่วนใหญ่ถูกนำไปปลูกข้าวหมด เพราะได้ราคาดีกว่า

“อยากบอกว่า แม้ราคาไข่ไก่จะแพงถึงฟองละ 5-6 บาท ก็ยังถูกกว่าโปรตีนชนิดอื่น และอยากให้ผู้บริโภคเห็นใจเกษตรกรผู้เลี้ยงด้วย เพราะแบกรับภาระขาดทุนมามาก”

นายอรรณพกล่าวว่า ที่ผ่านมา กรมการค้าภายในได้เรียกสมาคมฯ ไปหารือ เพื่อขอความร่วมมือตรึงราคา แต่ได้ชี้แจงไปว่าควรปล่อยให้ราคาไข่ไก่เป็นไปตามกลไกตลาด เพราะต้นทุนสูงขึ้นจริงๆ และไม่ควรใช้กฎหมายเข้ามาดูแลสินค้าเกษตร เพราะจะกระทบกับเกษตรกรผู้เลี้ยง ที่เป็นฐานใหญ่คนส่วนใหญ่ของประเทศ

**ดุสิตโพลจี้รัฐบาลแก้ของแพง

สวนดุสิตโพล สำรวจความคิดเห็นประชาชน เรื่อง "ความร่วมมือของทุกฝ่ายในการแก้ไขปัญหาประเทศ" จากประชาชน 1,395 ตัวอย่าง พบว่า ร้อยละ 90.25 เห็นว่า ยาเสพติดเป็นปัญหาที่ประชาชนต้องการให้เร่งแก้ไข ในขณะที่ร้อยละ 93.14 เห็นว่าสินค้าราคาแพงเป็นปัญหาในปัจจุบันที่ภาครัฐควรควบคุมราคาสินค้า ป้องกันการเอารัดเอาเปรียบของพ่อค้าแม่ค้า และ รองลงมาร้อยละ 78.34 เห็นว่าปัญหาม็อบสวนยางพาราเป็นปัญหาที่ภาครัฐต้องลงมารับฟังปัญหาด้วยตัวเอง และมีมาตรการช่วยเหลือในระยะยาว

ส่วนสถานการณ์ความวุ่นวายของบ้านเมืองที่มีอยู่ขณะนี้ ประชาชนร้อยละ 45.64 คิดว่าฝ่ายรัฐบาลต้องจริงใจในการแก้ปัญหา ชี้แจงข้อมูลข้อเท็จจริงให้ประชาชนได้รับรู้ ส่วนร้อยละ 44.85 คิดว่าฝ่ายค้านควรให้ความร่วมมือกับรัฐบาลเพื่อแก้ปัญหาอย่างเร่งด่วน ให้คำปรึกษาแนะนำที่เป็นประโยชน์

ขณะที่ร้อยละ 41.30 คิดว่า ส.ว.ควรปฏิบัติหน้าที่อย่างตรงไปตรงมา ซื่อสัตย์ ยุติธรรม ทั้งนี้ ร้อยละ 62.57 คิดว่าประชาชนทุกคนจะต้องมีความรัก ความสามัคคี มีน้ำใจช่วยเหลือซึ่งกันและกัน

***ม็อบรวมพลหน้าปตท.ต้านขึ้นแอลพีจีวันนี้

นายอิฐบูรณ์ อ้นวงษา หัวหน้าศูนย์พิทักษ์สิทธิผู้บริโภค มูลนิธิเพื่อผู้บริโภค เปิดเผยว่า วันนี้( 9 ก.ย.) มูลนิธิและเครือข่ายภายใต้เครือข่ายประชาชนเจ้าของพลังงานไทยได้นัดหมายพร้อมเพรียงกันที่หน้าสำนักงานใหญ่ ปตท.ถ.วิภาวดีโดยจะมีการชุมนุมภายใต้ชื่อ"วันเผด็จศึกทรราชพลังงานไทย" เพื่อคัดค้านการปรับขึ้นราคาก๊าซหุงต้ม (แอลพีจีภาคครัวเรือน) ของรัฐบาลภายใต้การดำเนินงานของกระทรวงพลังงานตั้งแต่เวลา 9.00น.-18.00น.

“เราไม่สามารถระบุจำนวนคนที่จะมาครั้งนี้ได้เพราะเราเชิญไปทุกส่วนไม่ว่ากลุ่มไหน สีไหน ที่ไม่เห็นด้วยกับการขึ้นแอลพีจีครั้งนี้เพราะไม่มีเหตุผลและที่สุดจะนำมาซึ่งความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชนโดยตรง และเป้าหมายการเคลื่อนไหวครั้งนี้ไม่ต้องการสร้างความเดือดร้อนให้ใครเรามาแล้วก็กลับในวันเดียว เป้าหมายคือการสร้างเครือข่ายเพื่อยกระดับการรับรู้ข่าวสารให้กับสังคมหรือยกระดับปัญญาให้รู้เท่าทันมากกว่าที่จะประท้วงเพื่อล้มล้างใคร” นายอิฐบูรณ์กล่าว

อย่างไรก็ตาม กรณีที่มูลนิธิได้ไปยื่นศาลปกครองกลางเพื่อขอคำสั่งคุ้มครองชั่วคราวไม่ให้ปรับขึ้นราคาแอลพีจีนั้นศาลฯได้นัดไต่สวนวันที่ 10 ก.ย.นี้ ซึ่งคงจะต้องหาข้อมูลจากทุกฝ่ายก่อนวินิจฉัยออกมาซึ่งก็คงไม่สามารถตอบแทนศาลฯได้ว่าจะสามารถตัดสินคำวินิจฉัยได้ในช่วงใดแต่ก็เป็นอีกส่วนหนึ่งที่เครือข่ายได้ดำเนินการที่จะต้องรอดูจุดนี้ด้วย

นายชิษณุพงศ์ รุ่งโรจน์งามเจริญ นายกสมาคมผู้ค้าก๊าซปิโตรเลียมเหลว (แอลพีจี) กล่าวว่า การปรับขึ้นราคาแอลพีจีครัวเรือนจาก 18.13 บาทต่อกิโลกรัม (กก.) เพื่อไปสู่ระดับต้นทุนโรงแยกก๊าซธรรมชาติของรัฐบาลที่ 24.82 บาทต่อ กก.โดยขยับ 6 บาทต่อ กก.หรือเดือนละ 0.50 บาทต่อ กก.และมีผลเมื่อวันที่ 1 ก.ย.เป็นเดือนแรกยอมรับว่าจากการสอบถามไปยังร้านค้ามีผู้มาลงทะเบียนเพื่อใช้สิทธิ์ซื้อแอลพีจีราคาเดิมน้อยมากกว่าที่คาดหมายไว้เนื่องจากแอลพีจีปรับขึ้นเพียง 7.50 บ.ต่อถัง (15 กก.) เท่านั้น ชาวบ้านยังรู้สึกว่ารับได้และหากต้องมารับสิทธิ์ขั้นตอนยุ่งยากกว่า

อย่างไรก็ตามได้ทำหนังสือไปยังร้านค้าทั่วประเทศให้เร่งประชาสัมพันธ์เนื่องจากเกรงว่าเมื่อราคาแอลพีจีทยอยขึ้นจนถึงเดือนที่ 4-5 เฉลี่ยที่ 2-3 บาทต่อ กก.ราคาจะเริ่มเห็นว่าสูงขึ้นเพราะเท่ากับจะต้องจ่ายเพิ่มเฉลี่ยถังละ 30- 45 บาทและแน่นอนว่าเมื่อขยับไปถึง 6 บาทต่อกก.นั่นหมายถึงต้องจ่ายเพิ่มถังละ 90 บาท ดังนั้นมั่นใจว่าประชาชนที่มีสิทธิ์จะมาใช้สิทธิ์แน่นอนและถึงจุดหนึ่งปัญหาจะมากขึ้น

“ขอให้ร้านค้าเร่งให้ผู้มีสิทธิ์มาลงทะเบียนเลยเพราะจะต้องกระตุ้นว่าถึงเวลาที่มันแพงแล้วจะเห็นความแตกต่างคุณได้สิทธิ์แล้วไม่ใช่จะมาโวยวายทีหลังไม่ได้เด็ดขาดดังนั้นผมไม่กังวลว่าจะไม่มีผู้ใช้สิทธ์ตรงกันข้ามผมกังวลว่าถึงจุดหนึ่งจะวุ่นวายมากกว่าถ้าไม่เร่งประชาสัมพันธ์ให้คนมีสิทธิ์มารีบลงทะเบียนไว้” นายชิษณุพงศ์กล่าว

** ปชป.ชี้มาตรการรัฐไม่ช่วยลดค่าครองชีพ

นายองอาจ คล้ามไพบูลย์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า รัฐบาลควรมีมาตรการช่วยเหลือประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากค่าครองชีพ เช่น การขึ้นราคาแก๊สแอลพีจี ค่าทางด่วน ค่าไฟ โดยเห็นได้จากสินค้าหลายตัวที่เกี่ยวข้องกับประชาชนขยับขึ้นราคาทำให้กระทบต่อประชาชน แต่เมื่อดูการแก้ไขปัญหาของรัฐบาล ยังเป็นไปในทิศทางที่ไม่ทำให้มั่นใจได้ว่าจะช่วยค่าครองชีพประชาชนได้อย่างไร ทั้งที่รู้ว่าเรื่องนี้จะเกิดผลกระทบต่อประชาชน แต่ขณะนี้ยังแก้ปัญหาเฉพาะหน้า อ้างว่าของแพงเป็นไปตามกลไกตลาด หรือประชาชนรู้สึกไปเอง ถือเป็นการซ้ำเติมประชาชน อีกทั้งหากลงพื้นที่ต่างๆ ก็มีสินค้าราคาแพงระบาดทั่วประเทศแล้ว แทนที่รัฐบาลจะหามาตรการแก้ไขปัญหาแต่ยังใช้วิธีเดิม เช่น จัดโครงการธงฟ้าราคาถูก ซึ่งข้อเท็จจริงประชาชนเข้าซื้อสินค้าไม่ถึงชั่วโมงก็หมดแล้ว และขายบางพื้นที่เท่านั้น จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาลแก้ปัญหาที่ต้นเหตุให้เป็นระบบ รีบดำเนินการแก้ปัญหาสินค้าราคาแพงให้ประชาชนมีชีวิตอยู่ได้ตามปกติในสภาพปัจจุบัน.
กำลังโหลดความคิดเห็น